บทย่อ
“ฉันขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหมคะ”“จะถามอะไร”“สัญญามาก่อนว่าคุณจะไม่โกรธฉัน”“คุณจะถามอะไรผมถ้าลีลามากนักล่ะก็ผมจะไม่ตอบ”ธัญญ่าลูบต้นขาของชายหนุ่มพร้อมกับสบตาเขา และก็รีบถามเขากลับไปก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ“คุณเป็นแมนเต็มร้อยหรือเปล่าคะ”เมฆินมองมือของเธอที่ลูบไล้ต้นขาของเขาสลับกับการจ้องมองใบหน้าเธอ“ธัญญ่าหรือคุณอยากลองของจริง พิสูจน์ด้วยตัวคุณเองเลยดีไหม จะได้รู้คำตอบที่แน่นอนไปเลย”เมฆินวางมือของเขาไว้บนมือเรียวบางของเธอ จากนั้นก็ลูบไล้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกธัญญ่าก็ยังไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรจนกระทั่งเธอไล่สายตาตามมือเขาไป เมื่อรู้ว่าเขาต้องการที่จะทำอะไรเธอรีบสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาทำทีมาลูบแขนของตัวเองแทน หญิงสาวไม่สามารถที่จะควบคุมใบหน้าของตนเองให้เป็นปกติได้ แต่ถึงจะรู้สึกอายแค่ไหนปากก็ยังไม่วายพูดก๋ากั่นกลับไป“นั่นมันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณอยากจะได้ตัวฉันอยู่หรือเปล่า”เมฆินหัวเราะในลำคอก่อนที่จะตอบ “อยากหรือไม่อยากดีล่ะ”“ฉันยินดีบริการคุณเต็มที่เลยรับรองได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวัง” เธอพูดพร้อมกับกระเถิบตัวไปนั่งเบียดชิดเขามากยิ่งขึ้นธัญญ่าจรดริมฝีปากบางลงบนต้นคอเขาตรงแอ่งชีพจร ก่อนจะไล้ระขึ้นไปจนถึงใบหู เมฆินต้องสะกดกลั้นอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก ที่จะไม่จับตัวเธอกดเธอลงบนโซฟาแล้วสั่งสอนเธอให้เข็ดสาสมกับที่กล้ามาลองดีกับเขา แต่เขาต้องพยายามนั่งนิ่งเฉยราวกับว่าสิ่งที่เธอทำไม่ได้มีผลอะไรกับเขาสักนิด ทั้งที่สัมผัสของเธอมันทำให้เขาเสียวซ่านไปทุกอณูเลยก็ว่าได้ เขาทำเพียงแค่ตอบกลับไปว่า“ผมชอบแบบที่มีประสบการณ์มากกว่า ไอ้แบบที่ไม่ประสีประสาอะไรเลยอย่างคุณมันไม่เร้าใจผม”“ไม่จริงหรอกค่ะฉันเรียนรู้ไวนะคะ คุณไม่ต้องสอนมากหรอกแค่แนะนำเทคนิคนิดหน่อย เดี๋ยวฉันก็จะทำให้คุณร้อนและเร้าใจได้แน่ ไม่เชื่อจะลองดูก่อนก็ได้นะคะ ฉันจะบอกความลับให้คุณอย่างหนึ่งที่จริงแล้วฉันยังเวอร์จิ้นอยู่นะ แต่ฉันเต็มใจยกมันให้คุณ”“แต่จากลีลาท่าทางที่คุณแสดงออกมา ทำให้ผมชักจะไม่ค่อยแน่ใจว่าคุณยังเวอร์จิ้นจริงตามที่พูดไว้หรือเปล่า”“ไม่ลองแล้วจะรู้คำตอบเหรอคะ”
บทที่ 1
เเสงเเดดในช่วงฤดูร้อนของปารีสผ่านช่องกระจกที่ม่านไม่สามารถปิดไปได้ ถึงเเม้ว่าอากาศที่ปารีสจะไม่ร้อนเท่าอากาศที่เมืองไทย ถึงกระนั้นอุณหภูมิความร้อนก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เทียบไม่ได้เลยกับอารมณ์ของบุคคลที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังใหญ่ในขณะนี้ บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตอารองดิสมองต์16 ซึ่งนับว่าเป็นเหมือนสวรรค์ของคนปารีสที่รักความสงบหรือรักธรรมชาติและถูกจัดให้เป็นย่านที่น่าอยู่มากที่สุด ผู้ที่สามารถพักอาศัยอยู่ที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอันจะกินเท่านั้น หรือจะพูดอีกทีก็คือย่านที่อยู่อาศัยของพวกคนรวย บรรยากาศภายในบ้านตอนนี้กำลังมาคุ เหตุเพราะมีหญิงสาวต่างวัยที่ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันสองคนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
“แม่ไม่อนุญาติให้ไป”
“แต่แม่คะ...”
“ธิชาเราพูดเรื่องนี้กันหลายครั้งหลายหนแล้วนะ แต่ไม่ว่าจะพูดอีกกี่หนคำตอบของแม่ก็ยังเหมือนเดิมและครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะพูดเรื่องนี้กับลูก”
“เหตุผลละคะ...เพราะอะไรแม่ถึงไม่ให้ธิชาไป”
“เพราะแม่ไม่เห็นด้วยกับอาชีพเต้นกินรำกิน อาชีพนี้มันไม่มั่นคงและไม่เคยทำรายได้ให้ใครเป็นกอบเป็นกำ น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้”
“แม่ก็เลยคิดว่าธิชาจะไม่สามารถประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ใช่ไหมคะ ธิชาจะพิสูจน์ให้แม่เห็นค่ะว่าธิชาทำได้”
“พูดแบบนี้หมายความว่าลูกจะขัดคำสั่งของแม่อย่างนั้นหรือ”
“ธิชาแค่อยากจะลองทำตามความฝันของตัวเองสักครั้ง”
“โดยไม่สนใจความรู้สึกของแม่อย่างนั้นใช่ไหม”
“ธิชาผิดมากเหรอคะที่จะตามหาความฝันของตัวเองบ้าง แม่ก็เคยมีความใฝ่ฝันแบบนี้มาก่อนที่จะประสบความสำเร็จ แต่ทำไมแม่ถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของหนูละคะ” จากท่าทางมุ่งมั่นดื้อดึงและเชื่อมั่นในตนเองของธิชา ทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกโกรธบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ ที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนบัดนี้เติบใหญ่ ผู้ซึ่งไม่เคยขัดคำสั่งของเธอเลยสักครั้ง แต่คราวนี้ช่างกล้าที่จะมาพูดจาขึ้นเสียงถกเถียงกับเธอเช่นนี้
“ธิชาฉันเลี้ยงแกตั้งแต่เล็กจนโตเพื่อที่จะให้แกมายืนเถียงฉันฉอด ๆๆ แบบนี้นะหรือ” ด้วยความโกรธทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับเปลี่ยนสรรพนามแทนตนเองและบุตรสาว
“เพราะแม่ไม่มีเหตุผลและธิชาก็คิดว่าสิ่งที่ธิชากำลังจะทำมันไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
“อะไรนะ! นี่หมายความว่าถึงฉันจะคัดค้านแกอย่างไร แกก็จะไปทำไอ้อาชีพเต้นกินรำกินที่เมืองไทยให้ได้ใช่ไหม ณัฐธิชาแกเคยเห็นแม่ของแกคนนี้อยู่ในสายตาบ้างหรือเปล่า ใช่ซิแกมันโตแล้วนี่ปีกกล้าขาแข็งพอที่จะทำอะไรก็ได้อย่างที่ใจแกคิด โดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฉัน”
“ธิชาไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะแม่ ธิชายังรักและเคารพแม่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
“ถ้าแกยังเคารพฉันและคิดว่าฉันยังเป็นแม่ของแกอยู่ละก็ ล้มเลิกความคิดที่จะไปอยู่เมืองไทยของแกซะ” แต่ณัฐธิชายังคงยืนยันความคิดของตัวเอง
“ไม่ค่ะถึงยังไงธิชาก็ยังยืนยันว่าธิชาจะไปตามหาความฝันของธิชาที่เมืองไทย เพียงแต่ธิชาอยากให้แม่ยอมรับและเป็นกำลังใจสำคัญให้ธิชา มันยากมากเลยเหรอคะที่แม่จะสนับสนุนและยืนอยู่เคียงข้างธิชาให้ธิชาได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักสักครั้ง” ผู้เป็นแม่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตนเองไม่ให้ระเบิดความรุนแรงออกมาอย่างสุดความสามารถ พร้อมทั้งสั่งกักบริเวณลูกสาวของตน
“ช่วงนี้ฉันขอสั่งห้ามไม่ให้แกก้าวออกไปจากบ้านหลังนี้ ทางที่ดีควรจะกลับเข้าไปในห้องของแกแล้วคิดทบทวนถึงสิ่งที่แกแสดงออก หรือสิ่งที่พูดกับฉันในวันนี้ว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำหรือไม่ แต่ถ้าแกยังไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของแก และยังยืนยันว่าจะทำในสิ่งที่แกคิดไว้อีกละก็ ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่อีกต่อไป” ธิชาเม้มปากก่อนที่จะเดินกลับขึ้นไปบนห้อง แต่ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปนั้น ธิชาได้พูดบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ให้มารดาคิด
“ถ้าตอนนี้พ่อยังมีชีวิตอยู่พ่อต้องเข้าใจ และพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างธิชา คอยเป็นกำลังใจสำคัญให้
ธิชาได้ทำตามความฝันของตัวเองอย่างแน่นอน เหมือนครั้งหนึ่งที่พ่อเคยทำแบบนี้เพื่อความฝันของแม่ แม่ยังจำได้ไหมคะว่าพ่อยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อแม่ ยอมแม้กระทั่งทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทยและมาใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่นี่ แม่คงไม่ปฏิเสธใช่ไหมคะว่าพ่อคือคนที่อยู่ข้างกายแม่เสมอ ทั้งยังเป็นคนที่คอยให้กำลังใจแม่ในยามที่แม่ทดท้อหรือเหนื่อยล้า จนอยากที่จะล้มเลิกความฝันของตนเอง หลายต่อหลายครั้งที่พ่อต้องคอยทั้งดุทั้งปลอบ ทั้งให้กำลังใจให้ข้อคิดดีดีจนแม่สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ และทำความฝันของตัวเองจนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ธิชาต้องการที่จะทำแบบนั้นบ้าง แม่กลับไม่เข้าใจความรู้สึกของธิชา”
เมื่อพูดจบก็เดินขึ้นบันไดไปเพื่อเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวของตนเอง คำพูดของลูกทำให้ณัฐริกาอึ้งไปแต่เธอพยายามที่จะไม่คิดถึงมัน นั่นเป็นเพราะเธอเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง และมั่นใจว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอทำเพื่ออนาคตของลูก ธิชาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอที่สามีทิ้งไว้ให้ เธอจึงคาดหวังไว้สูงสำหรับอนาคตของลูกโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของธิชา
ณัฐริกาเดินกลับเข้าไปห้องทำงานของตนเอง และลงมือวาดโครงสร้างเสื้อผ้าสำหรับคอลเล็คชั่นใหม่ ที่เธอจะจัดแสดงแฟชั่นโชว์ใหญ่ของตนเองอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ยังไม่ได้เลือกสถานที่ที่จะจัดงานแสดงแฟชั่นโชว์ว่าจะเป็นที่ประเทศไหน แต่เนื่องจากจิตใจไม่สงบเพราะได้ยินคำพูดของลูกก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา ความจริงสิ่งที่ธิชาพูดก็ถูก เธอน่าจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของลูกมากที่สุด เพราะว่าเธอเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเหมือนกัน
จำได้ว่าเมื่อแต่งงานกันได้ประมาณสองปี เธอได้บอกเล่าถึงสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันกับผู้เป็นสามี ว่าเธออยากที่จะเป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดัง และสร้างแบรนด์ของตัวเองให้ดังและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างห้องเสื้อที่ใช้แบรนด์ของตัวเองเป็นจุดขาย ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าเธอจะทำได้แม้แต่ตนเอง แต่คนที่เชื่อมั่นในความสามารถของเธอนั้นกลับเป็น “เขา” ปรีชาสามีที่เธอรักมาก เขาผู้ซึ่งไม่มีความรู้และไม่เคยสนใจเรื่องของแฟชั่นมาก่อนเลย แต่กลับมองเห็นพรสวรรค์ในตัวเธอและเป็นผู้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง รวมถึงคอยเป็นกำลังใจที่สำคัญให้เธอก้าวผ่านความยากลำบากต่าง ๆ มาได้จนประสบความสำเร็จดังที่เคยตั้งใจไว้
ณัฐริกาเอื้อมมือไปหยิบรูปถ่ายซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานของตนเอง มันเป็นรูปของสามีที่ถ่ายคู่กับเธอก่อนที่เขาจะจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอลูบไล้ภาพของผู้เป็นสามีพร้อมกับพูดเหมือนจะขอคำปรึกษาจากเขา ราวกับว่าเขาจะได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“ปรีชาคะคุณบอกฉันหน่อยสิว่าฉันควรจะทำยังไงดี ควรจะทำทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนความคิดและความตั้งใจของลูก หรือควรจะยอมให้ลูกได้ทำตามสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน แต่คุณรู้ใช่ไหมคะว่าฉันไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ลูกไปเป็นนักร้องหรือดาราอะไรพวกนั้น อาชีพนั้นไม่ใช่ใครก็ทำได้นะ ที่สำคัญลูกจะกลับไปอยู่เมืองไทยจะไปอยู่ยังไงคนเดียวที่นั่น
แต่แล้วเธอก็นึกถึงคำพูดของสามีที่พูดกับเธอ เมื่อเธอลังเลที่จะตามหาความฝันของตนเอง
‘ริกาฟังผมนะ...ไม่มีใครรับรองได้หรอกว่าเราจะทำได้ไหม เราจะรู้ก็ต่อเมื่อลงมือทำ คุณเป็นคนมีพรสวรรค์นะขอเพียงแค่คุณมีความพยายามและเชื่อมั่นในตัวเอง พร้อมกับลงมือทำมันอย่างจริงจัง ทำเต็มที่เต็มความสามารถของคุณ เมื่อคุณทำอย่างดีที่สุดแล้วคุณก็จะรับได้กับผลของมัน ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันอาจจะออกมาไม่เหมือนอย่างที่ฝันไว้ แต่คุณก็จะไม่เสียใจที่ได้ทำแบบนั้น เพราะคุณได้ทำทุกอย่างเต็มที่เต็มความสามารถของคุณแล้ว ไม่ต้องกลัวนะผมจะคอยเป็นกำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ผมเชื่อมั่นว่าคุณต้องทำได้’
“ฉันควรจะปล่อยให้ลูกได้ทำตามสิ่งที่ลูกต้องการใช่ไหมคะ คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่อยากจะสนับสนุนให้เขาทำอาชีพนี้ เพราะมันไม่มั่นคงยั่งยืน แต่คุณคงจะเห็นด้วยกับความคิดของลูก” ณัฐริกากอดภาพนั้นไว้กับอกพร้อมกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ
“ตกลงค่ะฉันตัดสินใจแล้วว่าจะยอมให้ลูกไปเมืองไทย แต่นั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของฉัน ถ้าธิชายอมรับเงื่อนไขนี้ได้ฉันก็จะให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน เพียงแต่ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งหรือแม้แต่ไปอยู่เคียงข้างเขาอย่างที่คุณเคยทำหรอกนะ”
เมื่อณัฐริกาพูดจบก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็น ๆ บางเบา ที่พัดผ่านหน้าต่างห้องทำงานที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เธอเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างบานนั้น และมองวิวทิวทัศน์ที่งดงามภายนอก ทั่วทั้งมหานครตอนนี้จะเต็มไปด้วยสีสรรของดอกไม้ใบหญ้า ที่ต่างก็พากันผลิดอกออกใบมากมายรับแสงอรุณ เพราะว่าเป็นฤดูร้อนของปารีสนั่นเอง
“คุณคงเห็นด้วยกับความคิดของฉันใช่ไหมคะ ปรีชาคุณรู้ไหมวันนี้ฉันเพิ่งจะเชื่อในสิ่งที่คุณเคยพูดกับฉันเกี่ยวกับตัวลูก คุณเคยบอกว่าเขาดื้อและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเหมือนกับฉัน เพิ่งจะเห็นความดื้อของเขาเป็นครั้งแรกก็วันนี้เองละค่ะ”