เชลยรักสีคราม

129.0K · จบแล้ว
ไอริส
48
บท
47.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ปากจัดแบบนี้ น้ำทะเลเค็มๆ คงช่วยล้างปากคุณได้”นันท์นลินเบิกตาโพลงด้วยความหวาดหวั่นเมื่อรู้ว่ากัปตันดี ทีสต์ กำลังจะทำอะไร “ไม่น่ะคุณดี ทีสต์...”“ปากกล้า! อวดเก่ง! ก็ทำให้มันตลอดรอดฝั่งสินลิน”บารอนยิ้มเยาะไร้ความปราณี เขาเดินเข้าไปชิดขอบเรือแล้วโยนร่างบางลงทะเลพร้อมๆ กับเสียงร้องกรี๊ดของนันท์นลิน“ได้โปรด!...คุณดี ทีสต์ นลินว่ายน้ำไม่เป็น”ตูม!...

นิยายรักโรแมนติกกัปตันแก้แค้นมาเฟียเศรษฐีโรแมนติก

บทที่ 1 (1)

เชลยรัก

กุมภาพันธ์ 2552

ท่าเรือกรุงเทพมหานคร...

สายฝนหลงฤดูที่โปรยปรายเย็นชื่นฉ่ำในคืนเดือนมืดกระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาราวกับท้องฟ้ารั่ว ละอองฝนเย็นยะเยือกกระทบใบหน้างามจนทำให้ดวงตาพร่ามัวมองไม่เห็นท้องถนน น้ำฝนที่ขังเจิ่งนองตามพื้นถนนสกปรก กลิ่นอับชื้นคาวปลา กลิ่นน้ำทะเลลอยมาพร้อมกับสายลมสายฝน ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการหลบหนี...

หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางเนื้อตัวเปียกซกผมยาวสลวยถึงกลางหลังลูบติดกับหนังศีรษะ ชุดนอนสีขาวที่ถูกบังคับให้สวมใส่โดยแม่บ้านใจมารเปียกชื้นแนบติดกับลำตัวจนมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ชุดนอนกับผ้าพันคอผืนเล็กติดตัวมาด้วย เท้าเล็กเปล่าเปลือยพาเจ้าของวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ใบหน้างามตกใจตื่นรีบสอยเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนสบถด่าลูกน้องไล่หลังเธอมาติดๆ

ร่างโปร่งบางทรุดฮวบเอนตัวไปพิงกับกำแพงหนา ริมฝีปากอวบอิ่มกัดเม้มเข้าหากันเพื่อระงับอาการเจ็บปวดที่กำลังแล่นเข้าสู่กาย ฟันขาวสะอาดขบเนื้อด้านในขณะที่ดึงเศษแก้วออกจากฝ่าเท้า เลือดอุ่นไหลลงเป็นทางยาวทันทีที่เศษแก้วขนาดฝ่ามือหลุดออกมา ผ้าพันคอผืนเล็กถูกเอามาพันแผลไว้อย่างลวกๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะกัดฟันฮึดสู้พยุงกายลุกขึ้นแล้วพยายามวิ่งเขยกๆ หลบหนีการไล่ล่าต่อ เธอยอมตายดีกว่าต้องกลายไปเป็นทาสทางกามารมณ์ให้เสี่ยพารุณ

เสียงตะโกนด่า เสียงฝีเท้านับสิบๆ คู่ที่ดังมากระชั้นชิดทำให้หญิงสาวรีบวิ่งเร็วขึ้นไม่นำพาต่ออาการปวดแปลบที่ฝ่าเท้าซึ่งกำลังประดังเข้ามาจนแทบทนไม่ได้ เมื่อวิ่งพ้นหัวมุมตึกเก่าๆ เธอก็พบกับท่าเรือซึ่งบัดนี้เงียบสงบปราศจากผู้คน เรือประมง เรือขนสินค้ารวมทั้งเรือสำราญจอดสงบนิ่งลอยลำอยู่บนผืนน้ำ เรือทุกลำเปิดไฟสว่างจ้ามีลูกเรือเดินขวักไขว่ตากน้ำฝนอยู่บนดาดฟ้า ยกเว้นเรือสำราญที่มีตัวหนังสือสีทองพาดตัวเรือดูงดงามสมกับชื่อ ‘The Royal Adamas’

เรือสำราญสีขาวหรูขนาดสี่หมื่นตันปราศจากลูกเรือบนดาดฟ้า ดวงไฟเล็กๆ ถูกเปิดให้ความสว่างแค่ไม่กี่ดวง เสียงสบถด่าที่กระชั้นชิดขึ้นมาทุกทีทำให้หญิงสาวไม่มีเวลาตัดสินใจแล้ว เท้าเล็กๆ เปล่าเปลือยวิ่งไปบนสะพานเรือโดยไม่ลืมหันหลังไปมองมัจจุราชร้ายที่กำลังตามมาติดๆ

“จับมันมาให้ได้ ใครจับอีนังโสภณีไม่มีแม่ได้ กูจะตบรางวัลให้อย่างงาม”

เสี่ยพารุณเบิกตากว้างแทบจะถลนออกมานอกเบ้าด้วยความโกรธ ลำแขนอวบอูมด้วยไขมันยกมือลูบใบหน้าที่มีเลือดออกซิบๆ ตามรอยเล็บที่ถูกข่วนก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง

ลูกน้องนับสิบคนต่างพยักหน้ารับด้วยท่าทางหื่นกระหายรู้ว่ารางวัลที่ได้รับนอกจากจะเป็นเงินแล้วยังหมายถึงตัวหญิงสาวที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ด้วย

เสี่ยพารุณกับลูกน้องที่พกอาวุธครบมือหยุดหอบอยู่บริเวณท่าเรือต่างก็หันซ้ายหันขวาเมื่อปราศจากแม้แต่เงาของหญิงสาวที่พวกเขาต้องการ

“นังอีตัวมันหายไปได้ไงว่ะ”

เสี่ยพารุณสบถเสียงดังฟาดปืนไปบนใบหน้าลูกน้องที่อยู่ใกล้มือใกล้ตีนด้วยความโมโหที่อาหารอันโอชะกำลังจะหลุดลอยไป

“ค้น! ค้นให้หมดทุกลำ อีนังโสเภณีมันต้องหลบอยู่บนเรือลำใดลำหนึ่งแน่นอน”

“เสี่ยครับ ไต้ก๋งเรือมันจะให้เราค้นหรือครับ” ลูกน้องที่ถูกตบเลือกกบปากเอ่ยถามอย่างขลาดๆ

“ไม่ให้ค้นก็ยิงทิ้งสิวะ จะเก็บไว้ทำซากอะไร”

เสี่ยพารุณสบถด่าจากนั้นก็ส่งสัญญานให้ลูกน้องออกค้นหาหญิงสาวที่ตนต้องการ ไต้ก๋งลำไหนไม่อนุญาตให้เข้าค้นในเรือก็จะถูกลากมายังท่าเรือบริเวณที่เสี่ยพารุณยืนรออยู่ จากนั้นทั้งปืนทั้งตีนก็ถูกประเคนเข้าใส่อย่างไม่ยั้งจนต้องยอมให้ลูกน้องนับสิบๆ คนของเสี่ยพารุณเข้าไปค้นภายในลำเรือได้ตามสบาย

ทุกคราที่ได้ยินเสียงฝ่าเท้าเสียงปืนที่ประเคนเข้าใส่ไต้ก๋งพร้อมกับเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวที่ซ่อนกายอยู่ในช่องว่างของลังสัมภาระที่ถูกวางไว้บนดาดฟ้าเรือก็มีอันต้องยกมือปิดปากตัวเองไว้แน่นไม่ให้เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวเล็ดรอดออกมาให้คนใจอำมหิตได้ยิน เธอยกมือปาดน้ำฝนออกจากใบหน้าแอบมองลอดช่องว่างเล็กๆ เห็นไต้ก๋งเรือหาปลาที่อยู่ติดกับเรือสำราญถูกตบด้วยด้ามปืนจนล้มฟุบกับพื้น

เสี่ยพารุณยกเท้าเหยียบบนอกไต้ก๋ง ปืนในมือยกขึ้นจ่อหัวไต้ก๋งแก่ๆ ที่กำลังยกมือไหว้ร้องขอชีวิตตนไว้ จากนั้นลูกน้องของเสี่ยพารุณก็กรูขึ้นไปบนเรือหาปลาลำเล็ก เมื่อไม่พบคนที่ต้องการเสี่ยพารุณก็จ้องมองมาบนเรือสำราญลำใหญ่ หญิงสาวรีบหลบเข้ากับช่องว่างของลังสัมภาระด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองเห็น เธอยกมือไหว้น้ำตาคลอเบ้าภาวะนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเธอด้วย อย่าให้คนชั่วเหล่านี้หาเธอเจอ อย่าให้เธอต้องตกไปเป็นทาสความป่าเถื่อนของเสี่ยพารุณเลย

กัปตันบารอน ดี ทีสต์ หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เจ้าของบริษัทเดินเรือ The Royal Adamas Group ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก นอกจากมีกิจการเดินเรือเป็นของตนเองแล้วเขายังเป็นกัปตันเรือ The Royal Adamas ด้วย

กัปตันหนุ่มปิดโน๊ตบุ๊คลงแล้วลุกขึ้นยืนบิดคอไปมาเพื่อไล่อาการเมื่อยขบ เสื้อกล้ามสีขาวสะอาดถูกถอดออกจากเรือนกายเผยให้เห็นอกกว้างแข็ง

แกร่งสีแทน ไรขนอ่อนๆ มีให้เห็นประปรายทั่วมัดกล้ามเรื่อยลงมาแล้วหายเข้า

ไปในขอบกางเกง เท้าแข็งแรงก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องน้ำแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดเข้าไปก็ได้ยินเสียงต้นหนของเรือเคาะประตูเคบินพร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดัง

“กัปตันครับ กัปตันบารอนครับ”

กัปตันหนุ่มเดินไปเปิดประตูเคบินออกกว้างพร้อมกับกระชากเสียงถามต้นหนเรือที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยอยู่หน้าห้องของเขา

“มีเรื่องอะไร”

“มีนักเลงกระจอกจะขึ้นมาค้นบนเรือของเราครับ”

ลุกซ์ ต้นหนเรือวัยค่อนคนซึ่งเป็นมือขวาของกัปตันเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงติดจะราบเรียบ

กัปตันบารอนชักสีหน้าไม่พอใจ เดินกลับไปคว้าเสื้อเชิ้ตสีตุ่นมาใส่อย่างรีบร้อนและสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่เขาคว้าติดมือมาด้วยคือปืนเก็บเสียงรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งสั่งมาจากต่างประเทศ เรื่องประสิทธิภาพไม่ต้องพูดถึงมันใช้ได้ดีสมกับราคาแพงหูฉี่ที่จ่ายไป เขาก้าวเท้ายาวๆ เดินออกจากเคบินขึ้นไปบนดาดฟ้า ซึ่งตอนนี้มีลูกเรือของเดอะรอยัล อาดามัส เกือบทั้งหมดกำลังยืนคุมเชิงอยู่จนกว่าเขาจะไปถึง บรรดาลูกเรือต่างก็หลบทางให้กัปตันหนุ่มที่เดินตีสีหน้าเรียบเฉยแต่ทรงได้ด้วยพลังอำนาจที่น่าเกรงขาม

กัปตันบารอนมองลงไปด้านล่างท่าเรือเห็นมีกลุ่มชายฉกรรจ์ราวๆ สิบคนเห็นจะได้กำลังพยายามขึ้นมาบนสะพานเรือโดยมีลูกเรือของเขาสี่ห้าคนลงไปกันไว้

“พวกมันมาทำไม” กัปตันบารอนหันมาเอ่ยถามต้นหน

“มาหาผู้หญิงครับกัปตัน ไอ้คนที่ยืนหน้าสุดมันบอกว่าอีตัวที่มันหิ้วมาจากไนต์คลับทำร้ายมัน มันจะมาตามตัวกลับไปครับ”

ลุกซ์เอ่ยบอกตามข้อมูลที่ได้มาจากลูกเรือ กัปตันบารอนพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา นัยน์ตาสีทองจ้องมองไปยังกลุ่มคนข้างล่างเขม็ง

“ขึ้นไปลากไต้ก๋งมันลงมาเดี๋ยวนี้”

เสี่ยพารุณสั่งลูกน้องเสียงดังด้วยความโกรธ เรือเดอะรอยัล อาดามัส เป็นเรือลำเดียวในท่าน้ำที่ไม่ยอมให้ลูกน้องของเขาขึ้นไปค้นบนเรือได้ง่ายๆ

เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ลูกน้องทุกคนก็ขยับเข้ามาประชิดสะพานเรือ แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้ง่ายๆ เพราะมีลูกเรือเดอะรอยัล อาดามัส ขวางทางไว้

“ยื่นเซ่อทำไมว่ะ กูบอกให้ขึ้นไปลากไต้ก๋งมันลงมา”

น้ำเสียงโกรธกริ้วโมโหถูกสบถออกมาจากผู้เป็นนายอีกครั้ง ลูกกระจ๊อกของเสี่ยพารุณพากันขยับเข้ามาใกล้สะพานเรือด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นท่าเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือของลูกเรือ

เสี่ยพารุณสบถด่าในลำคอเมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดของลูกน้อง เขาใช้ด้ามปืนแหวกลูกน้องออกเป็นทางแล้วเดินตรงมาที่สะพานเรือแต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่แค่นั้นเพราะลูกเรือที่ยืนคุมเชิงทำหน้าที่ได้เข้มแข็งไม่ยอมให้คนแปลกหน้าขึ้นมาบนเรือได้ง่ายๆ

“ปล่อยให้มันขึ้นมา” กัปตันบารอนตะโกนสั่งเสียงทุ้มลึกทรงอำนาจ

เสี่ยพารุณยิ้มเยาะ เข้าใจว่าอีกฝ่ายขลาดกลัวพวกพ้องของตนเอง แต่เท้าขวาที่กำลังจะก้าวขึ้นบนสะพานเรือด้วยความลำพองใจมีอันต้องหยุดชะงักกึกกลางอากาศเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“ขาข้างไหนเหยียบเรือกู กูจะยิงข้างนั้นก่อน”

กัปตันบารอนเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีทองเฉยชาใบหน้าคมเข้มสีแทนไร้ความรู้สึกขณะยกปืนเก็บเสียงขึ้นตั้งลำกล้องไปยังคนที่กำลังจะก้าวขึ้นมา

ลูกเรือเดอะรอยัล อาดามัส ที่ฟังอยู่ถึงกับขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัวเพราะรู้ว่ากัปตันเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ...

เสี่ยพารุณยิ้มเยาะตรงมุมปากคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่บนเรือสำราญลำใหญ่คงไม่กล้าทำตามที่พูดจริงๆ ขาสั้นๆ แบบคนอ้วนเตี้ยม่อต้อก้าวขึ้นบนสะพานเรืออย่างท้าทาย

“ฟิ๊วววว!...”

กระสุนนัดแรกลอยเข้าไปเจาะรองเท้าหนังสีดำตรงตำแหน่งหัวแม่เท้าพอดิบพอดี ซึ่งไม่ใช่การยิงพลาดแต่เป็นการเจาะจงยิงตำแหน่งนี้โดยเฉพาะ

เสี่ยพารุณไม่รู้ว่ากระสุนลอยมาตอนไหนแต่ที่เขารู้สึกได้คือตอนนี้รองเท้าด้านขวาเป็นรูโบ๋ หัวแม่เท้าร้อนฉ่าจากลูกตะกั่วที่ลอยมากระทบจนทำให้เลือดอาบไหลเป็นทางยาว ร่างอ้วนเตี้ยทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นสกปรกที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน เมื่อเห็นเลือดสดๆ ไหลเป็นทางยาว นักเลงใจปลาซิวอย่างเสี่ยพารุณถึงกับหน้าซีดเผือดทำท่าจะเป็นลมให้ได้

“ยืนเซ่อทำไม ยิงเจาะกะบาลพวกมันสิว่ะ”

เสี่ยพารุณสั่งเสียงดังเอามือไปกุมหัวแม่เท้าไว้แน่นเพื่อห้ามเลือดที่ยังไหลไม่ขาดสาย

ลูกน้องของเสี่ยพารุณยังไม่ทันได้ชักปืนออกจากซอกเอว แสงเลเซอร์สีแดงก็ล็อคเป้าอยู่ตรงหน้าผากของแต่ละทุกคนรวมถึงหน้าผากเกลี้ยงๆ ของตัวเสี่ยพารุณด้วย ลูกกระจ๊อกทั้งสิบคนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลักเหงื่อแตกพลั่กเรียงเม็ดด้วยความหวาดกลัวหัวหดเมื่อเห็นหน้าผากของเพื่อนๆ ถูกล็อคเป้าจากคนบนเรือ

“ใครอยากเป็นผีเฝ้าท่าเรือก็เชิญหยิบปืนออกมาได้เลย”

กัปตันบารอนสั่งเสียงเย็นยะเยือก ซึ่งฝ่ายที่อยู่ข้างล่างไม่มีใครกล้าหยิบ