บท
ตั้งค่า

บทที่ 8 สาเหตุที่แท้จริง

ศพของคนทั้งสองถูกส่งไปยังที่ว่าการอำเภอเพื่อชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้ง ผู้เห็นเหตุการณ์อีกสามคนล้วนอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวนพูดจาวกวนทำให้คนที่บันทึกคดีต้องค่อยๆ สอบถามเพื่อให้พวกเขาลำดับเรื่องราว

โหลวซีห่าวยืนฟังมือปราบเหลยรายงาน ตลอดเวลานั้นเขาคอยเหลือบมองสวีเสี่ยวถงอยู่เป็นระยะๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่ามือปราบหญิงผู้นี้น่าจะมีเบื้องหลังที่น่าสนใจซ่อนอยู่ สัญชาตญาณของเขาบอกว่านางมิน่าจะใช่มือปราบธรรมดา!

ใช่ว่าเหลยเจียหลุนจะไม่สังเกตเห็น เขาเองก็รู้สึกระแวงมือปราบสวี

“มือปราบเหลย เจ้าตรวจตราให้ละเอียดถี่ถ้วนก็แล้วกัน ข้าอยากรู้ว่าคนร้ายเข้าออกอย่างไร? และเอาสิ่งใดไปบ้าง? เหตุใดพวกเขาจึงฆ่าคนในบ้านด้วยทั้งๆ ที่บางคดีก็ไม่ได้ฆ่า?”

“ขอรับ! ข้าน้อยให้คนวาดบริเวณที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมวาดแผนผังภายในบ้านด้วย”

“ดี! ข้าจะรออ่านที่อำเภอก็แล้วกัน”

สวีเสี่ยวถงดูในห้องที่เกิดเหตุจนพอใจแล้ว ก็หันกลับมาดูศพทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง นางก้มลงมองกระดาษรูปโบตั๋นสีแดงแล้วขมวดคิ้ว

“ใต้เท้าโหลว ท่านมาดูนี่สิ!” นางชี้ไปที่ก้านดอกโบตั๋นในกระดาษ “ท่านจำสิ่งนี้ไว้นะเจ้าคะ แล้วก็ดูกระดาษแผ่นที่หัวหน้าหมู่บ้านแรกเอาให้เรา” นางควักกระดาษในเสื้อออกมากางใกล้ๆ

“จริงอย่างเจ้าว่าก้านที่มีใบไม้เล็กๆ อยู่กับก้านที่ไม่มีใบไม้ หากไม่สังเกตให้ดีก็แทบจะมองไม่ออก วาดไว้บางขนาดนั้น ยากจะสังเกตจริงๆ”

สวีเสี่ยวถงขมวดคิ้ว “บางทีนี่อาจจะเป็นฝีมือของคนละกลุ่มก็ได้เจ้าค่ะ ในเมื่อทุกครั้งที่พวกเขาปล้นก็ปกปิดใบหน้า เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดแฝงกายมาทำแล้วโยนความผิดให้พวกเขาก็ย่อมได้”

เหลยเจียหลุนกำลังออกไปยืนร้องเรียกให้คนของตนเข้ามาลำเลียงศพจึงไม่ได้ยินสิ่งที่สวีเสี่ยวถงพูดกับนายอำเภอ

“พวกเราไปตรวจรอบๆ ตำบลเพื่อหาร่องรอยกันเถอะ”

โหลวซีห่าวพยักหน้า “อืม...ไปกัน”

เมื่อเห็นสวีเสี่ยวถงเดินนำหน้านายอำเภอออกไปเช่นนั้น เหลยเจียหลุนก็ไม่ค่อยพอใจนัก เขาเกรงว่านายอำเภอจะให้ความไว้วางใจสวีเสี่ยวถงมากกว่าตน แต่หน้าที่ตรงหน้านี้ก็หนักหนาพอแรงเพราะต้องรีบนำศพทั้งสองเข้าไปในอำเภอแล้วก็ควบคุมการชันสูตรอีก

กลุ่มของมือปราบสวีเริ่มต้นจากประตูหลังบ้านที่สาวใช้ในคฤหาสน์สกุลฉานบอกว่าพวกคนร้ายบุกเข้ามา เมื่อไปดูถนนด้านหลังก็ปรากฏรอยเท้าม้าหลายรอย สวีเสี่ยวกงก้มลงนับอยู่ครู่ก็เห็นว่ามีม้าจำนวนห้าตัวด้วยกัน

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีม้าห้าตัว รอยมันทับไปทับมาเช่นนั้น?” โหลวซีห่าวมีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเขาก้มลงดูพื้นดินบริเวณนั้นก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามันมีม้ากี่ตัวกันแน่

“ท่านอย่าดูแค่ตรงนี้สิ! มองเลยไปจะเห็นว่าระยะขาหน้ากับขาหลังของม้ามันจะลงน้ำหนักไม่เท่ากัน ที่สำคัญพวกมันไม่ได้วิ่งพร้อมกันสักหน่อย สองตัววิ่งนำหน้า” นางชี้ให้เขาดูเส้นทางที่ม้าพวกนั้นวิ่งไป

โหลวซีห่าวส่ายหน้า เขามิได้เชี่ยวชาญการขี่ม้าจนสามารถแยกแยะรอยเท้าและน้ำหนักม้าได้ “เอาเถอะ! ข้าเชื่อเจ้า แต่เหตุใดพวกเขาจึงบอกว่ามีคนร้ายสี่คน?”

“อีกคนคงจะดูลาดเลาและกุมม้าให้ไว้รอคนทั้งสี่ ในเรือนคหบดีแห่งนี้น่าจะซ่อนเงินทองไว้มิใช่น้อย คนร้ายเองก็น่าจะรู้จักผังภายในคฤหาสน์เป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นคงไม่มาทำการในเวลาก่อนฟ้าสาง ทั้งๆ ที่คฤหาสน์ตั้งอยู่กลางตำบลแท้ๆ พวกเขากลับไม่รู้สึกกลัว”

“เจ้าคิดว่า....”

นางตวัดสายตาคมกลับมามองนายอำเภอหนุ่ม “ข้ายังไม่คิดอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะตรวจสอบสภาพโดยรอบให้ทั่ว คดีนี้มีข้อสงสัยเยอะเกินไป”

นางตามรอยเท้าม้าออกไปจนสุดตำบลแล้วรอยเท้าพวกนั้นก็หายไปในชายป่า “พวกมันกลัวคนตามล่าจึงอาศัยการเข้าป่านี้เพื่อกลบเกลื่อนรอยเท้าม้า”

ป่าโปร่งนั้นไม่ค่อยมีผู้เข้าไปนัก ทางเดินก็มีหญ้าขึ้นรกทำให้ไม่รู้ว่าม้าจะเดินไปในทิศใด ส่วนถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้านและตำบลเป็นถนนดินที่บางส่วนก็เป็นดินอ่อนนุ่ม จะทำให้สังเกตรอยเท้าม้าได้ชัดเจน

“ที่เจ้าบอกว่ารู้ที่ตั้งชุมโจร พวกมันอาศัยอยู่ที่ใดหรือ?”

“หากเป็นคนของสำนักโบตั๋นแดงก็จะอยู่บนเขามังกรทะยานค่อนไปทางชายแดนแคว้นเว่ย”

“ทางการแคว้นเว่ยเหตุใดจึงไม่ปราบปรามพวกเขาเล่า?”

“พวกมันไม่ยอมปล้นคนในแคว้นเว่ยแต่ลงจากเขามาปล้นในเขต แคว้นหมิงเพราะทหารจะไม่กล้าบุกเข้าไปเนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นสงครามระหว่างแคว้น”

“อืม...ทำการฉลาดนัก!”

“มือปราบเองก็มีจำนวนน้อยเกินไปที่จะบุกขึ้นเขา หากอาศัยเพียงกำลังข้าเรื่องนี้ทำไม่สำเร็จแน่ แต่หากเป็นนายอำเภอไปถวายรายงานให้ชินอ๋องน่าจะขอความช่วยเหลือได้ไม่ยาก พวกมันลงเขามาที มือปราบก็ปราบทีแต่พวกมันรู้วิธีหลบหลีกจึงอาศัยหลบขึ้นบนเขา แค่นั้นก็ตามไปไม่ได้แล้ว เรื่องนี้กวนใจข้ามาหลายเดือน”

สวีเสี่ยวถงสีหน้าหงุดหงิด นางเบื่อที่จัดการเรื่องนี้ไม่ได้เพราะหากอาศัยคนที่นางสนิทสนมขึ้นไปจัดการก็เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องเอิกเกริก นางจึงได้แต่ต้องรอให้นายอำเภอคนใหม่มาถึงแล้วหาทางเกลี้ยกล่อมให้เขาจัดการเรื่องนี้อย่างที่นางคิดเอาไว้

“กลับกันเถอะ ไปสอบถามชาวบ้านละแวกนั้นกัน” นางชักม้ากลับแล้วเข้าไปสอบถามเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งสอบถามเรื่องราวในครอบครัวของคหบดีฉาน

บ้านแรกบอกว่าไม่รู้เรื่องภายในตระกูลฉาน สวีเสี่ยวถงไม่ยอมแพ้นางถามไปถึงบ้านที่สามจึงได้พบคนช่างรู้ช่างเห็นประจำตำบล

“อู้ยยย!!! เรื่องสกุลฉานน่ะหรือ? ถามข้านี่ล่ะถูกแล้วๆ มาๆ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง” หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมรีบลากเก้าอี้มาให้ใต้เท้าทั้งสองนั่ง แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องในทันที “เรื่องนี้นะ พวกในตลาดรู้ดีว่าบุตรชายคนโตที่เกิดจาก ฮูหยินเอกกับบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากอนุภรรยาคนที่สองทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ก็น่าแปลกที่คหบดีฉานโปรดปราดลูกชายคนเล็กยิ่งนัก แต่กับบุตรชายคนโตกลับไม่ค่อยสนใจ”

“พวกเขาเคยทะเลาะกันหนักสุดถึงขั้นไหน?”

“ถึงกับเคยใช้ดาบไล่ฟันกันไปตามถนนในตำบลเลยล่ะเจ้าค่ะ เห็นว่าคุณชายใหญ่โมโหที่คุณชายเล็กแอบเอาที่ฝนหมึกที่ซื้อมาจากเมืองหลวงไปซ่อน สุดท้ายคุณชายเล็กก็ยอมเอามาคืนแต่ไม่ยอมลงโทษคุณชายเล็ก”

“เอ๋? ไม่ลงโทษสักอย่างเลยหรือ?”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้คุณชายใหญ่โมโหมากจนไปบ่นกับบ่าวรับใช้ว่าอยากจะฆ่าน้องชายให้ตาย”

*************************

ไรท์แนะนำ...ติดตามผลงานทุกเรื่องของไรท์ได้ทางแฟนเพจเฟสบุ๊ก "เอสเต้และซีฟางกั๋วเจีย" นะคะ มีอีบุ๊กให้โหลดฟรีหลายเล่มที่แจกทาง mebmarket ค่ะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel