บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 เดินทางตามหาบิดามารดา

"เช่นนั้นข้าแบกเจ้าเอง"

ครั้นเมื่อหันไปก็หลี่เฟิ่งเซียนที่จับถุงเงินห้าใบยัดในอกเสื้อ เดินไปข้างหน้าดันอู๋สือซว่านออกไปเบาๆ และนั่งลงตรงหน้า เจียงหว่านหนิงกระตุกริมฝีปากขึ้นในใจพลันเกิดความซาบซึ้งจนแทบล้นอก

“รีบขึ้นมาเร็วเข้า ข้ายังไม่อยากเป็นนางโลม"

“ขอบคุณเจ้ามาก”

เสียงห้าวเอ่ยขึ้น พลันใบหน้าแดงซ่าน นางมักจะเป็นผู้ปกป้องผู้อื่นเสมอ ครั้นเมื่อผู้อื่นปกป้องนางบ้าง ก็อดจะเขินอายไม่ได้

“ลี้ละหนึ่งตำลึงเงิน เจ้าห้ามเบี้ยวข้าเด็ดขาด”

ร่างบางที่อยู่บนแผ่นหลังพลันชะงักเกร็งขึ้น คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนทำเอาคนซาบซึ้งไม่ลงจริงๆ ความซาบซึ้งใจก่อนหน้าก็พลันจางหายไปจนหมดสิ้น เฮ้อ...เอาเถอะใครใช้ให้สหายนางรักเงินยิ่งชีพเช่นนี้กันเล่า

“เช่นนั้นข้าสังหารโจรชั่วปกป้องเจ้าจนบาดเจ็บ เจ้าควรจ่ายข้าเท่าใดกัน”

“เป็นสหาย ใครเขาพูดเรื่องเงินเรื่องทองกันเล่า อยู่นิ่งๆ เจ้าพูดมากเดี๋ยวลมเข้าท้องน้ำหนักจะเพิ่มได้”

เพ่ยลู่เสียน อู๋สือซว่าน มู่ซีหว่าน ต่างก็พร้อมใจกันส่ายหน้าถอนหายใจออกมา หลี่เฟิ่งเซียนเอ๋ยหลี่เฟิ่งเซียน เจ้าช่างทำให้คนเหนื่อยใจยิ่งนัก

“แยกกันหนี อีกสามเดือนพบกันที่ศาลาบนเขาหนิงอัน”

เพ่ยลู่เสียนยกมือขึ้นเคาะที่ปลายคาง แววตาขุ่นคิด หากพวกนางยังรวมกัน คงยากที่จะหลบหนี หากแยกกันโอกาสรอดย่อมมีมากกว่า

แต่แม้จะบอกว่าแยกกันหนี แต่บนแผ่นหลังของหลี่เฟิ่งเซียนยังคนมีคนบาดเจ็บอย่างเจียงหว่านหนิงอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องพาหนีไปด้วยกัน เอาเถอะถึงแม้หลี่เฟิ่งเซียนจะรักเงินนัก แต่ก็ย่อมรักสหายร่วมสาบานเช่นกัน หากรอดไปได้ข้าจะเปิดสำนักคุ้มภัย ให้เจียงหว่านหนิงเป็นผู้คุม เช่นนี้ข้าก็จะรวยแล้ว

มู่ซีหว่านมองหลี่เฟิ่งเซียนแบกเจียงหว่านหนิงแยกไปอีกทาง นางก็จับมืออู๋สือซว่านเอาไว้แน่น

"พี่ลู่เสียนระวังตัวด้วย ข้ากับสือซว่านจะแยกไปด้านนั้น"

"พวกเจ้าก็เช่นกัน รีบไปเร็วเข้า"

เพ่ยลู่เสียนเห็นทุกคนวิ่งแยกไปกันแล้ว ก็เดินไปหยิบพลุสัญญาณมาจากศพชายชุดดำคนหนึ่ง วิ่งเร็วๆ ไปในทิศตรงข้ามกับเหล่าสหาย แล้วจึงจุดพลุสัญญาณขึ้นฟ้า หลอกล่อพวกพ่อค้าทาสให้มาทางตน

มู่ซีหว่านจับมือเล็กที่เหมือนหากนางกำแน่นอีกเพียงนิดก็หักลงได้ของอู๋สือซว่านเอาไว้มั่น นางจับมือกันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพราะหากว่าช้าไปเพียงนิด ชีวิตนางทั้งสองอาจจะจบสิ้นลงได้ หญิงสาวหันไปมองด้านหลัง ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังควบขี่ม้าตามพวกนางมา ครั้นเมื่อหันมามองคนที่วิ่งตามมาติดๆ ใบหน้าเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา พลันในใจก็กระตุกหน่วงขึ้นมา

“สือซว่าน เจ้าหนีไปก่อน!!!”

“แล้วท่านเล่า!!!”

“ไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีหนีของข้า”

อู๋สือซว่านได้ยินคำพูดของมู่ซีหว่านก็ส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา แต่เมื่อนางจ้องใบหน้าเล็กอย่างจริงจัง เด็กสาวก็สะอื้นขึ้น แม้จะไม่ยินดี แต่ก็จำใจต้องยินยอม

“พี่ซีหว่าน ท่านสัญญากับข้า อีกสามเดือนต้องไปพบกันที่ศาลาบนเขาซานชุนตามนัดหมาย”

“ได้! ข้าสัญญา”

มู่ซีหว่านเอ่ยปากให้สัญญาอย่างหนักแน่น นางดันแผ่นหลังเล็กไปข้างหน้า เร่งให้เด็กสาวได้วิ่งหนีออกไป อู๋สือซว่านวิ่งไปก็หันกลับมามองนางไป มู่ซีหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ในอกสั่นสะท้าน จำต้องขยับปากขึ้น ทว่าไร้เสียง 'รีบหนีไป อย่าหันมามองข้าอีกเลย' ครั้นเมื่อแผ่นหลังเล็กหายไปจากสายตา นางจึงตั้งหน้าวิ่งตรงไปอีกทาง หลอกล่อให้บุรุษบนหลังม้าที่ใกล้เข้ามาทุกที ไล่ตามนางแทน

บทที่ 1 เดินทางตามหาบิดามารดา

หลี่เฟิ่งเซียนแบกเจียงหว่านหนิงมาตามทางเรื่อยๆ ยามนี้รอบด้านที่พวกนางพาดผ่านเป็นเพียงป่าไผ่รกทึบ หลี่เฟิ่งเซียนหันไปเอ่ยถามเจียงหว่านหนิงเป็นระยะด้วยความห่วงใย

"หว่านหนิง เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง"

เด็กสาวที่ซบใบหน้าซีดเผือดอยู่บนไหล่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า

"พี่เฟิ่งเซียน ข้ารู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงอีกแล้วเจ้าค่ะ"

"เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิด อีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตชายแดนแล้ว ได้ยินว่าด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมเล็กๆ อยู่ ข้าจะส่งเจ้าไปพักที่นั่นก่อน ไว้เจ้าอาการดีขึ้นเราค่อยคิดหาทางออก"

เจียงหว่านหนิงพยักหน้าอย่างช้าๆ นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก นับแต่นี้ไปจึงตั้งมั่นว่าจะนับถือหลี่เฟิ่งเซียนเป็นพี่ใหญ่ที่นางนับถือไปชั่วชีวิต

หลี่เฟิ่งเซียนที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากรบกวนนางมากนัก นางอยากให้เจียงหว่านหนิงเก็บแรงเอาไว้ ระหว่างทางหลี่เฟิ่งเซียนก็ครุ่นคิดบางอย่างเรื่อยเปื่อย

เฮ้อ จะว่าไปนางนี่ก็แบกคนเก่งใช้ได้เลย มิสู้รับจ้างแบกคนหารายได้ระหว่างเดินทางไม่ดีกว่าหรือ?

ไม่ดีๆ!!! หากเจอคนตัวหนักเช่นเจียงหว่านหนิงนางคงเหนื่อยแย่ เช่นนี้ย่อมขาดทุน ค้าขายไม่ได้กำไรกันพอดี

หลี่เฟิ่งเซียนส่ายหน้าไปมา พลางอดยิ้มออกมาไม่ได้

เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ หลี่เฟิ่งเซียนก็พากันเดินมาจนถึงเขตชายแดนแคว้นหนิงอัน ที่นี่คือเมืองอันฉิน เป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่มีผู้คนเดินทางสัญจรมาค้าขายไม่น้อย ที่นี่ไม่มีสงครามจึงค่อนข้างสงบเป็นอย่างยิ่ง หลี่เฟิ่งเซียนมองไปด้านหน้าก่อนจะพบกับโรงเตี๊ยมเล็กๆ นางจึงรีบตรงไปหาเถ้าแก่ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าทันที

"เถ้าแก่ ข้าขอเปิดหนึ่งห้อง ขอเป็นชั้นสอง น้องสาวข้าไม่สบาย ไม่อยากให้พบเจอความวุ่นวายมากนัก"

"ได้ๆ แม่นาง นี่กุญแจห้องของเจ้า ที่นี่มีอาหารเลิศรสบริการ ราคากันเอง"

"เช่นนั้นก็จัดมาให้ข้าหนึ่งชุด"

"ได้ๆ เชิญแม่นางทั้งสองตามสบาย"

หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือไปรับกุญแจห้องมาถือเอาไว้ ระหว่างนั้นนางหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง เพราะเกรงว่าคนพวกนั้นจะตามมาจับพวกนางกลับไปอีก

เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดแล้ว หลี่เฟิ่งเซียนจึงพาเจียงหว่านหนิงมาที่ห้องทันที นางวางเจียงหว่านหนิงลงบนเตียง ก่อนจะรินชาร้อนให้เจียงหว่านหนิงดื่มดับกระหาย เจียงหว่านหนิงดื่มชาในถ้วยจนหมด ความหวานล้ำของชาทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย ไม่นานนักก็มีคนนำอาหารมาส่ง หลี่เฟิ่งเซียนจ้องมองอาหารตรงหน้า ก่อนจะหลับตาลงพลางระงับโทสะ

ให้ตายเถิด นี่หรืออาหารเลิศรสที่ตาเฒ่าหน้าเงินผู้นั้นบอก มีแค่โจ๊กข้าวที่ใสจนแทบมองไม่เห็นเม็ดขาวสองถ้วยกับผักดองเน่าๆ เพียงเท่านั้น บัดซบจริงๆ ข้าไปทวงเงินคืนดีหรือไม่

นี่หรืออาหารเลิศรส

เลิศรสกับผีน่ะสิ!!!

เจียงหว่านหนิงจ้องมองหลี่เฟิ่งเซียนก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่นางก็พอมองออก ยามนี้หลี่เฟิ่งเซียนกำลังอารมณ์เสียที่ได้อาหารไม่สมกับเงินที่นางต้องจ่ายไป

พี่สาวของนางผู้นี้นี่เหลือเกินจริงๆ

"พี่เฟิ่งเซียน กินก่อนเถิด อย่าใส่ใจเลย ยามนี้มีสงคราม โชคดีเพียงใดแล้วที่ยังมีอาหารให้เราได้กิน"

"อืม นั่นสินะ ช่างเถิด"

หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้าก่อนจะยกถ้วยโจ๊กขึ้นมากินแก้หิว เมื่อกินอิ่มแล้ว นางจึงหันมาเอ่ยกับเจียงหว่านหนิง

"หว่านหนิง ข้าคงส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้ หนทางข้างหน้าเราคงต้องแยกกันไปจัดการเรื่องของตน ข้าขอให้เจ้าโชคดีนะ"

"เช่นกันนะเจ้าคะ ข้าเองต้องเดินทางข้ามไปแคว้นโจว เพื่อตามหาบิดามารดาที่แท้จริง ยังไม่รู้เช่นกันว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร"

"ข้าขอให้เจ้าได้พบเจอบิดามารดาดั่งที่ได้ตั้งใจเอาไว้ คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก่อน วันพรุ่งเราค่อยแยกทางกัน"

"เจ้าค่ะ"

เช้าวันต่อมาเจียงหว่านหนิงก็เดินมาส่งหลี่เฟิ่งเซียนที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยม นางรู้สึกผูกพันกับพี่สาวผู้นี้ไม่น้อย เมื่อต้องห่างกัน ย่อมใจหายเป็นอย่างมาก

"รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะพี่เฟิ่งเซียน"

"เจ้าก็เช่นกันนะ เจ้ารีบกลับไปพักเถอะ ไม่ต้องเดินออกมาส่งข้า จำไว้อีกสามเดือนพบกันที่เขาซานชุน เราต้องได้พบกันอีกครา"

"เจ้าค่ะ"

"อ้อ ค่าห้องพัก ไว้อีกสามเดือนค่อยเอามาคืนข้านะ"

"ให้เลยไม่ได้หรือเจ้าคะ"

"ฝันไปเถิด"

เจียงหว่านหนิงส่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่เฟิ่งเซียน และเดินกลับไปห้องเช่นเดิม หลี่เฟิ่งเซียนหันกลับมามองโรงเตี๊ยมคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ

หนทางข้างหน้าช่างยาวไกลยิ่งนัก แล้วพบกันใหม่นะเจียงหว่านหนิง

ด้านเจียงหว่านหนิงนั้นนางกลับมาพักที่บนห้องเช่นเดิม ก่อนจะจ้องมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เหนื่อยล้า แล้วจึงหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับนาง

เดิมทีนางอาศัยอยู่ที่เมืองเฉินเซ่า แคว้นฉางอัน บิดาของนางเป็นทหารรักษาชายแดนตำแหน่งไม่ใหญ่มากนัก ส่วนมารดาของนางเป็นเพียงสตรีชนบททั่วไป ครอบครัวของนางใช้ชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุขเสมอมา จนกระทั่งเกิดสงครามขึ้นระหว่างแคว้นฉางอันและแคว้นต้าเหลียง บิดาของนางเสียชีวิตในสนามรบ นางกับมารดาต้องระเหเร่ร่อนมาพักอยู่ที่สถานลี้ภัยในเมืองตงหยางแคว้นหนิงอัน มารดาเมื่อรู้ว่าบิดาได้ตายจากไปแล้ว จึงเศร้าเสียใจจนล้มป่วย แม้จะดื่มยารักษา แต่ทว่าอาการก็ไม่ดีขึ้น ก่อนที่มารดาจะสิ้นใจ ได้บอกความจริงกับนางประโยคหนึ่ง

"หว่านเอ๋อร์ แท้จริงแล้ว ข้าและท่านพ่อเจ้าไม่ใช่บิดามารดาของเจ้า"

เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ นางจับมือมารดาแน่น ก่อนจะเอ่ยถาม

"จะเป็นไปได้เช่นไรกันเจ้าคะ ในเมื่อ..."

"ยามนี้เจ้าโตแล้ว ข้าคงต้องบอกความจริงกับเจ้า เมื่อสิบสี่ปีก่อนบิดาของเจ้าที่เป็นทหารรักษาชายแดน จับพวกพ่อค้าที่นำทาสและลักพาตัวเด็กๆ รวมถึงเหล่าสตรีมาขายช่วงที่บ้านแคว้นต้าโจวยังไม่สงบสุข เจ้าถูกนำมาขายบิดาเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าครอบครัวที่แท้จริงของเจ้าเป็นใคร รู้เพียงพวกมันจับเจ้ามาจากแคว้นโจว เจ้าถูกส่งตัวไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยามนั้นบุตรสาวของข้าอายุเพียงสี่ขวบได้ตายจาก เราสองสามีภรรยาได้ไปพบเจ้าอีกครา ยามนั้นเจ้ากำลังนั่งร้องไห้อยู่ ไม่ยอมเล่นไม่ยอมสนทนากับเด็กๆ คนใดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลยแม้แต่คนเดียว เราสองสามีรู้สึกถูกชะตากับเจ้า จึงขอรับเจ้ามาเลี้ยงดูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หว่านเอ๋อร์ บิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าอาจเป็นคนแคว้นโจว เจ้าจงรีบเร่งเดินทางไปเถิด ยามนี้สงครามกำลังปะทุ ผู้คนที่ลักลอบทำเพื่อผลประโยชน์ของตนย่อมมีไม่น้อย รับนี่ไป นี่เป็นสมบัติที่ข้าเก็บเอาไว้ให้เจ้า แม้มันจะมูลค่าไม่มาก แต่คงจะช่วยเจ้าได้ไม่น้อย รักษาตัวด้วยนะหว่านเอ๋อร์"

"ท่านแม่!!! ท่านแม่!!!"

สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดพาดผ่านใบหน้าสวยของเจียงหว่านหนิง นับว่าอากาศกำลังดีไม่น้อย ดอกหมู่ตานสีขาวหล่นร่วงลงมาตามสายลม พาให้คนรู้สึกเศร้าใจและสบายตาในคราเดียวกัน

เจียงหว่านหนิงเอนกายลงนอนบนเตียง ยามนี้นางรู้สึกเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก พิษสามบุปผาในกายของนางยังคงกำเริบไม่หยุด ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแรง โชคดีที่นางพยายามกินอาหารและข่มตาหลับ ร่างกายจึงค่อยๆทนกับพิษนี้ได้ นางยกมือของตนขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจออกมา กำไลหยกสีเขียวที่นางสวมใส่มาตั้งแต่เด็ก หายไประหว่างทางที่นางถูกพิษ ยามนี้บ้านเมืองไม่สงบ คนที่หวังช่วงชิงผลประโยชน์จากผู้อื่นย่อมมีมาก นางเดาว่ากำไลหยกสีเขียววงนั้นของนางคงหายไประหว่างที่นางอยู่ที่สถานลี้ภัยเมืองตงหยางเป็นแน่

จะตามหาได้ที่ใดกันเล่า ช่างน่าเสียดายนัก เหตุใดโชคชะตาจึงเล่นตลกกับนางเช่นนี้กันนะ ท่านแม่บุญธรรมบอกนางว่า หยกนี้อาจจะเป็นเบาะแสเพียงชิ้นเดียวที่ทำให้นางตามหาบิดามารดาที่แท้จริงพบ เพาะมันติดตัวนางมาตั้งแต่ถูกขายมาที่แคว้นเฉินเซ่า

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งปวดหัว จึงเลิกคิดมันเสีย หนทางยังอีกยาวไกลนัก หากโชคดีนางอาจจะตามหากำไลหยกของนางเจอก็เป็นได้

โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก นางได้ยินเถ้าแก่โรงเตี๊ยมบอกว่า ส่วนใหญ่คนที่มาเข้าพักมักจะเป็นพ่อค้าจากต่างแคว้นเสียส่วนใหญ่ พวกเขามักเข้ามาทำการค้าขาย แต่ว่าเพราะยามนี้มีสงคราม คนที่เข้าพักจึงค่อนข้างน้อย ทำให้โรงเตี๊ยมค่อนข้างเงียบไปบ้าง โชคดีที่แถวนี้เป็นชนบท จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนัก

เจียงหว่านหนิงตั้งใจว่าจะพักต่ออีกสักคืน พรุุ่งนี้เช้านางจะเดินทางข้ามไปที่แคว้นโจว นางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตามหาบิดามารดาที่แท้จริงจากตรงที่ใดก่อน นางมีญาติสนิทหลงเหลือเพียงคนเดียวคือท่านลุง พี่ชายของบิดานางซึ่งอยู่ที่เมืองเฉินเซ่า แต่ทว่ายามนี้กลับหลบหนีจากสงครามเช่นเดียวกัน

หลังจากจัดการศพให้ท่านแม่แล้ว นางก็เดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกคนชั่วพวกนั้นลักพาตัวนางมา โชคดีที่นางพอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง เพียงพอที่จะปกป้องตนเองได้ และโชคดียิ่งกว่าที่นางได้พบกับสหายทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ที่ดีกับนางเหลือเกิน

ตลอดคืนเจียงหว่านหนิงนอนพักเอาแรงและกินอาหารจนอิ่ม จวบจนรุ่งเช้านางจึงออกเดินทางไปแคว้นโจว โชคดีที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมและภรรยาของเขาจะเดินทางไปหาซื้อสินค้าที่แคว้นโจวพอดี เขาจึงให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ใช้เวลาร่วมสิบกว่าวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็เดินทางเข้าสู่เขตชายแดนของแคว้นต้าโจว

นางมองผู้คนที่เดินสวนกันไปมา บ้านเมืองดูสงบสุขและไร้ซึ่งสงครามใดๆ ผู้คนต่างใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข เจียงหว่านหนิงกระชับห่อผ้าในมือแน่น ก่อนจะมองสำรวจไปโดยรอบ

นี่น่ะหรือแคว้นต้าโจว สถานที่ที่บิดามารดาแท้ๆของนางอาศัยอยู่

แล้วนางจะเริ่มตามหาจากที่ใดก่อนดีนะ บ้านเมืองกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้

เจียงหว่านหนิงไม่เคยเดินทางมาเมืองใหญ่เช่นนี้มาก่อน นางเป็นเพียงสตรีชนบท ไม่ได้รู้กฎระเบียบและการใช้ชีวิตของดินแดนต่างแคว้นเท่าใดนัก นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพบกับโรงน้ำชาเล็กๆ นางเดินเข้าไปและสั่งชามาดื่มเพื่อดับกระหาย ชาที่นี่รสชาติดีไม่น้อย ก่อนจะออกจากร้านนางยังซื้อซาลาเปาไส้เนื้อติดมือมาด้วย เอาไว้กินระว่างทางเผื่อนางเกิดหิว เมื่อได้พักเต็มที่ก็รู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างดีขึ้นไม่น้อย

"นี่!! อย่ามายุ่งกับข้านะ เจ้าคนเสเพลไม่เอาไหน!!!"

เจียงหว่านหนิงที่เดินออกมาจากโรงน้ำชา พลันได้ยินเสียงของสตรีน้อยนางหนึ่งที่เอ่ยด่าทอใครบางคนอยู่ นางขมวดคิ้วก่อนจะเดินตรงไปยังที่มาของเสียง ภาพตรงหน้าคือบุรุษผู้หนึ่ง เขาสวมผ้าเนื้อดีดูแล้วคงจะเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์จากตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ส่วนสตรีน้อยนางนั้นมีใบหน้างดงามเป็นอย่างยิ่ง นางสวมชุดราวกับสตรีมีศักดิ์ฐานะ และกำลังชี้หน้าด่าทอบุรุษตรงหน้าผู้นั้นอย่างโกธรเกรี้ยว

"ไป๋ซู่ฮวา เจ้าอย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย คราก่อนพี่ชายเจ้าก็ทำให้ข้าอารมณ์เสีย ครานี้ข้าจะเอาโทสะมาลงกับเจ้า ดูสิว่า หากเจ้าตกเป็นภรรยาข้าแล้ว พี่ชายจอมอวดดีของเจ้าจะทำเช่นไร"

"ถอยไปนะ อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย!!!"

"มาให้ข้ากอดสักคราเถิด ไป๋ซู่ฮวา"

เจียงหว่านหนิงที่ได้เห็นเช่นนั้นแววตาของนางก็เย็นเยียบ นางเกลียดที่สุดคือบุรุษเฮงซวยพวกนี้ที่ชอบข่มเหงรังแกสตรี ใช้ได้ที่ใดกัน เอาโทสะมาลงที่สตรีเช่นนี้ เดิมทีนางไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้ใด แต่ทว่าสตรีน้อยนางนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน

"ช่วยข้าด้วย ฮือ ข้าจะฟ้องท่านพี่!!!"

"ฟ้องเลย วันนี้ข้าจะกอด โอ๊ะ!!!"

บุรุษผู้นั้นยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาชนเขาอย่างแรง ก่อนจะอาเจียนใส่เขาคราหนึ่ง

"บัดซบ อี๋!!!"

"ขออภัยเจ้าค่ะ พอดีข้าไม่สบาย เวียนหัวมากจึงเผลอล่วงเกินนายท่านแล้ว"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel