บท
ตั้งค่า

บทนำ 1 สวรรค์จันทรา

บรรยากาศบนสรวงสวรรค์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เหล่าเทพเซียนจากทั่วทุกชั้นฟ้าได้รวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงแห่งสวรรค์ เพื่อหารือถึงวิกฤตที่กำลังคุกคามทั้งโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

เหนือบัลลังก์ทองคำ เฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ ทรงเปล่งสุรเสียงหนักแน่น สะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง

“บัดนี้ หมู่มารได้บังอาจบุกรุก ทำลายและครอบครองโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำ ยังลามปามขึ้นมาก่อกวนยังสรวงสวรรค์! พวกเราจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้! จะต้องหาทางกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”

เฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์กล่าว

เสียงสนทนาอื้ออึงของเหล่าเทพเซียนดังกระหึ่มด้วยความกังวล เทพแห่งสงครามผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาเทพนักรบลุกขึ้น ประสานมือคารวะจักรพรรดิอย่างเคร่งขรึม

“องค์จักรพรรดิ ข้าได้ส่งบุตรชายของข้าลงไปสำรวจโลกมนุษย์แล้ว” เสียนเทียนกล่าวพร้อมนำเสนอความเก่งกาจของบุตรชายตน

“เขาเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้ายินดีจะให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ในการศึกครั้งนี้”

เฮ่าเทียนตี้จุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงเนตรเปล่งประกายทรงอำนาจ

“ดีมาก อย่างไรก็ดี พวกเจ้าจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังปกป้องทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ข้าจะไม่ยอมให้หมู่มารเหิมเกริมไปมากกว่านี้”

ขณะที่เหล่าเทพสนทนากันอย่างเคร่งเครียดนั้น

เย่ว์ซิน เทพแห่งจันทรา เป็นธิดาแห่งจักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ นั่งอยู่เงียบ ๆ

แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ภายในใจของเย่ว์ซินกลับปั่นป่วน เธอหลงใหลโลกมนุษย์เสมอมา ดวงตาของเธอทอดมองลงไปยังเบื้องล่าง ฝ่ามือบีบกันแน่นอย่างลังเล

“เหล่าเทพกังวลเรื่องศึกสงคราม...แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจชะตากรรมของมนุษย์ที่กำลังทุกข์ทรมาน”

เธอรำพึงกับตนเองในใจแม้ว่ากฎสวรรค์จะเข้มงวด ไม่อนุญาตให้เทพลงไปยังโลกมนุษย์โดยพลการ แต่เย่ว์ซินก็ตัดสินใจแน่วแน่ เธอจะต้องลงไปดูด้วยตาของตัวเอง ว่ามนุษย์ต้องเผชิญกับอะไรกันแน่

เธอเงยหน้าขึ้น แอบลอบถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นและหายตัวไปจากที่ประชุม

นางกำนัลสวรรค์เดินตามธิดาเทพไปยังห้องบรรทมอย่างเงียบงัน

เยว์ซินเป็นธิดาเทพผู้เลอโฉม ร่างบางของนางงดงามดุจดวงจันทร์ที่ทอแสงเจิดจรัสไร้สิ่งใดเทียบเทียม นางปลดอาภรณ์สีเงินระยิบระยับราวแสงแห่งรัตติกาลออกจากกาย

พร้อมถอดมงกุฎประดับมุกจันทราสีเงินเหลือบฟ้า และคู่กำไลเงินสลักลายเสี้ยวพระจันทร์และหมู่ดาว ทุกครั้งที่ธิดาเทพขยับ กำไลเหล่านั้นจะสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับดั่งดาวบนฟากฟ้า

นางค่อยๆ ปลดต่างหูคริสตัลจันทราเส้นเล็กที่ดูราวกับดาวตกออกจากใบหู และสวมอาภรณ์สีฟ้าเรียบง่ายแทน สิ่งเดียวที่ยังคงติดกายนางตลอดคือแหวนไข่มุกจันทรา

อัญมณีที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด และไม่เคยถูกถอดออก

"ธิดาเทพจะเสด็จไปที่ใดเพคะ?"

ซือเหยา นางกำนัลคนสนิทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

"ข้าจะลงไปยังโลกมนุษย์ เจ้าจะติดตามไปด้วยหรือไม่ ซือเหยา?"

เยว์ซินถามกลับ สายตานิ่งสงบแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน

"ที่ใดที่ธิดาเทพเสด็จ หม่อมฉันย่อมตามไปเพคะ"

ซือเหยาตอบหนักแน่น

เยว์ซินยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

"ดี ข้าจะไปยังหุบเขาผีเสื้อดำ อยากรู้ว่าที่นั่นมีหมู่มารและเหล่าเซียนชุมนุมกันมากเพียงใดอย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่"

"ที่นั่นอันตรายเพคะ! พระองค์สูญเสียพลังไปครึ่งหนึ่งเมื่อลงมายังโลกมนุษย์ พวกมารย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้แน่!"

ซือเหยากล่าวเตือน สีหน้าเคร่งเครียด

เยว์ซินหัวเราะเบาๆ

"ข้าอ่อนแอเพียงนั้นเชียวหรือ? แม้พลังแห่งดวงจันทร์ของข้าจะใช้ไม่ได้ในยามกลางวัน แต่เมื่อตกค่ำ...มันคือเวลาของข้า เจ้าห่วงอันใดกัน ตัวเจ้าเองก็มีพลังมนตราไม่น้อย อย่าขลาดนักเลย"

กล่าวจบ เยว์ซินหันหลัง ก้าวเดินไปยังประตูสวรรค์ที่ถูกปกปักโดยมังกรเทพ มังกรทองตัวยาวสง่าสะบัดลำตัวราวกับสายลมทองคำ

เกล็ดของมันสะท้อนแสงเจิดจ้า แต่นางไม่รีรอ ใช้ม่านพลังรัตติกาลบดบังร่างจนไร้ร่องรอย ก่อนลอดผ่านประตูและหายไปจากสวรรค์ในพริบตา...

ทันทีที่เท้าแตะพื้นโลกมนุษย์ กระแสพลังบริสุทธิ์ของนางแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เหล่าหมู่มารสะดุ้ง สัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เคยมีมาก่อน

หุบเขาผีเสื้อดำ...

ท่ามกลางม่านหมอกสีเทาที่ลอยคลุ้งปกคลุมราวกับม่านแห่งความลี้ลับ ลึกเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ มีสวนดอกไม้ต้องมนตร์ซ่อนอยู่ พื้นดินเย็นเยียบราวถูกแช่แข็งด้วยไอวิญญาณ และแม้ว่าดอกไม้ที่นี่จะมอดไหม้ในความมืดมิด ทว่าเมื่อเยว์ซินมาถึง...พวกมันกลับเบ่งบานขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

เหล่าเซียนและหมู่มารสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์จากดวงจันทร์ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของผู้ใด

"ที่นี่เงียบจนน่าขนลุก ขนาดตอนกลางวันยังดูอันตราย ซือเหยา...ระวังตัวด้วย"

"เจ้าค่ะ ธิดาเทพ"

"ต่อไปให้เรียกข้าว่า เยว์ซิน เราเป็นพี่น้องกัน จงจำไว้"

"ได้...เยว์ซิน"

"ดีมาก"

“เราไปกันเถอะ” เยว์ซินจับแขนนางกำนันคนสนิทของตนก้าวเดินไปอย่างไม่ลังเล

"ดอกไม้นี้สวยจังเลย เยว์ซิน"

ซือเหยาเดินเข้าไปใกล้ดอกไม้สีฟ้าหม่นที่เปล่งแสงระยิบระยับ นางเอื้อมมือออกไปจะสัมผัส แต่ชะงักเมื่อเยว์ซินกล่าวเตือน

"ห้ามจับเด็ดขาด! นั่นคือดอกครวญคร่ำ ผู้ใดสัมผัสมันจะได้ยินเสียงกระซิบของวิญญาณอยู่ในหูตลอดเวลา จนเสียสติไปในที่สุด"

ซือเหยาหน้าถอดสี

"ตายแล้ว! ที่นี่น่ากลัวจริงๆ ขนาดกลางวันยังชวนขนลุก กลางคืนจะรอดหรือไม่ก็ไม่รู้!"

"เราเดินไปอีกหน่อย ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายมนุษย์จำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนของหุบเขานี้"

ทั้งสองเดินต่อไปจนพบกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีหญิงชราและชายชราสองผัวเมียอาศัยอยู่

"ที่นี่มีผู้ใดอยู่หรือไม่? พวกเราหลงทาง ขอความช่วยเหลือด้วย!"

ซือเหยาตะโกนเรียก

เสียงแหบพร่าของหญิงชราดังขึ้น

"นี่ก็มืดค่ำแล้ว แม่นางสองคนมาจากที่ใดกัน เวลานี้ไม่มีใครกล้าออกมาเดินเพ่นพ่านในหุบเขาผีเสื้อดำหรอกนะ"

"พวกข้าหลงทางมา ขออาศัยอยู่สักคืนได้หรือไม่?" เยว์ซินกล่าว

หญิงชรายิ้มกว้าง

"ได้สิ นังหนู พวกเจ้ามาเหนื่อยๆ เข้ามาพักเถอะ ข้าเดี๋ยวข้าเอาน้ำแกงร้อนๆมาให้ดื่ม วันนี้อากาศเย็นเดี๋ยวจะไม่สบาย"

หญิงชราเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยลางร้าย แล้วนางก็เดินกลับมาพร้อมถ้วยน้ำแกงวางให้กับพวกเขาทั้งสองคน

ซือเหยาหยิบถ้วยน้ำแกงขึ้นมาเตรียมดื่ม แต่เยว์ซินรีบเอ่ยขึ้น

"หากเจ้าดื่มเข้าไป ร่างกายของเจ้าจะขยับไม่ได้ พิษจะเผาไหม้กระดูกจนแหลกเป็นผุยผงในคืนเดียว... นั่นคือพิษแมงป่องปีศาจ"

ซือเหยาตัวสั่น รีบเทน้ำแกงทิ้งทันที

คืนนี้ดึกมากแล้วเยว์ซินและซือเหยาหลับสนิท

หญิงและชายชราเผยร่างแท้จริงเป็นปีศาจแมงป่องหวังดูดกลืนพลังวิญญาณ แต่ทันทีที่พวกมันเริ่มลงมือ แหวนไข่มุกจันทราก็เปล่งแสงสว่างจ้า

"คิดจะดูดพลังจากข้างั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!"

เยว์ซินวาดวงเวทย์จันทรา สะกดปีศาจทั้งสองเข้าไปในลูกแก้วทันที

ซือเหยาถอนหายใจ แต่ยังไม่ทันได้ผ่อนคลาย เสียงกรีดร้องของปีศาจดังลั่น

ตูม!

พลังมืดปะทุออกมา เยว์ซินรีบยกมือขวาเรียกม่านแสงขึ้นป้องกัน แล้วฟาดลำแสงใส่ปีศาจขาดแยกร่างเป็นท่อน ๆเลือดสีดำกระเซ็น ปีศาจดิ้นรนก่อนถูกวงเวทย์ดูดกลืนไปจนหมด ทุกอย่างเงียบลง เหลือเพียงเสียงหอบเหนื่อยในความมืด
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel