บท
ตั้งค่า

2

หลังจากออกมาจากบ้านที่แค่ต้องการขูดเลือดขูดเนื้อฉันหลังนั้น ฉันก็เดินมาถึงหน้าโรงแรมที่ฉันเคยทำงานโดยไม่รู้ตัว

ฉันมองสิ่งก่อสร้างอันคุ้นเคยเสมอกันแห่งนี้ แล้วยกเท้าเดินเข้าไป

นอนบนเตียงใหญ่หรูหราอันอุ่นนุ่มราวกับกลีบเมฆ ฉันจ้องเพดานอย่างเหม่อลอย ขณะตกอยู่ในห้วงความคิด

ก่อนจะถึงวันนี้ ฉันนึกมาตลอดว่าตนคือคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

มีพ่อแม่ที่รักฉัน เมื่อฉันเจออุปสรรคในการทำงานก็จะปลอบฉัน ช่วยฉันคิดหาทางออก

มีน้องชายที่เป็นห่วงฉัน ตอนฉันทำงานล่วงเวลาก็จะทำอาหารโปรดของฉันมาส่งที่บริษัท

แม้กระทั่งน้องสะใภ้ที่มาในภายหลัง ก็สนิทแนบแน่นกับฉันด้วย เดินชอปปิ้งกินข้าวด้วยกัน เป็นเพื่อนซี้ที่สนิทสนมที่สุด

เพราะฉะนั้นในตอนแรกสุด เมื่อฉันเห็นคนพูดเรื่องให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง ความสัมพันธ์พี่สาวน้องสะใภ้ย่ำแย่ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย

จะมีพ่อแม่ที่ไม่รักลูกสาวตัวเอง มีน้องชายที่ไม่รักพี่สาวตัวเองได้อย่างไร?

ต่อมาเมื่อรู้ว่ามีคนอยู่ในครอบครัวแบบนี้จริง

ก็สงสารชะตากรรมของพวกเธอ พลางดีใจที่ตัวเองมีพ่อแม่ดี น้องสะใภ้ดี

ตอนนี้ดูท่าแล้ว ฉันต่างหากละที่เป็นไอ้โง่คนนั้น

สำหรับพวกเขาฉันมันก็แค่เครื่องมือที่ว่าง่ายและใช้ดี เมื่อฉันมีค่าแก่การใช้ประโยชน์ก็ทำดีกับฉัน

ในสายตาพวกเขาฉันไม่มีคุณค่าแล้ว จึงเตะฉันออกไปเหมือนกับขยะ

ฉันหาเงินเลี้ยงพวกเขา พวกเขาปั้นหน้ายิ้มต้อนรับ เอาใจใส่ฉันอย่างทั่วถึง

ความรักที่พวกเขาทำให้ฉันรู้สึกได้ ล้วนมีต้นทุนทั้งสิ้น ต้องให้ฉันแลกด้วยเงินทองของจริง

ที่แท้แล้ว ฉันยอมทิ้งอิสรภาพ อุทิศทุกอย่างให้ความรักในครอบครัว ก็แค่ธุรกิจ

ฉันนึกถึงรอยยิ้มลุ่มลึกของเศรษฐีรวยอันดับต้นที่ฉันช่วยชีวิตไว้หลังจากได้ฟังเรื่องราวของฉัน

บางทีเธออาจจะรอฉันเติบโตเอง

นึกถึงเธอ ฉันก็นั่งขึ้นมาทันที มองตัวเลขเก้าหลักในบัตรธนาคาร

ตอนนี้ฉันคือเศรษฐีพันล้าน ยังมีความกลุ้มใจที่เงินแก้ไม่ได้ด้วยเหรอ?

ฉันยกมือโทรหาห้องพักของโรงแรม

สองชั่วโมงต่อมา โรงแรมแห่งที่หรูหราสุดในเมืองนี้ ก็กลายเป็นทรัพย์สินในนามของฉัน

นาทีที่ฉันเซ็นสัญญาเสร็จ ฉันกำลังคิด

ถ้าบรรดาคนในครอบครัวสุดที่รักของฉันได้รู้ว่า “ฆาตกร” ที่พวกเขาทิ้งเหมือนรองเท้า กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน

ยืนอยู่บนยอดเมฆ

สีหน้าจะอัศจรรย์แค่ไหน

อีกอย่างโรงแรมแห่งนี้ที่ฉันซื้อไปก็ไม่ได้ถลุงเงินไปเรื่อยเปื่อย

ก่อนฉันเข้าคุกก็ได้เป็นผู้จัดการระดับสูงของโรงแรมแห่งนี้

การปฏิบัติการ การบริหาร และผู้รับผิดชอบแต่ละแผนกในโรงแรมนั้นฉันคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อผู้บังคับบัญชาของฉันในอดีตเห็นฉันนั่งตำแหน่งท่านประธานก็ตกตะลึงเล็กน้อย

ผู้ที่ทำงานในโรงแรมแห่งนี้ได้

แต่ละคนเป็นบุคคลเฉลียวฉลาดทั้งนั้น

ถึงแม้เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉันออกจากคุกแล้วปุบปับกลายเป็นเจ้านายใหญ่เลย

แต่เธอรู้จักไม่ถามในสิ่งที่ไม่ควร

ฉันพึงพอใจมากกับปฏิกิริยาของเธอ ฉันต้องการคนฉลาดแบบนี้ทำงานร่วมกับฉัน

โรงแรมแห่งนี้เดิมแล้วก็มีชื่อเสียงยอดเยี่ยม นอกจากที่พักอาหารเครื่องดื่ม ยังรับจัดงานเลี้ยง งานนิทรรศการคุณภาพสูงต่างๆ มากมาย

เป็นสถานที่จัดกิจกรรมคุณภาพยอดชื่อดังในท้องถิ่น

โดยเฉพาะงานเลี้ยง จองคิวโต๊ะเป็นเรื่องยากเสมอ

หลังการบริหารของฉัน ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์และสถานะทางสังคม

ผู้ที่สามารถจองงานเลี้ยงในโรงแรมฉันได้ก็แสดงถึงอำนาจที่แน่นอนในเบื้องต้น

ทรัพย์สินฉันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเศรษฐีพันล้านกลายเป็นเศรษฐีสาวรวยอันดับต้นของเมืองนี้

แต่ฉันประพฤติตัวถ่อมตนเสมอ โลกภายนอกน้อยคนมากที่จะรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันกลายเป็นตำนานในชั่วขณะหนึ่ง

ความสุขในการทำธุรกิจ ไม่สามารถหาที่เปรียบได้

ฉันในระหว่างที่หมกมุ่นอยู่กับงานก็ค่อยๆ ลืมเหล่าบรรดาคนในครอบครัวผู้น่ารังเกียจของฉันไว้ข้างหลัง

พวกเขาในตอนนี้

ไม่คู่ควรกับเวลาและความคิดใดๆ ของฉัน

กระทั่งบ่ายหนึ่งในครึ่งปีต่อมา ฉันปลอมตัวเป็นลูกค้าเพื่อตรวจตราการทำงานในแต่ละแผนก

ได้ยินเสียงน้องชายฉันตรงประตูห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง

“ขอกล่าวขอบคุณทุกท่านที่มางานวันเกิดครบร้อยวันของลูกชายผม โรงแรมนี้จองโคตรยากเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ รอตั้งแต่พิธีดื่มฉลองครบเดือนจนถึงงานวันเกิดครบร้อยวัน ทุกคนมาแล้วก็กินดื่มกันให้เต็มที่ อาหารไม่พอก็เพิ่มตามสบาย สั่งตามสบาย!”

ด้านข้างมีเสียงคล้อยตาม

“พิชิตฉันเนี่ยมีเกียรติจัง จองโรงแรมนี้ได้ด้วย เป็นเราคงรอคลอดลูกคนที่สองแล้วยังต่อคิวไม่ได้”

น้องชายฉันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ ท่าทางพอใจกับคำชมนี้มาก

ได้ยินเสียงน้องชายฉัน ฉันรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกใบหนึ่ง แต่ฉันไม่อยากยุ่งวุ่นวายอะไรกับคนในครอบครัวนี้อีกแล้ว

ขณะที่ตั้งใจจะออกไป ประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออกโดยฉับพลัน

แม่ฉันชูโทรศัพท์อย่างปลื้มปีติยินดีกำลังถ่ายวิดีโอ ผลคือปรากฏใบหน้าฉันอยู่กลางเลนส์กล้อง

“พลอยชนก!? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?”

ผู้ที่ตอบสนองไวสุดคือน้องสะใภ้ฉัน เธอถามเสียงดุดัน

น้องชายฉันก็หันมามองฉัน รอยยิ้มบนหน้าแม่ฉันหายไปนานแล้ว สีหน้าพ่อฉันก็ไม่ดีเลย จ้องฉันเขม็ง

ญาติคนอื่นก็สีหน้าไม่พอใจกันหมด แววตาที่มองฉันไม่รังเกียจก็สะอิดสะเอียน เห็นสีหน้าท่าทางอัศจรรย์เช่นนี้แล้วจู่ๆ ฉันก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร

ฉันอมยิ้มพลางมองพวกเขาโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ น้องสะใภ้ฉันเห็นฉันไม่พูดก็เดินเข้ามาใกล้อีกหน่อยพร้อมชี้ฉันแล้วเอ่ย

“เธอหน้าด้านไปหรือเปล่า ขายขี้หน้าตระกูลเชาวกรกุลของเราซะจริง เป็นขอทานเนียนกินฟรีในงานวันเกิดร้อยวันลูกชายฉันงั้นสิ?”

ฉันกล่าวอย่างใจเย็น “ใครบอกว่าฉันมาเนียนกินฟรี?”

“ไม่เนียนกินฟรีแล้วจะอะไรได้? เธอเฝ้าจับตาดูครอบครัวเราอยู่ตลอดเลยสินะ ได้ยินว่าเราจะจัดงานเลี้ยงเธอเลยแอบตามมาใช่ไหม? หรือว่าเธอซ่อนตัวในโรงแรม เก็บข้าวเหลือกินทุกวัน?”

แววตาที่น้องสะใภ้ฉันมองฉันดูเหยียดหยามขึ้นทุกที

ทั้งยังวางมือไว้หน้าจมูกแล้วพัด

ราวกับว่าคุยกับฉันแล้วจะปนเปื้อนบางอย่างที่สกปรก

ฉันยังคงยิ้มพลางมองเธอโดยที่ไม่พูดอะไร

น้องชายฉันก็เอ่ยปากขึ้น

“พลอยชนก ตอนแรกที่พี่บอกว่าเราตัดขาดกัน ฉันยังคิดเลยว่าพี่หยิ่งในศักดิ์ศรีไปหน่อย ตอนนี้พี่ใช้ชีวิตถึงขั้นเก็บขยะมากินก็เพราะพี่รนหาที่เอง แต่ฉันไม่คิดเลยว่าพี่จะมาเนียนกินฟรีกระทั่งงานเลี้ยงหลานชายของตัวเอง”

“น่าขยะแขยงจริงๆ” น้องสะใภ้ฉันพูดคล้อยตาม

พ่อฉันก็วางมาดเจ้าบ้านใหญ่พลางเอ่ยปากขึ้น

“พลอยชนก ฉันสอนแกตั้งแต่เด็กว่าให้ทำตัวมีศักดิ์ศรี ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่คิดเลยว่าเพื่อให้กินอะไรดีหน่อย แม้แต่ยางอายความชอบธรรมพื้นฐานเธอก็ไม่มีแล้ว!”

ฉันแค่นยิ้มพูดขึ้น “แค่อาหารมื้อเดียว ฉันไม่สนใจหรอก”

“โอ้โห ไม่สนใจ แล้วเธอใส่ชุดกีฬาเน่าๆ มาเนียนกินฟรีทำไมล่ะ ไม่สนใจเหรอ เฮอะ ฉันว่ายาจกอย่างเธอเนี่ยกินอาหารเน่าเสียจนโง่ไปแล้วล่ะ”

“มาดูว่าที่เรากินคืออะไร นังชั้นต่ำอย่างเธอตอนนี้ดิ้นรนทั้งชีวิตก็ไม่มีสิทธิ์มานั่งกินที่นี่ ยังตอแหลว่าไม่แคร์อีก คนเราน่ะ ก็คือห้ามจน พอจนแล้ว ก็ทำเรื่องไร้ยางอายได้หมด”

ฉันได้ยินคำเยาะเย้ยถากถางจากน้องสะใภ้ฉัน ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เห็นด้วยเลยนะ เวลาคนเราจนน่ะ ก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ”

ฟังออกถึงการเหน็บแนมของฉัน น้องสะใภ้ก็โมโหจนพูดไม่ออกสักพักหนึ่ง

แม่ฉันก็เก็บโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วพูดกับฉัน

“พลอย รีบไปเถอะ คนเราต้องรู้จักประเมินตัวเอง นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาได้ วันนี้งานวันเกิดร้อยวันหลานชายคนโตตระกูลเชาวกรกุลฉัน และไม่ยินดีต้อนรับเธอด้วย”

“ใช่ อย่าเอาความจนกับเคราะห์ร้ายมาให้ลูกชายฉัน เสนียดจริงๆ”

“ถ้าเธอรู้สึกเสนียด เธอก็ไปได้นะ” ฉันพูดกับน้องสะใภ้ฉันอย่างไม่ยี่หระ

“แก แกมันหน้าด้านเหลือเกิน เงินในกระเป๋าไม่มี ปากดีอีกต่างหาก ทำไมฉันต้องไป แกต่างหากล่ะ มีสิทธิ์อะไรเข้ามาในสถานที่แบบนี้เหรอ?”

น้องสะใภ้ฉันอาจถูกท่าทีฉันกระตุ้นเข้า

พับแขนเสื้อขึ้นทันทีแล้วตั้งใจจะผลักฉันออกไปโดยไม่สนภาพลักษณ์

ฉันเบี่ยงตัวเล็กน้อยหลบการฉุดดึง เธอโซเซเกือบล้มแทน

เห็นภรรยาสุดที่รักของตนเกือบล้ม น้องชายฉันก็ยกแขนขึ้นทันที

“เพี้ยะ”

เสียงอื้ออึงหนึ่งดังขึ้น ฝ่ามือเขาฟาดลงบนหน้าฉัน

ถึงแม้ฉันจะเบี่ยงหลบแล้ว

ก็ถูกตบอย่างแรงอยู่ดี

แก้มเจ็บปวดแสบปวดร้อน

เมื่อฉันมองเขาอีกครั้งในแววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล

น้องชายฉันจ้องตาพลางชี้ฉันแล้วพูดขึ้น

“พลอยชนก ฉันแนะนำให้เธอประเมินตัวเองหน่อยจะดีที่สุด ฉันไม่อยากทำเกินเหตุ เธอไม่ใช่ผู้จัดการอาวุโสของที่นี่ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เธอก็แค่ไอขอทาน เธอคิดว่าใครยังตามใจเธออีก?”

พูดจบ สายตาเขาก็มองข้ามฉันไปแล้วตะโกนลั่นไปตรงทางเดิน

“ใครก็ได้มานี่ รปภ.ล่ะ?”

ได้ยินเสียง รปภ.ทีมสามคนก็รีบมาอย่างรวดเร็ว

น้องชายฉันเห็นรปภ.ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ไล่ยัยขอทานนี่ออกไปซะ ให้หมาแมวเข้ามาได้หมด พวกนายทำหน้าที่ประสาอะไร?”

หัวหน้ารปภ.ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวขอโทษน้องชายฉันอย่างมีมารยาทก่อน

แล้วหันศีรษะมามองฉันก่อนพูดขึ้น

“สุภาพสตรีครับ เชิญคุณออกไปจากที่นี่ชั่วคราว”

ถึงแม้ว่าโรงแรมแห่งนี้ฉันเป็นคนบริหารด้วยอำนาจเต็ม

แต่ในชีวิตประจำวันฉันประพฤติตัวถ่อมตน

นอกจากหัวหน้าแต่ละแผนกแล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้จัดการอาวุโสก็น้อยครั้งมากที่จะได้พบเจอฉัน

เพราะฉะนั้นหัวหน้ารปภ.ไม่รู้จักฉันก็เป็นเรื่องปกติ

รวมทั้งตอนนี้รูปแบบการจัดการของเขาที่ไม่หยิ่งยโสไม่ถ่อมตนและสุภาพเรียบร้อยทำให้ฉันพึงพอใจมาก

จึงพยักหน้าโดยอัตโนมัติ

เห็นสีหน้าฉันปกติ น้องชายฉันก็ตวาดอีกครั้ง

“พวกนายอึ้งกันทำไม ไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหรอ? โยนยัยนี่ออกไปซะ เร็วเข้า!”

เผชิญหน้ากับเสียงตวาดของน้องชายฉัน รปภ.ธรรมดาอีกสองคนค่อนข้างอยากเอามือมาดึงแขนฉัน

ฉันพูดเสียงดุดัน “นี่คือวิธีจัดการปัญหาของพวกคุณเหรอ?”

“คุณไม่รู้หรือไงว่าทุกคนที่นี่เป็นลูกค้าของพวกคุณ? หรือลืมจุดประสงค์ของโรงแรมไปแล้วว่าห้ามใส่อคติส่วนตัวมองคนอื่น บริการลูกค้าทุกท่านให้เสมอภาคกัน?”

ได้ยินคำถามของฉัน หัวหน้ารปภ.มองฉันด้วยใบหน้าแฝงรู้สึกผิด

รปภ.ธรรมดาสองนายด้านหลังถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรู้สึกผิด

เห็นเหตุการณ์นี้ น้องสะใภ้ฉันก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

“พวกนายกลัวอะไร เธอก็แค่ยาจก ไอขอทาน เธอเคยติดคุกมาแล้ว! รีบไล่เธอไปซะ!”

หัวหน้ารปภ.พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอโทษครับ ไม่ว่าเธอจะมีสถานะอะไร เราจะไม่ไล่ลูกค้าทุกท่านที่มาถึงโรงแรมอย่างไร้เหตุผล”

“ดีๆๆ ฉันว่าพวกนายไม่อยากทำแล้ว ก็รอฉันโทรหาผู้จัดการพวกนายละกัน!”

น้องชายฉันควักโทรศัพท์ออกมากดตัวเลขชุดหนึ่ง

ดังเป็นเวลานานอีกฝ่ายถึงจะรับสาย

น้องชายฉันรีบพูดขึ้นอย่างประจบ “ผู้จัดการธราธิปเหรอครับ ผมพิชิตนะ……”

ที่ขัดจังหวะเขาคือสัญญาณหลังโทรศัพท์วางสาย

ดังชัดเจนเป็นพิเศษในห้องส่วนตัวอันเงียบสงบ

สีหน้าน้องชายฉันไม่เป็นธรรมชาตินิดหน่อย

ฉันแค่นยิ้มพลางควักโทรศัพท์ออกมา

“ผู้จัดการธราธิปใช่ไหม ฉันช่วยนายเรียก”

พูดพลางส่งข้อความเสียงหนึ่งไปหา

“ธิป อีกสามนาทีมาที่ห้องส่วนตัว 207”

น้องชายฉันพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม

“พลอยชนก เธอสมองเพี้ยนหรือเปล่า เธอที่เป็นยาจกขอทานจะเสแสร้งไปทำไม? ไหนจะธิปอีก เธอคิดว่าเธอเป็นใคร ฉันไม่รู้หรือไงว่าเธอมีสถานะอะไร”

พ่อฉันก็พูดขึ้นอย่างจงเกลียดจงชัง

“ตระกูลเชาวกรกุลของเราช่างเคราะห์ร้ายจริงๆ แกทำให้เสียเกียรติหมดแล้ว เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต แกรีบไปเถอะ ตราบใดที่ต่อไปอย่าคิดแผนการบ้าๆ พยายามตีสนิทเราแล้วฉันจะทำเหมือนวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ฉันแค่นยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

ญาติโดยรอบก็มองฉันเหมือนมองตัวตลก

แต่อีกประเดี๋ยวสีหน้าพวกเขาจะยิ่งอัศจรรย์กว่านี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel