บบที่ 6 จากลา
เสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมายังหน้าโรงหมอ บุรุษร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้าด้วยความเร่งร้อน
“ซื่อจื่อ” ผู้ช่วยหมอหลี่ค้อมศีรษะเล็กน้อย
ผู้มาเยือนคือซื่อจื่อแห่งเมืองอันเจียง นามว่า ‘ซวี่ฟางจิ้น’ และเขาเป็นคนช่วยเหลือจางหลินจูเอาไว้
“ท่านหมอหลี่เล่า”
“ท่านหมอออกไปแล้วขอรับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไปแล้ว ข้าบอกให้รอข้าก่อนไม่ใช่หรือ แล้วนาง…” ซวี่ฟางจิ้นแอบลังเลเมื่อกล่าวถึงเด็กสาวที่ตนเพิ่งพบเจอไม่กี่ชั่วยาม
ผู้ช่วยหมอหลี่ลุ้นจนตัวโก่งก็ยิ้มแหยออกมา เขายกมือเกาศีรษะเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอออกไปกับแม่นางน้อยที่ท่านพามาขอรับ แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าไปที่ใดกัน เพราะท่านหมอไม่ได้บอกไว้”
ดูเหมือนเขากำลังสวนทางกับอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว เหตุใดจึงรู้สึกเสียดายพิกล กระทั่งองครักษ์ตามมาถึง
“นายน้อย ได้เวลาแล้วนะขอรับ”
ใบหน้าของซวี่ฟางจิ้นดูผิดหวังเสียจนองครักษ์อย่างจินฝานงงงวย เวลานับสิบเจ็ดปีเขาแทบไม่เคยเห็นนายน้อยแสดงอาการใดนอกจากสีหน้าแสนเย็นชาและไร้อารมณ์
ซวี่ฟางจิ้นไม่ได้ตอบกลับ เขายืนเงียบครู่หนึ่ง ริมฝีปากได้รูปจึงกล่าวอีกครั้ง “แล้วท่านหมอบอกหรือไม่ว่าจะกลับเมื่อใด”
“ท่านหมอบอกเพียงจะรีบกลับขอรับ”
ลูกกระเดือกในลำคอแกร่งขยับเล็กน้อย เหตุใดในใจจึงรู้สึกอาลัยเพียงนี้ ทั้งที่เพิ่งเคยพบเจอนางโดยแท้ คงเพราะคำพูดสักประโยคก็ยังไม่ทันได้ทำความรู้จัก หากเขาหันหลังกลับไปยามนี้ อาจไม่ได้พบแม่นางน้อยคนนั้นอีกนาน และเขาคงไม่สามารถถลกผืนฟ้าตามหานางได้
ช่างเถิด เราคงไร้วาสนาต่อกัน
“นายน้อย รถม้ารออยู่นานแล้ว หากท่านไม่เร่งไป ท่านอ๋องอาจเปลี่ยนใจได้นะขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว”
ซวี่ฟางจิ้นตัดใจหมุนกายกลับไปยังทางที่ตนเข้ามา ผู้ช่วยงุนงงแต่มิกล้าปริปาก จึงทำได้เพียงลอบพึมพำ พร้อมยกมือเกาศีรษะ
“อะไรของเขา”
ที่ซวี่ฟางจิ้นย้อนมาอีกครั้งก็เพียงต้องการทราบชื่อแซ่ของจางหลินจูเท่านั้น เขาอยากทราบว่านางเป็นใคร มาจากไหน ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดใจของเขาจึงร้องเรียกให้ต้องมาพบสตรีคนนี้อีกครั้งให้ได้ แต่ดูเหมือนชะตากำลังจงใจให้เขาทั้งสองต้องคลาดกันเสียแล้ว
ไม่กี่ชั่วยามก่อน ซวี่ฟางจิ้นได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับบิดาเพราะไม่ต้องการผูกสัญญาหมั้นหมายกับท่านหญิงรั่วซี จึงยินยอมไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซูฉีซึ่งห่างไกลจากที่นี่อยู่ไม่น้อย
“นายน้อย ท่านเป็นห่วงนางหรือขอรับ”
“เปล่า ข้าแค่…”
องครักษ์จินฝานยืนลุ้นจนตัวงอปากเผยอ ทว่าซวี่ฟางจิ้นก็ยังปิดปากเงียบสนิทไม่ยอมเอ่ยต่อ
“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”
ซวี่ฟางจิ้นกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงบังคับบังเหียนห่างออกไปด้วยใจห่อเหี่ยว
เหตุใดข้าจึงอยากทำความรู้จักกับเจ้ากันนะ แม่นางน้อยข้าหวังว่าสักวันเราจะได้พบกันอีก
“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
มือเรียวประสานกันไว้พลางบีบบี้เพื่อคลายความกังวล เหงื่อเย็นเปียกซึมจนลื่นประหนึ่งมีน้ำอาบชโลมแผ่นหลัง ภายในใจของจางหลินจูช่างกลัดกลุ้มและเกิดสังหรไม่ดีผุดขึ้นเป็นริ้ว
ท่านหมอหลี่จับชีพจรสักพักก็ส่ายศีรษะด้วยความจนใจ “แม่ของเจ้าป่วยมานานเกินไป อีกอย่างนางป่วยเป็นไข้ใจ การเป็นไข้ใจใช่จะรักษาได้ด้วยโอสถ การรักษาที่แท้จริงจำต้องใช้ตรงนี้ร่วมด้วยต่างหาก”
หลี่จงหยางชี้ไปยังอกซ้ายของเขา จางหลินจูมองตามก็เข่าอ่อนยวบแววตาระริกไหว ส่วนเจ้าตัวเล็กยังคงงอแงอยู่ด้านข้าง นางเองก็เจ็บปวด ทุกข์ระทมไม่ต่างกัน สูญเสียจากโลกก่อนไม่พอ ยังต้องมาเผชิญเคราะห์กรรมที่โลกนี้อีก ทว่ายามนี้จางหลินจูยังมีอีกชีวิตที่ต้องดูแล นางไม่อาจปล่อยให้ตนเป็นอะไรไปอีกคนได้
“ชวนเอ๋อร์ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง เดี๋ยวท่านแม่ก็หายแล้ว”
หลี่จงหยางมองสองพี่น้องอย่างนึกเวทนา เขาส่ายศีรษะอีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกผิดที่ตนเป็นหมอแต่ไม่อาจช่วยผู้ป่วยได้
ทว่าเขาไม่ใช่หมอเทวดา จึงไม่อาจยื้อชีวิตคนจะข้ามสะพานไน่เหอ[1] และไม่อาจดึงผู้ใดขึ้นจากปรโลกได้เช่นเดียวกัน หน้าที่ของหมอคือการรักษาคนไข้อย่างสุดความสามารถเท่าที่หมอคนหนึ่งจะทำได้ก็เพียงเท่านั้น
“จูเอ๋อร์ ชวนเอ๋อร์” น้ำเสียงแหบแห้งดังมาจากสตรีที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่
จางหลินจูเช็ดคราบน้ำตา พร้อมทั้งจับจูงเจ้าตัวเล็กให้เดินไปหามารดาพร้อมกัน หลี่จงหยางหลีกทางให้พวกเขา
ริมฝีปากซีดขาวคลี่ยิ้มบาง ดวงตาของนางฉายแววเจ็บปวดระคนละอายใจ “ลูกรักของแม่ พวกเจ้าไม่ต้องร้อง แม่ขอโทษที่เป็นแม่ที่แย่”
จางหลินจูส่ายหน้า ความพยายามอดกลั้นยิ่งเพิ่มความขมขื่นภายในใจ “ท่านแม่ อย่าพูดเช่นนี้สิเจ้าคะ ท่านเป็นแม่ที่ดีที่สุดของข้าและชวนเอ๋อร์”
จางหลินชวนพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนเปรอะไปด้วยรอยน้ำตา มือเล็ก ๆ บีบจับฝ่ามืออีกฝั่งของมารดาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
“ท่านแม่ ท่านจะต้องหายนะขอรับ”
หวงเจิ้นอี๋คลี่ยิ้ม นางยกมือลูบไล้ใบหน้าของบุตรทั้งสองคนละฝั่ง “ความดีใจของแม่ในชาตินี้คือมีพวกเจ้าทั้งสองเป็นลูก แม่ขอโทษที่ไม่อาจร่วมทางพวกเจ้าได้แล้ว”
จางหลินจูส่ายหน้าจนเส้นผมแตกกระเจิง เอ่ยตัดบทเสียงสั่นเครือ “ไม่เจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าพูดเช่นนี้ ท่านหมอหลี่เก่งมาก ท่านหมอจะต้องรักษาท่านแม่ได้แน่นอน”
หลี่จงหยางสลดอีกครั้ง เขาทราบดีว่ายามนี้หวงเจิ้นอี๋พยายามข่มใจจนถึงขีดจำกัดแล้ว
“อย่าร้อง จูเอ๋อร์โตเป็นสาวแล้วรู้หรือไม่ ต่อไปก็ต้องมีคนคอยดูแลเคียงข้างเจ้า” จากนั้นผินหน้ามองลูกชายตัวน้อย “ชวนเอ๋อร์ โตไปเจ้าต้องปกป้องพี่สาวให้ดีเข้าใจหรือไม่”
“ฮึก ฮื่อ…ขอรับท่านแม่ ข้าจะปกป้องพี่หญิงด้วยชีวิตของข้า แต่ข้าก็อยากปกป้องท่านเช่นกัน”
“เด็กดีเจ้าช่างรู้ความยิ่งนัก”
หวงเจิ้นอี๋กล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่จุกในคอไม่ให้เล็ดลอดออกมา เสียงของนางเริ่มแผ่วลงทุกขณะ มือยังคงสัมผัสปรางแก้มบุตรทั้งสองไม่ห่าง “จูเอ๋อร์ แม่ขอโทษ แม่รักพวกเจ้ามาก แต่แม่ไม่อาจฝืนชะตา เจ้าดูแลน้องดี ๆ นะลูก นับจากนี้ขอให้ลูกทั้งสองใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากชาติหน้ามีจริง เรามาเป็นแม่ลูกกันอีก แม่สัญญาจะดูแล ปกป้องพวกเจ้าให้ดีกว่านี้”
จางหลินจูไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ขอบตาทั้งสองแดงระเรื่อ ไม่นานน้ำตาก็ล้นทะลักดั่งทำนบแตก “ฮึก...ฮื่อ...ท่านแม่ ท่านต้องหาย ถ้าจะมีความสุขเราก็ต้องมีด้วยกัน ข้าสัญญาจะดูแลน้อง ดูแลท่าน และพาพวกเรากลับมาลืมตาอ้าปากได้เช่นเดิม เราจะรวยล้นฟ้ายิ่งกว่าที่ผ่านมา จูเอ๋อร์จะทำให้แม่และน้องมีความสุขเองเจ้าค่ะ”
สิ่งที่จางหลินจูเอ่ยออกมาเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าลูกสาวของนางเปลี่ยนไปแล้ว จางหลินจูองค์หญิงน้อยผู้เอาแต่ใจในวันนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งร่างกายและสติปัญญา หวงเจิ้นอี๋ไม่รู้สึกเป็นกังวลอีกต่อไป
“ดูแลกันดี ๆ นะลูกแม่ แม่ระ...รักพวกเจ้า...”
เสียงพูดเจือสะอื้นแผ่วลงเรื่อย ๆ มือที่สัมผัสแก้มบุตรทั้งสองร่วงลงแช่มช้า เปลือกตาบางค่อย ๆ ปิดปรือลง ลมหายใจแผ่วโหยพลันจางหายไปในที่สุด
“ท่านแม่!!”
“ฮื่อ…ท่านแม่ขอรับ ท่านแม่ อย่าทิ้งพวกเราไป ฮื่อ…”
หลี่จงหยางซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง เห็นภาพการจากลากระจะตา บุรุษอกสามศอกเช่นเขาก็หลั่งน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำสีใสร่วงเผาะลงตรงหางตา เหตุใดชีวิตเด็กสองคนนี้จึงอาภัพยิ่งนัก
เชิงอรรถ
1. ^ สะพานไน่เหอ (สะพานแห่งความจนใจ) เป็นสะพานที่เชื่อมแม่น้ำทั้งสองฝั่งไว้ด้วยกัน การเดินบนสะพานจะถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่มีความทรงจำของชาตินี้อยู่ คนมากมายซึ่งยังยึดติดกับชาติก่อนจะค่อย ๆ เข้าใจว่าความปรารถนาของพวกเขาไม่มีวันกลับไปทำให้เป็นจริงได้อีกแล้ว จึงพากันถอนหายใจออกมายาว ๆ สะพานนี้จึงได้ชื่อว่า ‘ไน่เหอ’ ที่หมายถึงความจนใจนั่นเอง ถือเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเริ่มต้นในการกลับชาติมาเกิดครั้งใหม่CR : เขียนและเรียบเรียงโดย แอดมินมาย
