บทที่ 34 ข้าพูดยังไม่จบ
เสี่ยวลิ่งสะบัดก้นงอนงามเข้าไปในวัดโดยมิได้หันมามองหน้าองครักษ์จงอีก ปล่อยให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างทำตาปริบๆ ยืนจูงม้ามองดูนางที่ไม่ยอมเหลียวหลังให้เขาได้เอ่ยคำลา กังเฉินเห็นสีหน้าสหายก็ยิ้มขำ
“เจ้าไปไหนมาแต่เช้า? หน้าตายังกับถ่ายทุกข์ไม่ออก”
จงเหยียนสะบัดเชือกคุมบังเหียนม้าเบาๆ “ยิ่งกว่านั้นอีก! ข้ายังพูดไม่จบเสียหน่อยก็พาลโมโหเสียแล้ว! ไม่คิดจะฟังกันบ้างเลย”
“หือ! ผู้ใดกล้าโมโหใส่เจ้า?”
จงเหยียนเห็นสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือของกังเฉินแล้วก็หุบปากนิ่งสนิท...เรื่องอะไรเขาจะยอมเปิดเผยความลับของตนโดยง่าย หากปล่อยให้กังเฉินรู้เรื่องเขากับนางแล้วล่ะก็...คงจะเอาไปสนทนากันเอิกเกริกในหมู่องครักษ์วังหลวงแน่!
“เจ้าหัดมีความลับกับข้าแล้วหรือจงเหยียน พวกเราเป็นพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรที่รักใคร่กันยิ่งกว่าชีวิตมิใช่หรือ?”
“หึ! เวลาเจ้าอยากจะรู้ความลับของผู้ใดเจ้าก็อ้างเช่นนี้ทุกที ไปเตรียมตัวเดินทางเถอะ ป่านนี้องค์ชายคงสั่งงานเสร็จแล้ว”
หมิงเฉิงอวี่ในฐานะที่ทรงกำกับดูแลมือปราบทั่วแคว้นหมิงเรียกให้หัวหน้ามือปราบหลิวแห่งอำเภอเฉินเข้าเฝ้า ทรงให้มือปราบหลิวดูแลตวนเจี้ยนโจรป่าที่เพิ่งจับได้อย่างเข้มงวดด้วยเกรงว่าอาจจะถูกลอบฆ่า ที่สำคัญทรงมิให้มือปราบหลิวรายงานเข้าเมืองหลวงว่าได้จับกุมตวนเจี้ยนเอาไว้แล้ว
“มือปราบหลิว ข้าหวังว่าคงจะไว้ใจท่านได้”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันรับภารกิจนี้ด้วยชีวิต”
“ดี! ข้าคงต้องเข้าวังหลวงหลายวัน ฝากท่านคอยส่งมือปราบตรวจตราดูแลจิตรกรทั้งหลายแทนข้าด้วย”
องครักษ์กังคิดว่าองค์ชายสั่งงานเสร็จก็คงจะมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงตามปกติ ทว่ากลับสั่งให้เอาม้าออกมาเสียก่อน
“ข้าจะไปดูความคืบหน้าที่วัดสักหน่อยจะได้กราบทูลฮ่องเต้ได้ถูก”
จงเหยียนเผลอมองพระพักตร์องค์ชาย หากเขามิได้คิดมากเกินไป จงเหยียนคิดว่าตนเองได้เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นชั่วขณะ ‘นี่องค์ชายคงมิได้คิดจะไปดูผู้ใดเป็นพิเศษหรอกนะ?’
หมิงเฉิงอวี่ควบม้านำหน้าด้วยความร้อนพระทัย พระองค์เองก็อยากเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงเช่นกันเพราะภารกิจที่คิดไว้มีหลายประการนัก แต่ก็นึกอยากจะไปดูหน้าเด็กโอหังคนนั้นสักหน่อย
เผยมู่ซีกำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปด้วยความตั้งใจ หลังจากนางลาไปกราบอาจารย์ลู่ งานของนางก็นับว่าคั่งค้างอยู่ส่วนหนึ่งวันนี้จึงต้องเร่งมือทำให้ได้ตามที่วางแผนเอาไว้ เพราะพรุ่งนี้ยามบ่ายศิษย์พี่จะพานางไปพบอาจารย์อีกครั้งเพื่อจะได้เริ่มฝึกวรยุทธ์ นับตั้งแต่อาจารย์ทะลวงลมปราณภายในร่างกายให้ นางสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างกระฉับกระเฉง ยิ่งเป็นการวาดรูปนางยิ่งทำได้เร็วกว่าเดิมเป็นเท่าตัวกระทั่งจิตรกรหลูยังต้องตะลึงที่นางตวัดมือได้รวดเร็วยิ่ง
“ชิงหลาน เจ้าหายไปเพียงหนึ่งวันเหตุใดการวาดภาพถึงได้ทำเร็วขึ้นถึงเพียงนี้? เจ้าไปทำสิ่งใดมาหรือ?”
“ท่านลุง ข้าไปกราบจอมยุทธ์ลู่ที่ชานเมืองเพื่อขอเป็นศิษย์ ท่านจึงได้ทะลวงลมปราณให้ จากนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดข้าล้วนทำได้รวดเร็วยิ่ง”
จิตรกรหลูได้ยินเช่นนั้นก็ยินดี “สวรรค์เมตตา! สวรรค์เมตตาเจ้ายิ่งนัก! ไม่เพียงฟื้นจากความตาย ยังได้อาจารย์ที่เก่งกาจอีก”
ชิงหลานยิ้มกว้าง “จริงของท่าน ข้ารู้สึกว่าสวรรค์ช่างดีกับข้าเสียนี่กระไร?”
ร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาด้านหลังได้ยินก็ชะงักเท้า “มีเพียงสวรรค์เช่นนั้นหรือที่ดีต่อเจ้า? แล้วนายจ้างอย่างข้าที่คอยจ่ายเงินแพงๆ ให้เจ้า...ไม่ดีหรือไร?”
ทุกคนที่กำลังมุงพูดคุยกับชิงหลานหันขวับไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ก่อนจะกุลีกุจอหันมาถวายคำนับองค์ชายกันถ้วนหน้า
“ระหว่างสวรรค์กับองค์ชายหาเหมือนกันไม่เพคะ! สวรรค์เมตตาประทานชีวิตใหม่ให้หม่อมฉันเปล่าๆ ส่วนองค์ชายก็ประทานค่าจ้างที่หม่อมฉันต้องเอาแรงงานมาแลก แต่....ทั้งสองส่วนล้วนดีต่อหม่อมฉันทั้งนั้น”
หมิงเฉิงอวี่ฟังคารมคมคายของนางแล้วไม่กล้าแสดงความหงุดหงิด นางมิได้กล่าวชื่นชมแต่นางตำหนิพระองค์อยู่ต่างหาก
“ข้ากำลังจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ จึงอยากมาตรวจงานเสียหน่อยว่าพวกเจ้าทำได้ถึงไหนกันแล้ว? จะได้กราบทูลได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง...หากผู้ใดทำงานดีอาจจะได้รับรางวัลเพิ่มขึ้น ส่วนคนที่ทำงานช้าก็อาจจะถูกลดค่าจ้าง”
เผยมู่ซีสะดุ้งน้อยๆ ‘อีกแล้ว! ทำตัวเป็นพยัคฆ์ตบหัวสุนัขอีกจนได้! คงอยากจะตำหนิข้าเสียเต็มประดา’
เมื่อองค์ชายกล่าวเช่นนั้นบรรดาจิตรกรที่ยืนมุงดูชิงหลานแสดงฝีมืออยู่เมื่อครู่ก็รีบถวายบังคมลาแยกย้ายกันไปตามชั้นทำงานของตน ใกล้ๆ องค์ชายจึงเหลือเพียงเผยมู่ซีและเสี่ยวลิ่งยืนประสานมือก้มหน้ารออยู่ นางไม่อาจหนีหน้าไปเช่นผู้อื่นเพราะจุดนี้เป็นตำแหน่งที่นางจะต้องนั่งวาดจนกว่าจะเสร็จ
หมิงเฉิงอวี่ทรงลดพระสุรเสียงลงหันมาเด็กหญิงที่ก้มหน้า “ใกล้วันเกิดของเจ้าแล้วอยากได้สิ่งใดหรือไม่? ในฐานะที่เจ้าเป็นจิตรกรหลวงที่ข้าดูแลรับผิดชอบ ถือว่าให้เป็นรางวัลที่เจ้ามาช่วยให้ทำงานแทนจิตรกรที่ขาดไป”
เผยมู่ซีตกใจที่องค์ชายคิดจะให้ของขวัญวันเกิดกับตน นางคิดจะตอบปฏิเสธแต่ครั้นคิดขึ้นมาได้ว่ายามนี้ตนเองมิใช่คุณหนูตระกูลเผยที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ หากแต่เป็นชิงหลานผู้ตกยาก สิ่งของที่จำเป็นต้องมีในการดำรงชีวิตที่ไม่อาจหาซื้อได้ในอำเภอเฉินหากจะสั่งร้านเครื่องเขียนก็คงสิ้นเปลืองเงินมิใช่น้อย!
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันอยากได้ชุดพู่กันที่จิตรกรในสำนักพู่กันทอง ใช้เพคะ”
องค์ชายสิบห้าคิดว่านางปฏิเสธจึงเตรียมคำพูดจะเกลี้ยกล่อมให้นางรับของขวัญจากตน แต่พอได้ยินนางตอบรับก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ นางช่างเลือกของขวัญได้เหมาะสมยิ่ง...ชุดพู่กันของสำนักพู่กันทองเป็นสิ่งที่จิตรกรทั่วแคว้นใฝ่ฝันอยากจะได้ไว้ประจำตัวสำหรับวาดภาพเพราะผลิตจากขนสัตว์คัดสรรชั้นดีนุ่มนวลและเย็บยึดกับด้ามที่สั่งทำพิเศษด้วยช่างไม้ฝีมือดี...สำหรับคนที่สั่งทำนั้นสามารถจะแกะสลักชื่อของจิตรกรไว้ที่ด้ามพู่กันได้ด้วย พู่กันทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในกล่องไม้ที่แกะสลักสัญลักษณ์ของสำนักพู่กันทองไว้ฝาด้านหน้าอย่างสวยงาม
“ของชุดนั้นราคาสูงนัก เจ้าช่างเลือกขอได้ดีเสียจริง!”
“องค์ชายให้ไม่ได้หรือเพคะ?”
“ข้ายังมิได้พูดเช่นนั้นเสียหน่อย ในเมื่อข้าได้เอ่ยปากว่าจะให้แล้ว ของแค่นั้นเดี๋ยวข้าจะเอามาให้”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ข้าจะเข้าวังหลวงหลายวัน เจ้าอยู่ทางนี้เร่งทำให้ทัน หากจะไปที่ใดก็แจ้ง จิตรกรหลูให้ชัดเจน”
“เพคะ”
เผยมู่ซียืนงวยงงที่จู่ๆ องค์ชายสิบห้าก็มาบอกกล่าวกับนาง อีกทั้งยังใจดีอยากให้ของขวัญวันเกิดนางด้วย...คนที่ดูใจดำไม่เห็นหัวผู้คนอย่างหมิงเฉิงอวี่กำลังคิดสิ่งใดอยู่? นางยืนขบคิดขณะมองตามแผ่นหลังของเขาที่ควบม้านำหน้าองครักษ์ทั้งหลายกลับไปเรือนรับรอง
“คุณหนู องค์ชายทรงมีพระเมตตายิ่งนัก ทรงจะมอบของขวัญวันเกิดให้คุณหนูด้วย” ดวงตาของเสี่ยวลิ่งเป็นประกายระยิบระยับ นางปลาบปลื้มในความรูปงามและสง่าขององค์ชาย โดยมิให้มองไปข้างหลังเลยสักนิด
ตลอดเวลาที่องค์ชายทรงเข้ามายืนเผชิญหน้ากับเผยมู่ซี จงเหยียนคอยพยายามสบตากับเสี่ยวลิ่งตลอดเวลาแต่นางไม่ยอมหันไปเพราะนึกเคืองที่เขาบอกนางเมื่อตอนเช้าตรู่ไม่หาย
“เจ้าอย่ามองคนแค่ภายนอกเลยเสี่ยวลิ่ง ตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดจากเรา? เราก็ไม่ควรจะหลงใหลได้ปลื้มกับข้าวของที่เอามากองต่อหน้า...บางทีเจ้าอาจจะได้พบกับหมาป่าห่มหนังแกะ*ก็เป็นได้”
**********************
*หมาป่าห่มหนังแกะ หมายถึง คนใจร้ายที่แสร้งทำตัวใจดี
