บทที่7
มนัส ร้องออกมา อย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าคนที่ทำให้รติกาลวิ่งหน้าตาตื่นออกมาคือเพื่อนรัก ครั้นจะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่ออาการของสาวข้างกาย แค่ได้ยินเสียงเฮริค ก็วิ่งพรวดหลบไปอยู่ด้านหลัง โดยมือเรียวทั้งสองข้างจับชายเสื้อด้านข้างจนเกิดรอยยับ รับรู้ถึงอาการสั่นของคนด้านหลังได้อย่างดี และนั่นเป็นข้อพิสูจน์ให้เขารู้ว่า ที่เพื่อนรักเอ่ยออกมาเป็นความจริงแน่นอน
คำพูดที่ใช้สื่อสารกัน บ่งบอกถึงความสนิทของชายหนุ่มทั้งคู่ รติกาล เริ่มไม่มั่นใจว่าคนที่เธอคิดพึ่งพาด้วยจะช่วยเธอให้รอดพ้นจากผู้ชายบ้าอำนาจตรงหน้าได้หรือเปล่า ในเมื่อสิ่งที่เธอได้ยินมันชัดเจน
“เออ ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น มาก็ดีแล้ว จับผู้หญิงของนายไว้ให้ดี หากไม่อยากให้ลูกน้องฉันบี้แหลกคามือ” เขาขู่ มนัสแยกเขี้ยวใส่คนบ้าอำนาจ
เออ... ดีใจตายล่ะ! มนัสคิด ไม่ขำกับประโยคแรกของเพื่อนรัก แต่ประโยคหลังน้ำเสียงบวกกับสีหน้าของคนพูด ทำเอาชายหนุ่มอย่างมนัสขนลุกซู่และคิดว่าคนด้านหลังก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
“พูดกันดีๆไม่เป็นหรือไง น้องกันไปทำอะไรให้นาย ถึงได้พูดแบบนั้นวะ?...”
“หึ .... อยากรู้ก็เอาผู้หญิงของนาย หือ ไม่ใช่สิ น้องของนายมาด้วย แล้วจะรู้ว่าเรื่องมันเป็นไง”
เฮริคเอ่ยสายตาล้อเลียน เพราะรู้ว่าเพื่อนรักไม่มีพี่น้องที่ไหน และไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำพูดใดออกมา เท้าในรองเท้าหนังราคาแพงก้าวนำไปยังทิศทางที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้า
‘อะไรของมัน?’
มนัสไม่มั่นใจว่าเพื่อนรักกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า เพราะปรกติเพื่อนของเขาไม่ใช้คำพูดและนิสัยแบบนี้กับผู้หญิง ก่อนจะหันมาไปขอความคิดเห็นจากรติกาล จะไป หรือไม่ไป...
คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าแรงๆของรติกาล เธอไม่อยากไปเผชิญหน้ากับผู้ชายรูปหล่อแต่นิสัยแข็งกระด้างคนนั้นอีก
“ไปเถอะ พี่อยากรู้ ว่าเรื่องเป็นยังไง หากเฮริคพูดแบบนี้ เท่ากับว่า หากวันนี้ไม่จบ พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้มันก็หาทางให้จบจนได้ คนอย่างนายนั่นไม่ยอมรามืออะไรง่ายๆ ตกลงกันเสียตอนนี้ให้จบ น่าจะดีกว่า”
ใบหน้าคม เจื่อนสลดลง ไร้คำพูดใดๆ สมองหนักอึ้งมากกว่ากองงานที่กองพูนเป็นภูเขา
“ไม่ต้องห่วงมีพี่อยู่ทั้งคน หากเรื่องไม่เป็นเรื่องพี่จะจัดการมันเอง” คำพูดและสีหน้าจริงจังเอ่ยอาสาอย่างไม่ลังเล
เมื่อคนนับถืออย่างพี่ชายรับคำหนักแน่น รติกาลจึงยอมเดินตามไปโดยดี
“.... นายแน่ใจได้ไงว่าแหวนนั้นมันหาย หล่นลงท่อไปวะ?”
มนัสเอ่ยขึ้น เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากเพื่อนรัก ที่เป็นฝ่ายเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เริ่มแรกและเขามาเจอกับสภาพลนลานของรติกาล
“นายพูดแบบนี้หาว่ากันโกหกหรือไง?...” มาเฟียหนุ่มออกอาการขุ่นเคือง เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังต้องการหาข้อเท็จจริง ในเมื่อทุกอย่างเขาเล่าไปหมดแล้ว
“เปล่า แต่มันต้องมีหลักฐานที่แน่ชัดสิ”
“หลักฐานที่หล่นไป อยู่ในมือกัน แล้วเธอคนนี้...” นิ้วเรียวยาว ของคนที่ไม่เคยหยิบจับงานหนัก ชี้ไปยังหญิงสาวที่นั่งนิ่งไม่ได้เอ่ยแย้งใดๆแล้วเอ่ยต่อ “รู้ดีว่าเป็นคนปัดของหล่น ที่สำคัญเมลสันก็อยู่ด้วย นายรอถามเมลสันก่อนก็ได้ ป่านนี้คงจะมาถึงแล้วล่ะ”
“กันเชื่อว่านายไม่โกหก แต่มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิด คือ มัน... ยังไงล่ะ มันไม่ได้เป็นความตั้งใจของน้องเขา ที่สำคัญทำไมนายไม่ให้คนของนายหาวะ เมื่อนายแน่ใจว่ามันตกหล่นอยู่ตรงนั้น” มนัสเอ่ยถึงเหตุและสิ่งที่ควรกระทำ
“ฮึ้ย! จะบ้าหรือไง คนอย่างนายเฮริคนี่นะ จะให้ไปหาของในที่สกปรกเช่นนั้น ฝันไปเถอะ”
“ฮ่า ฮ่า นายไม่กล้าให้คนหาของให้ตัวเอง แต่กล้ามาเรียกร้องให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ รับผิดชอบงั้นสิ”
ไอ้เพื่อนบ้า!
เฮริคกันฟันกรอด รู้ตัวว่าถูกเพื่อนต้อนให้จนมุม แต่คนอย่างเขามีหรือจะยอม มาเฟียอย่างเขาศัตรูมีตรงหน้านับสิบก็สู้แค่ตาย แต่สำหรับเรื่องอยากเอาชนะผู้หญิงคนนี้ มันไม่ยากเกินอุบายของเขาหรอก!
“นี่นายจะมาทะเลาะ แทนผู้หญิงของนายหรือไง?” น้ำเสียงขุ่นเคือง จ้องหน้าเพื่อนรักแล้วเหลือบมองใบหน้าหวาน ก่อนจะแสยะยิ้มน่าเกลียดเมื่อสาวสวยก็มองเขาอยู่แล้วเช่นกัน
“เปล่า แค่ต้องการรู้ความจริงว่าเรื่องของเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
“หึ นึกว่านายอยากมีปัญหา บอกไว้ก่อนว่าแม้แต่นาย ก็มาล้มความคิดกันไม่ได้!”
คำพูดเด็ดขาดนั้น ทำให้คนที่ได้ยินใจหล่นตุ๊บ ผู้ชายคนนี้ไม่ฟังใครแม้แต่เพื่อนรัก! มนัสเหลือบมองเสี้ยวหน้าหวาน ก่อนจะหันมองใบหน้าคมสันหล่อบาดตาของคนพูด แล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างปลงตก ความคิดเอาน้ำเย็นเข้าลูบจึงเกิดขึ้น เพราะเขารู้ดีหากแต่ดึงดันโต้เถียงออกไปมีแต่จะรั้งให้เรื่องบานปลาย ‘น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง’ สุภาษิตนี้ยังใช้ได้ดีอยู่ สำหรับบางคนที่ไม่อยากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเกินแก้ไข
“กันขอ...” เหลือบไปมองใบหน้าหวานอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้น “ให้กันมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแทนรติกาลด้วย”
มาเฟียหนุ่มท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ท่านั่งสบายๆ แผ่นหลังนั่งแนบชิดไปกับเก้าอี้หนัง เท้าหนาข้างหนึ่งพาดทับอีกข้าง นิ้วเรียวหนาสองข้างมีสายตาเจ้าของจ้องมอง ถูเสียดสีระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เหมือนคนกำลังขบคิดอะไรสักอย่างที่ไม่เดือดร้อนและรีบเร่ง แต่คนที่นั่งรอฟังคำตอบไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้น
“นายกะจะเล่นท่าอีกนานไหมวะ? อย่าลืมว่าแฟนสาวของนายรออยู่นะเว้ย!”
ได้ผล อีกฝ่ายละสายตาจากนิ้วมือของตนเอง แหงนหน้าขึ้นมอง สีหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “หึ...”
เขาส่งเสียงในลำคอหยันๆ รู้ดีว่าปนัดดาที่เข้ามาตีสนิทตนเพราะถูกผู้เป็นพ่อหลอกใช้มาและนั้นก็เป็นฝีมือของเสี่ยเกรียงคู่ปรับที่ป่าวประกาศตัดเครดิตความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้าร่วมธุรกิจอีกหลายกลุ่ม และเขากำลังหาทางตลบหลังคืน!
และแม้จะรู้ว่า ปนัดดาปลื้มเขาอยู่มาก ในฐานะที่เขาเองเป็นคนดังในวงการสังคม และเป็นคนหนุ่มที่น่าจับตามองคนหนึ่ง แต่กระนั้นปนัดดาก็ไม่ใช่ สเปค หล่อนใสซื่อเกินกว่าที่เขาจะฉวยโอกาสอย่างผู้หญิงคนอื่นๆที่เข้ามาเสนอตัวให้ถึงที่
“นายก็รู้ว่าแหวนวงนั้น เป็นของแม่ที่ส่งมาและเป็นสิ่งที่แม่ฉันหวงมาก หากท่านรู้ว่ามันหายไป นายก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เฮริคละความคิดเรื่องปนัดดา แล้วหันมาตอบตามแผนที่วางไว้ เขารู้ว่าเพื่อนรัก แพ้ประโยคอะไรมากที่สุด การยกผู้บุพการีของตนเองมาอ้าง มีหรือเพื่อนจะตัดใจขัดใจเขา
“อืม...” มนัสรับฟัง ไม่เถียงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ
“หากฉันทำเฉยปล่อยให้พยานหลักฐานหายไป แล้วฉันจะยืนยันกับแม่ได้ไง” น้ำเสียงจริงจังพร้อมแววตาไม่ล้อเล่น ทำให้ใบหน้าดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
“เมลสันไง เป็นพยานให้นายได้ไม่ใช่หรือริค”
“นายคิดว่าแม่จะเชื่อหรือ คนของกันนะ แค่กันสั่งทุกคนก็ทำตาม ไม่ว่าเรื่องจริงหรือไม่จริง”
“อืม รู้แล้วล่ะ นายเลยคิดจะกักตัวของรติกาลไว้ เพื่อเป็นการยืนยันกับแม่ ว่าคนทำหายมีตัวตนจริงๆ”
“ใช่ นายคิดถูกต้องแล้ว”
“กักแบบไหน?”
มนัสเริ่มหวั่นใจ ห่วงก็ห่วงผู้สูงวัยที่เคารพรัก แต่ผู้หญิงตรงหน้าที่รู้จักกันมานานก็ห่วงใยเช่นกัน คนเป็นกลางอย่างเขาเริ่มหนักใจ
“จะเรียกว่ากักก็ได้หรือว่าไม่เรียกว่ากักก็ได้ แต่เพื่อไม่ให้มันดูโหดเกินไป กันอยากให้น้องสาวนายอยู่ใกล้สายตากันที่สุด...”
“ยังไง บอกมาให้ไวสิวะ”
“ทำงาน เป็นเลขาฯ ให้กัน นี่คือข้อเสนอที่ดีที่สุด ที่สำคัญฉันจะจ่ายเงินเดือนเหมือนพนักงานทั่วไป ทำงานได้เงินแถมไม่ต้องเสียหนี้อีก”
คราแรกที่คิดไว้เขาอยากเสนอให้หล่อนมารับจ้างเป็นแฟนหากแต่เมื่อเพื่อนอยู่ร่วมวงสนทนาด้วยความคิดนั้นก็ตกไปเมื่อเขามั่นใจว่าเพื่อนรักคงไม่ให้ผ่านแน่นอน
