บท
ตั้งค่า

ตอน 6

“ภู ไม่เอาน่าอย่าเรื่องมากเรามาต่างถิ่น น้องเขาคงไม่ตั้งใจ” มารดาปลอบให้ลูกใจเย็น

“ไอ้หนุ่ม ตกลงจะไปมั้ยรถจะออกแล้ว ถ้าไม่ไปก็หลบ นี่มันรถเที่ยวสุดท้าย ถ้าไม่ไปก็นอนตากยุงอยู่ที่นี่แหละ รอเที่ยวพรุ่งนี้แล้วกัน” ชายฉกรรจ์กระชับผ้าขาวม้าคาดเอว ก่อนสอดตัวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย

พิมพ์วิไลพยักหน้าเรียกลูก ขืนเรื่องมากเป็นได้นอนตากยุงจนถึงเช้าแน่ ภูดนัยกระแทกก้นลงนั่งข้างมารดาด้วยอารมณ์หงุดหงิด บอกแต่ทีแรกแล้วว่า แม้แต่วันเดียวเขาก็ไม่อยากมาบ้านนอกคอกนา บ้านป่าเมืองกันดารอย่างนี้ ความจนตรอกทำให้เขาต้องยอมรับสภาพย่ำแย่เช่นนี้

รถแล่นออกจากตลาดไม่กี่กิโลเมตร ก็พบกับทางลูกรังดินสีแดง เต็มไปด้วยหลุมขรุขระ รถโยกเยกตลอดเส้นทาง จนตับไตไส้พุงแทบไหลรวมเป็นก้อน ศีรษะโยกสั่นคลอนตามแรงโยกเยกของรถโดยสาร ที่แทบไม่เรียกว่ารถเสียด้วยซ้ำ เรียกรถยังหรูไปเกวียนน่าจะเหมาะกว่า

หนุ่มเมืองกรุงผู้มีชีวิตเคยหรูหรา เกิดอาการหงุดหงิดจนอยากตะโกนดังๆ เพื่อระบายอารมณ์ ตอนนี้ในปอดเขาคงมีแต่ฝุ่นลูกรังสีแดง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปาก พอปิดปากหูกลับได้ยินเสียงเพลงประหลาดกรีดแก้วหู ผู้คนในรถต่างร้องเพลงฟังไม่รู้เรื่อง

สำหรับเขาไม่ใช่เสียงน่ายินดี หาความสนุกสนานไม่เจอ นอกจากเสียงน่ารำคาญ ตามด้วยเสียงปรบมือเข้าจังหวะ ยายผู้หญิงหน้าบ้านๆ กับมารยาทแย่เป็นตัวนำแหกปากร้องเพลง บ่งบอกรสนิยมบ้านนอก ไร้สติไร้วัฒนธรรม ด้อยพัฒนา แม่นั่นเหมาะกับสิ่งเหล่านี้ซะจริง

“ผมชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะแม่ นี่มันรถบ้าอะไรวะ” บ่นกับมารดาอารมณ์เสียอย่างถึงที่สุด

“ภู เงียบเถอะไม่เอาน่า” มารดาปรามลูกชาย ชาวบ้านเขาก็ชินกับบทเพลงแบบนี้ ม่วนชื่อสนุกสนานตามประสาวิถีชาวบ้าน

“ผมไม่อยากฟังนี่แม่ น่ารำคาญจะตาย” เขาบ่นกระปอดกระแปด พลางปรายตามองคนร้องหมอลำอย่างตำหนิ

“ไม่อยากฟังก็หลับไปซะ” พิมพ์วิไลหาทางออกให้ลูกได้เท่านี้

“หลับได้ยังไงล่ะแม่ ไอ้รถบ้านี่ก็โยกจนจะอ้วกอยู่แล้ว”

“ซบไหล่แม่ก็ได้” คนเป็นแม่หาทางออกดีที่สุด พยายามข่มใจทำใจเย็นปลอบลูกชาย ภูดนัยไม่เคยอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนี้ เขาไม่ชินต่อให้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ในสายตาคนอื่น สำหรับคนเป็นแม่ลูกยังเป็นเด็กตัวน้อยของแม่เสมอ มารดายกมือลูบผมลูกชาย เพื่อกล่อมให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียดไม่ว่าที่กรุงเทพหรือที่กำลังเผชิญตอนนี้

ภูดนัยเมื่อยล้าเต็มทน จึงตัดปัญหาไม่ฟังเสียงสาวบ้านนาหน้าจืด กำลังแหกปากร้องเพลงที่เขาฟังไม่อยากฟัง จึงเอนศีรษะซบไหล่มารดา ใช้ความพยายามข่มตาหลับ ความเมื่อยล้าจากการเดินทาง ช้าเนิบนาบร่วมหลายชั่วโมง มากกว่าเดินทางจากอเมริกามาไทยเสียอีก ความทรมานตั้งแต่อยู่บนรถทัวร์ชั้นประหยัด จนมานั่งบนรถสองแถวปุโรทั่ง ขย่มเขย่าเครื่องในแทบแหลกเหลว ถ้าขืนเขาไม่หลับประสาทรับประทานเป็นแน่ การหลับนับเป็นการตัดตัวเองออกจากเสียงหมอลำน่ารำคาญ ถ้ามีทางเลือกเขาคงกระโดดลงรถหนีกลับกรุงเทพฯ ในเมื่อสิ้นหนทางจำต้องอดทนโดยสาร อยู่ในรถร่วมกับยายบ้านนานักเลงภูธรต่อไปจนถึงจุดหมาย

พิมพ์วิไลกล่อมลูกจนหลับ ยกสองมือลูบศีรษะปลอบประโลม นึกสงสารทายาทที่ต้องมาเผชิญกับความลำบาก คนเป็นแม่ห่วงลูกมากจึงเป็นเกราะคอยปกป้องลูกเสมอ

“ทองคำของแม่เอ๊ย” หญิงหม้ายเปรยเรียกสุดที่รักของเธอแผ่วเบาระคนปลงกับโชคชะตาที่โยนพวกเธอกลับมายังบ้านเกิด

รถสองแถวน่าปลูกสะระแหน่แล่นไปตามทางขรุขระ ศีรษะหนุ่มเมืองกรุง โยกคลอนอยู่บนบ่ามารดา เสียงเพลงหมอลำยังคงขับขานสร้างความสนุกให้กับคนบนรถแทนเครื่องเสียง ที่ไม่มีในที่นี้ได้ดีทีเดียวชาวบ้านปรบมือให้จังหวะกับบทเพลงของแม่สาวบ้านนา ผู้ทำหน้าที่เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ประจำฉิ่งฉาบทัวร์

ภูดนัยก้าวลงจากเครื่องบินตลอดเวลาที่เขาเดินทางอยู่บนฟ้า ได้หอบเอาความภูมิใจเพื่อไปฝากครอบครัว คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ ลากกระเป๋าเข้าบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนความภูมิใจ ในที่สุดเขาสามารถศึกษาในสาขาที่ตั้งใจจนสำเร็จ คว้าปริญญาโทด้านเภสัชศาสตร์มาอยู่ในมือ ในวินาทีนั้นเอง ปัง !!! เสียงกัมปนาทที่เขาได้ยิน คือเสียงมัจจุราชพรากชีวิตคนที่เขารักไปชั่วนิรันดร์

“พ่อ !” ภูดนัยตะโกนสุดเสียง ศีรษะเด้งจากไหล่มารดา เป็นจังหวะรถปุโรทั่งเหยียบห้ามล้อ เอี๊ยด ! ผู้โดยสารทั้งคันรถ ต่างกรีดร้องด้วยความตกใจ ไถลไปกองรวมกันราวกับลูกขนุนกลิ้ง ไม่เว้นแม้ภูดนัยที่ฝันถึงเหตุการณ์บิดาปลิดชีพด้วยอาวุธปืน .38

ให้ตายภูดนัยไม่ทันได้ระวังตัวร่างไถล กระเด็นไปเกยบนร่างสาว

หมอลำ พอลืมตาขึ้นจากความตกใจ พบว่าใบหน้าแนบชิดอยู่กับยายบ้านนาใกล้ซะจนลมหายใจเป่ารดกัน วินาทีนั้นดวงตาทั้งคู่สบประสานกันประหลับประเหลือก ดวงตาฉัตรตะวันถูกทับอยู่ด้านล่างกลอกกลิ้ง

ฉับพลันเมื่อตั้งสติ “ไอ้บ้าลงไปจากตัวฉัน” สาวบ้านนาตวาดลั่นไล่หนุ่มกรุงทันที ดวงตาทุกคู่บนรถ หันมองสองหนุ่มสาวนอนเกยกัน ทุกคนตาตื่นที่น่าตื่นมากกว่า รถลุงสุขเบรกหัวทิ่มหัวตำ คล้ายกับว่าชนอะไรสักอย่าง

ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถแตกฮือกรูกันลงจากรถ ฉัตรตะวันผลักภูดนัยที่เกยอยู่บนตัวเธอกระเด็น พุ่งตัววิ่งลงไปดูเหตุการณ์พร้อมกับชาวบ้าน

“ควายหรือ” สาวหมอลำมองดูควายตัวใหญ่สีดำทะมึน นอนตายอยู่กลางถนน ฉัตรตะวันแหวกผู้คนไปดูสภาพควายโชคร้าย “ไอ้เหวี่ยง” เด็กตัวดำร่ำไห้อยู่ข้างศพควาย คือลูกน้องตัวจ้อยของเธอเอง

“นี่ควายเอ็งหรือเหวี่ยง” ควายตัวหน้าตาเหมือนกันจึงจำไม่ได้ว่า ตัวไหนเป็นของลูกน้องตัวเอง

“ลูกพี่ฉัตร ควายฉันตายแล้ว” เด็กหันมาหาลูกพี่ฉัตร

“โดนรถชนหรือวะ” รถชนเละขนาดนี้เลยหรือไม่น่าใช่

“ไม่...” ไอ้เหวี่ยงตัวดำส่ายหน้า

“กระสือชัดๆ เลย ดูสิควายไม่มีตับไตไส้พุง” ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงวิจารณ์ ลงความเห็นกันเจื้อยแจ้ว

“เหลวไหลน่าพวกพี่ป้าน้า บ้านเราไม่มีกระสือซะหน่อย”

“อีนางเอ็งมาดูนี่สิ” แม่งามเรียกฉัตรตะวันไปดูใกล้ๆ ควายไม่มีเครื่องในสักชิ้น ท้องถูกแหวกแม่งามเห็นแล้วถึงกับขนลุกเกรียว

“โธ่...นางอ่องต่อง ใครหนอใจร้ายทำกับเอ็งได้ลงคอ” ควายเจ้าเหวี่ยงรักควายเป็นชีวิต ไอ้เหวี่ยงสำนึกบุญคุณนางอ่องต่อง เท่าควายทุกตัวของมัน ถ้ามีใครเปรียบคนโง่เป็นควาย ไอ้เหวี่ยงเถียงคอเป็นเอ็น นางอ่องต่องทั้งไถ่นา เทียมเกวียน เป็นเพื่อนเล่นคลายเหงา ถ้าไม่มีมันซะแล้ว จะเอาควายที่ไหนไถนา ไอ้เหวี่ยงร้องไห้คร่ำครวญ กอดลูกพี่ฉัตรด้วยความสำนึกบุญคุณนางอ่องต่องเป็นที่สุด

“หยุดร้องเถอะเหวี่ยง ข้ารู้ว่าเอ็งรักนางอ่องต่องมาก”

“ฉันรักนางอ่องต่องนี่นาลูกพี่ฉัตร ฉันเลี้ยงมันมากับมือ ใครช่างทำมันได้ลงคอ คอยดูเถอะฉันจะแก้แค้นให้นางอ่องต่องให้ได้” เหวี่ยงแค้นใจที่สัตว์เลี้ยงแสนรักโดนฆ่าตายอย่างสยอง

“เอ็งจะแก้แค้นกระสือหรือไอ้เหวี่ยง” ป้าคนหนึ่งถามเด็กน้อย

“เหลวไหลน่าป้าไม่มีกระสือ กระอะไรก็ไม่มี มันต้องมีใครสักคนฆ่าควาย ควักเครื่องในไปขายแน่นอน” ภูดนัยแทรกขึ้นกลางวงสนทนา

“ไอ้หนุ่มเอ็งเป็นคนกรุงจะไปรู้อะไร ที่นี่มีทั้งปอบ กระสือ” ชาวบ้านค้านคำพูดหนุ่มกรุงเป็นเสียงเดียวกัน

“กระสือมีมือมีมีดหรือไงครับ ถึงจะได้ผ่าท้องควักไส้ควายได้ ควายตัวเบ้อเริ่ม ถ้าเป็นกระสือมันก็มีแต่หัวกับไส้ มันจะเอาอะไรมาผ่าท้องควักไส้ละครับ เชื่อกันผิดๆ ทั้งเพ” เขาให้เหตุผลแบบคนรุ่นใหม่ ที่มีการศึกษาเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์

“ภู” พิมพ์วิไลแตะแขนเพื่อปรามลูก ไม่ต้องการให้เล่นกับความรู้สึกความเชื่อของชาวบ้าน คนเขาเชื่ออย่างนั้น เราเป็นคนต่างถิ่นปล่อยเขาเชื่อไป

“จริงนี่นาแม่งมงายกันไม่เข้าท่า เห็นอยู่ว่าควายตัวนี้โดนผ่าท้องควักไส้ รอยผ่าก็เห็นๆ อยู่”

“ป้าๆ น้าๆ คะผู้ชายคนนี้พูดก็มีเหตุผล ฉัตรว่าอย่าตีโพยตีพายกันไปเลยจ้ะ” ฉัตรตะวันเห็นด้วยกับความคิดของผู้ชายคำพูดกวนบาทา

“สภาพแบบนี้เป็นฝีมือของกระสือชัดๆ อุ๊ย ! น่ากลัว ไม่เคยเห็นกับตาก็ได้เห็น” น้าสาวคนหนึ่งออกความเห็นรู้สึกขนหัวลุก

“ไม่มีหรอกน้าเชื่อฉัตรเถอะ” เธอพยายามปลุกปลอบเบี่ยงเบนความคิดชาวบ้าน นับเป็นเรื่องยากในการโน้มน้าวจิตใจชาวบ้าน ให้คล้อยตามคำของเธอ ลองชาวบ้านได้เชื่ออะไรแล้วเชื่อหัวชนฝา คอยดูเถอะข่าวนี้เล่าต่อกันจนเป็นเรื่องลุกลาม ไม่กี่นาทีหลังจากนี้ ถ้ารู้ไปถึงแม่ใหญ่ศรหัวหน้าสมาคมปากเปราะแห่งเทพสุรินทร์ รับรองรู้ไปทั่วหมู่บ้านกระจายไปอีกสิบหมู่บ้านเลยเชียวล่ะ

“งมงาย” ภูดนัยเปรยลอยๆ ดูถูกความเชื่อของชาวบ้าน ช่างด้อยพัฒนาทั้งความเป็นอยู่และสติปัญญา

พูดแบบนี้ฉัตรตะวันของขึ้นสิเท่ากับด่าเธอด้วย ถูกเหมารวมอยู่ในจำพวกไร้การศึกษา คนบ้านนอกถึงแม้ซื่อแต่ไม่โง่ รู้จักอะไรเป็นอะไร รู้สึกหมั่นไส้ไอ้หนุ่มเมืองกรุงขึ้นมาตงิดๆ ปากหมาตั้งแต่อยู่ตลาด จนมาถึงตอนนี้ พูดจาแต่ละทีไม่เข้าหูสักคำ

“เก็บปากไว้กินข้าวเถอะ” ฉัตรตะวันต่อว่าหนุ่มกรุง

“นี่เธอ” ยายบ้านนาหน้าจืดพูดภาษาฟังไม่รู้เรื่อง แน่จริงพูดภาษากลางสิ จะได้วัดกันไปเลย สองหนุ่มสาวต่างถิ่นเขม่นไม่พอใจ ถลึงตาใส่กัน

“เอาล่ะภู แม่ขอร้องอย่ามีเรื่องกันเลย แค่นี้ชาวบ้านก็ตกใจกันแย่แล้วนะ” พิมพ์วิไลเกรงลูกชายมีเรื่องกับชาวบ้าน เพิ่งมาถึงจึงไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่ม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel