ตอนที่ 1 คืนฝนตกกับเงาไร้ที่พึ่ง
ตอนที่ 1
คืนฝนตกกับเงาไร้ที่พึ่ง
เสียงฟ้าคำรามกึกก้องเหนือยอดเขาสะท้อนก้องไปทั่วทั้งผืนป่า ลมกระโชกแรงจนกิ่งไม้ใหญ่ไหวสะท้านพลิ้วไหวราวจะหักโค่น น้ำฝนกระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับฟากฟ้ากำลังระเบิด ความโกรธเกรี้ยวใส่โลกทั้งใบจนผืนดินสั่นสะท้าน
ในความมืดมิดที่ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน มีเพียงร่างเล็กบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินโซซัดโซเซอยู่บนถนนลูกรังซึ่งแฉะเฉอะไปด้วยโคลนเหนียวเหนอะหนะ ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นรู้สึกเย็นยะเยือกจนแทบไร้ความรู้สึก
“ฮึก… ทำไม… ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย…”
เสียงสะอื้นที่แหบพร่าเล็ดรอดออกมาจาก ริมฝีปากที่ซีดขาวและสั่นระริก เธอพยายามยกมือขึ้นป้องใบหน้าจากเม็ดฝนที่สาดซัดไม่หยุดยั้ง เสื้อผ้าที่บางเฉียบเปียกปอนแนบชิดไปกับผิวเนื้อขาวผ่อง เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าของร่างกายอย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในยามค่ำคืนที่มืดมิดเพียงใดก็ตาม
หญิงสาวผู้นั้นคือ แพรไหมใบหน้าอันอ่อนหวานราวกับตุ๊กตาเซรามิกชั้นดีนั้นดูบอบบางและไร้ทางสู้อยิ่งกว่าเด็กน้อยที่หลงทาง ดวงตากลมโตคู่สวยที่เคยมองโลกด้วยความสดใส บัดนี้กลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่คลอหน่วยจนพร่าเลือน ไม่มีแววความโกรธเกลียด หรือความคับแค้นใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความเจ็บปวดรวดร้าวและความสับสนที่ถาโถมเข้ามา จนเธอแทบจะทรงกายยืนอยู่ไม่ไหวแล้ว
เธอเพิ่งจะหนีออกมาจากบ้าน...บ้านที่เคยเป็นที่พักพิงและสถานที่ที่อบอุ่น แต่ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรจากกรงขัง บ้านที่ไม่ใช่บ้านอีกต่อไป เมื่อผู้เป็นแม่ที่เธอรักและเคารพกลับเลือกที่จะเชื่อสามีใหม่ของตัวเองมากกว่าลูกสาวแท้ ๆ ในไส้อย่างเธอ
แพรไหมไม่ได้ร้องไห้เสียงดังฟูมฟาย เธอไม่มีแม้แต่แรงเหลือพอที่จะตะโกนร้องขอความยุติธรรมจากใครอีกแล้ว สิ่งเดียวที่เธอมีคือเท้าเปลือยเปล่าที่ก้าวเหยียบย่ำลงไปในแอ่งน้ำฝนและดินโคลนที่เย็นเฉียบ มุ่งหน้าไปตามถนนสายแคบที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้เลยว่าปลายทางที่รออยู่คือที่ใด
จังหวะนั้นเอง… ฟ้าแลบแปลบปลาบพร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามก้องกระแทกโสตประสาทจนร่างเล็กสะท้านไหวด้วยความตกใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองทิวไม้สูงใหญ่เบื้องหน้า ท่ามกลางความมืดสลัวที่ปกคลุมอยู่ เธอสังเกตเห็นเงาตะคุ่มของบ้านไม้เก่าหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างเงียบงัน ลึกเข้าไปหลังแนวป่าทึบ มีเพียงแสงตะเกียงสลัวเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างบานเล็ก เท่านั้น
บ้านคนอย่างนั้นหรือ?
หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ลากสังขารที่แทบจะหมดแรงเข้าไปใกล้ ประตูไม้สนบานใหญ่ปิดสนิทแน่น ราวกับกำลังปิดกั้นเธอออกจากโลกที่อบอุ่นและปลอดภัย มือเรียวเล็กที่เย็นเฉียบจนไร้ความรู้สึกยกขึ้นตั้งใจจะเคาะ…
ก๊อก… ก๊อก…
แต่เสียงฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงก็กลบเสียงเคาะประตูจนเงียบหายไปหมดสิ้น เธอพยายามจะยกมือขึ้นเคาะอีกครั้ง แต่ก่อนที่มือจะสัมผัสถึงบานประตู…
ดวงตากลมโตก็พร่าเลือนลงทันที และร่างเล็กบอบบางก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นหินที่หน้าบ้าน… สติของเธอหลุดลอยไปในพ้วงความมืดมิด
ประตูไม้บานใหญ่ถูกผลักเปิดออกอย่างแรงด้วยเสียงดัง “ครืด” ที่บาดลึกความเงียบของค่ำคืน
ร่างสูงใหญ่กำยำในเสื้อกล้ามสีเทาที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก้าวออกมาจากตัวบ้าน เขาเงยหน้าขึ้นมองสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมา ก่อนจะก้มลงมาเห็นร่างของหญิงสาวนอนหมดสติแทบจะจมหายไปกับแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่ขังอยู่หน้าบ้าน
ดวงตาคมเข้มดุจพญาอินทรีขมวดแน่นเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ สีหน้าอันเย็นชาและไร้อารมณ์ฉายแววตกใจวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรีบช้อนร่างบอบบางของหญิงสาวขึ้นแนบกับอกแกร่งโดยไม่รอช้าแม้แต่วินาทีเดียว
“บ้าเอ๊ย…” เสียงทุ้มต่ำสบถในลำคออย่างหงุดหงิดระคนไม่เข้าใจตัวเอง มือหนาและหยาบกร้านช้อนใต้หัวเข่าและประคองแผ่นหลังบอบบางของเธอขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม ราวกับอุ้มตุ๊กตาที่แสนเปราะบาง
เขารีบพาเธอเข้าไปในบ้านทันทีร่างกายของเธอชื้นเปียกไปทั้งตัว ผิวขาวซีดเริ่มเย็นเฉียบจนน่าตกใจ นิ้วมือเล็ก ๆ หงิกงอจากการสัมผัสกับความหนาวเย็นมาเป็นเวลานาน
“ได้ยินฉันไหม” เขาตบเบา ๆ ที่แก้มของเธอเพื่อปลุกให้ฟื้นคืนสติ แต่หญิงสาวไม่ตอบสนองใด ๆ เลย
ชายหนุ่มไม่รอช้า กระชากผ้าห่มหนาผืนใหญ่โยนลงบนเตียงไม้แล้ววางร่างของเธอลงบนผืนผ้าหนานุ่มนั้น คิ้วเข้มขมวดแน่นเข้าหากันอีกครั้งอย่างรำคาญใจตัวเองนิดหน่อยที่ต้องมาเจอกับเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าและเช็ดมือให้เธอด้วยมือใหญ่หยาบกร้านที่เคยจับอาวุธหนักมานับไม่ถ้วน
เขาชื่อ… ไทเกอร์ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำ อดีตทหารรับจ้างผู้มากประสบการณ์ที่เลือกจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ห่างไกลจากความวุ่นวายของผู้คนในสังคมและตอนนี้… เขากำลังมีคนแปลกหน้าเป็นผู้หญิงตัวเปียกปอนคนหนึ่ง นอนหมดสติอยู่ในบ้านของเขา…
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…เปลวไฟในเตาผิงค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นอย่างช้า ๆ ส่งไออุ่นไปทั่วทั้งห้องที่หนาวเหน็บ ร่างเล็กที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาเริ่มขยับตัวเล็กน้อย
“อื้อ…” เสียงครางแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบหลุดออกมาจากลำคอ
แพรไหมลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า สติของเธอยังคงเลือนราง ไม่ชัดเจนนัก เธอเห็นเพดานไม้เก่า ๆ ลมหายใจอุ่น ๆ กำลังไหลผ่านจมูกอย่างสม่ำเสมอ
เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเธอ… เป็นเสื้อเชิ้ตสีดำตัวใหญ่โคร่ง…ไม่ใช่ของเธอ…
หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจระคนงงงวย แต่แล้วก็ชะงักค้าง เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มยืนหันหลังอยู่ในครัว
เขาสูงสง่า… ไหล่กว้างกำยำ… กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัด ๆ ราวกับนักรบที่กรำศึกมาอย่างโชกโชน
เสื้อกล้ามสีเข้มแนบชิดไปกับแผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็กใหญ่มากมาย สะท้อนวับกับแสงสลัวของตะเกียงที่แขวนอยู่
ร่างนั้นหันกลับมา ริมฝีปากหยักลึกเม้มเข้าหากันแน่น ขณะที่ดวงตาคมกริบมองตรงมาด้วยความนิ่งงันที่ยากจะคาดเดา
“ฟื้นแล้วหรือ”
เสียงทุ้มต่ำและห้าวของเขาดึงสติของเธอกลับสู่โลกแห่งความจริง แพรไหมกอดผ้าห่มแน่นขึ้นไปอีก ดวงตาที่แดงช้ำจากความเหนื่อยล้าไหวระริกเล็กน้อย
“ขะ… ขอบคุณนะคะ…” เสียงของเธอสั่นเครือจนแทบจับใจความไม่ได้
ไทเกอร์พยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรอีก เขายื่นถ้วยน้ำอุ่นให้กับเธอ ก่อนจะหันกลับไปจัดฟืนในเตาผิงให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง…แต่สำหรับแพรไหมแล้ว…อ้อมกอดของค่ำคืนนี้… คือสิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังคงรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ได้ใจร้ายกับเธอไปเสียหมดยังมีมุมหนึ่งที่มอบความอบอุ่นและปลอดภัยให้กับเธอในยามที่ชีวิตต้องเผชิญกับพายุร้าย
