ตอนที่ 5 ทวงสัญญา (3)
“งั้นก็ตามใจธิมแล้วกัน รถพี่จอดอยู่ที่ลานจอดชั้นจีนะ นี่กุญแจ” พอได้ยินดังนั้นเขาก็รีบผละไปทันที
“อ้าว ธิม!” ศุภกรได้แต่มองตามหลังพระเอกในสังกัดตนอย่างงุนงง วันนี้ดูเหมือนธิเบศผู้สุขุมของเขาจะเสียอาการหลายหน เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ แต่เขาแอบสังหรณ์ใจว่าต้นเหตุจะมายัยแฟนคลับหน้าจืดคนนั้น!
“ประกาศจากฝ่ายประชาสัมพันธ์...เด็กหญิงจารุพัชร พิมลธร ตอนนี้มีผู้ปกครองมารอพบที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ชั้นหนึ่งค่ะ ประกาศ...”
เสียงตามสายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังเรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินเล่นในห้างแห่งนั้น ลูกเต้าเหล่าใครกันท่าทางจะซุกซนจนเดินพลัดหลงกับพ่อแม่จนต้องมาประกาศตามหาตัวจ้าละหวั่นแบบนี้
รอเพียงไม่นานนักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินจ้ำอ้าวมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์หน้าตาตื่น
“คุณคะ ฉันชื่อจารุพัชร พิมลธรที่คุณประกาศเมื่อกี้” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์มองหญิงสาวตรงหน้าก่อนก้มลงมองข้อความในประกาศ
“เอ๊ะ! แต่ทำไมคนที่ให้ประกาศเขาบอกว่าคุณเป็นเด็กหญิง...”
“เด็กหญิงเนี่ยนะ ใครกันเหรอคะ คนที่ให้ประกาศที่ว่า” หญิงสาวชักจะฉุน ใครมันบ้าเล่นพิเรนทร์แบบนี้
“เป็นผู้ชายตัวสูงๆ ค่ะ อ้าว เมื่อกี้ยังอยู่แล้วนี้นี่นา” คนพูดเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนหาอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พบ “อ้อ แต่เขาฝากจดหมายไว้ให้คุณด้วยนี่ไงคะ”
จารุพัชรรับซองกระดาษมาอย่างงุนงง แต่พอเปิดอ่านดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างทันที
ผมเก็บกระเป๋าคุณได้ ถ้าอยากได้คืน ผมจะรอที่ลานจอดรถชั้นจี
“ลงชื่อ...พลเมืองดี”
หญิงสาวอ่านทวนซ้ำอยู่สองสามรอบ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดมากกว่านั้น กระเป๋าก็อยากได้คืนอยู่หรอก ตอนแรกที่รู้ว่ากระเป๋าสะพายไปเธอก็ตกใจ รีบไปตามหาแต่ก็ไม่พบ จนเกือบถอดใจแล้วว่าหายไปแน่ๆ
ลำพังเงินสดที่อยู่ในนั้นไม่ได้มากมายหรอกเพราะเพิ่งจ่ายค่าตรวจไปเมื่อเช้าก็หลายบาทอยู่ แต่เสียดายพวกบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรสำคัญต่างๆ รวมถึงยาบำรุงที่คลินิกจัดให้ ถ้าจะไปขอใหม่คงจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกไม่น้อยนี่สิ เดือนนี้เธอยิ่งกรอบๆ อยู่ด้วย
พอคิดว่าหากพลเมืองดีที่ว่าเป็นโจร ก็คงไม่บอกให้เธอไปรับกระเป๋าคืนหรอกมั้ง คงฉกเงินไปเลยมากกว่า ก็ทำให้หญิงสาวตัดสินใจลองไปที่จุดนัดพบดู
ทันทีที่หญิงสาวมาถึงลานจอดรถชั้นจี ก็พยายามมองหาว่าพลเมืองดีที่ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างที่เธอกำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่นั่นเองก็มีรถเก๋งคันหนึ่งปราดเข้ามาจอดตรงหน้า พร้อมกับกระจกรถเลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าของพลเมืองดีชัดๆ หญิงสาวก็ถึงกับตะลึงงัน
“คุณเองหรือเนี่ย!”
“ขึ้นรถ! ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
อีตาบ้า! ไหนบอกว่าไม่อยากพบกันเป็นหนที่สามไง แล้วโผล่มาทำไมอีก
“ยืนเซ่อทำไม รีบขึ้นมาสิ หรืออยากให้ใครมาเห็นก่อน”
จารุพัชรนึกฉุน แต่พอสบสายตาคู่นั้น และนึกถึงตอนที่เขาช่วยอุ้มเธอตอนเป็นลมในงาน เธอจึงถอนหายใจก่อนยอมตัดใจขึ้นรถของเขาแต่โดยดี แต่อีกใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เรื่องที่เขาจะคุยด้วยคือเรื่องอะไรกันนะ
“คุณให้เขาประกาศหาตัวฉันในห้างใช่ไหม” พอรถเคลื่อนออกจากห้าง หญิงสาวก็หันมาถามคนที่เอาแต่เงียบตั้งแต่เธอขึ้นรถมา
“ใช่”
“ทำไมคะ ก็ไหนคุณบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าฉันเป็นหนที่สามไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่” คำตอบนั้นทำให้หน้าคนฟังเริ่มตึงๆ จนต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจ
“คุณบอกว่าคุณเก็บกระเป๋าฉันได้ ไหนล่ะคะกระเป๋าที่ว่า”
“อยู่ที่เบาะหลังนั่นไง”
หญิงสาวรีบเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นกระเป๋าตัวเองอยู่ที่นั่น จึงเอื้อมมือไปหยิบมาอย่างโล่งใจ
“ขอบคุณนะคะ ว่าแต่คุณไม่ได้...” ค้นกระเป๋าฉันใช่ไหม ประโยคนั้นถูกกลืนลงไป เพราะเจ้าตัวนึกได้ว่าเหมือนเป็นการสบประมาทอีกฝ่ายแรงไปหน่อย เขาเป็นคนดังคงไม่มาค้นกระเป๋าใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกมั้ง เพราะถ้าค้นจริงก็คงได้เจอสิ่งนั้น และเขาคงไม่นั่งนิ่งแบบนี้แน่ๆ
“ไม่ได้อะไร...”
“เปล่าค่ะ ฉันขอบคุณมากนะคะ ทั้งเรื่องกระเป๋า แล้วก็เรื่องที่คุณช่วยฉันไว้ตอนเป็นลมในงานเมื่อกี้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วช่วยจอดให้ฉันลงตรงป้ายรถข้างหน้าได้ไหมคะ พอดีฉันต้องไปทำธุระต่อ”
“ผมยังให้คุณไปไหนไม่ได้”
“อ้าว! ทำไมล่ะคะ” คนมีชะนักติดหลังชักระแวง
“แล้วที่บอกมีเรื่องจะคุยกับฉันนี่มันเรื่องอะไรกันคะ อย่าบอกนะว่าจะมาทวงสัญญาอะไรอีก ก็บอกแล้วไงคะว่าฉันจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก ส่วนเรื่องอื่นฉันก็ลืมไปหมดแล้วด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ฉันไม่ได้มาที่ห้างนี้เพราะอยากมาหาคุณซักหน่อย”
“พูดจบหรือยัง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบๆ
“จบแล้วค่ะ ทีนี้ก็ตาคุณพูดบ้าง”
“ผมแค่อยากรู้ว่า ‘ไอ้นี่’ คืออะไร”
จารุพัชรหันมอง ‘ไอ้นี่’ ที่อยู่ในมือเขา ก่อนเบิกตาค้าง หัวใจปลิวไปอยู่ที่ตาตุ่มทันใด
