อี้ผิง ยอดหญิงหัวใจเหล็ก

197.0K · จบแล้ว
เหมมิกา
63
บท
27.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ผิงตายแล้วไปเกิดใหม่ แต่ชีวิตใหม่ของเธอนั้นไม่สวยงามเลย ไหนจะเป็นนักฆ่า ไหนจะเป็นคุณชาย นี่! ข้าเป็นสตรีนะผิงหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะ วันหนึ่งนางเกิดการผิดใจกับพนักงานในบริษัท จนนำให้เกิดโศกนาฏกรรม แต่แล้วไม่รู้กรรมดีหรือกรรมใด นำพาให้เธอมาเกิดใหม่ยังดินแดนที่แปลกตา ทั้งภาษา วัฒนธรรม เด็กสาวธรรมดา ต้องร่อนเร่ ระหกระเหิน ในชีวิตใหม่นี้ของเธอ เป็นเพียงเด็กน้อยตัวเล็กๆ แล้วผิงจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร?เรื่องราวดำเนินจนมาถึงจุดที่ทุกคนรู้ว่า นางเป็นสตรี บิดาบุญธรรมรับไม่ได้ ทำให้ผิงเสียใจอย่างมากตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แต่นั่นทำให้เรื่องราวพลิกผันไปในทางที่แย่ ทุกคนทราบว่านางตายแล้วหนึ่งปีต่อมา ผิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในฐานะ บุตรสาวคนเล็กที่หายสาบสูญไปของสกุลโม่!!

ทหารพลิกชีวิตเกิดใหม่รักวัยรุ่นโตมาด้วยจีนโบราณ

ปฐมบท

ปฐมบท

‘หิว หิวเหลือเกิน’

เด็กน้อยวัย 5 ปี ร้องโอดครวญอยู่ภายในใจ ร่างเล็กเดินเตาะแตะโซซัดโซเซไปเรื่อยๆเพื่อหาอาหารที่ เผื่อบ้านเรือนบริเวณนี้จะมีอาหาร หรือ เศษอาหารเหลือบ้าง เสื้อผ้าขาดๆสกปรกใบหน้ามอมแมม ตามตัวเต็มไปด้วยรอยถูกทำร้ายทั้งใหม่และเก่า สภาพของเด็กคนนี้ช่างน่าเวทนา เด็กน้อยเดินไปเรื่อยๆแม้ร่างกายจะแทบไม่มีแรงแล้วก็ตาม ทุกการก้าวช่างรู้สึกว่ามันลำบาก เท้ามันหนักขึ้นเรื่อยๆ แรงค่อยๆเหือดหายเพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว

เด็กเพียงเท่านี้!

โดนทำร้ายเพียงนี้!

ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันเช่นนี้สมควรจะตายไปได้แล้ว ถ้าจิตเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบ แต่เพราะมันไม่ใช่ แม้ใบหน้าจะอมทุกข์ ร่างกายเล็กอ่อนแอ แต่ดวงตากับฉายแววกล้า คล้ายบอกเป็นในๆว่า

‘ข้า จะไม่ยอมตาย จะไม่ตายแม้ต้องตกต่ำถึงขีดสุด แม้ต้องทุกข์ทรมานจวนเจียนอยากตาย แต่ ข้าก็จะไม่ตาย!’

ภายในดวงตาเด็กน้อยบอกเช่นนั้น มันช่างน่าประหลาด เหลือเกิน

ร่างเล็กในที่สุดก็สะดุดล้มลงไปนอนกองกับพื้น จิตภายในกรีดร้อง เกลียด เกลียดความอ่อนแอเช่นนี้ เกลียด เกลียดโชคชะตาที่เป็นเช่นนี้ เกลียดทุกอย่างแม้แต่เจ้าหินที่ทำให้สะดุดล้ม เด็กน้อยที่แยกไม่ออกว่าเป็นเพศใด พยายามชันตัวให้ลุกขึ้น แต่ลุกได้เพียงน้อยก็ล้มลงไปเช่นเดิมไม่ว่าจะทำกี่ครั้งก็ล้มลงไปอย่างเดิม เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์และการทำเช่นนี้ ก็เป็นเพียงการทำให้ตนเองเจ็บตัวเพิ่มมากขึ้น เด็กน้อยจึงหยุด เขาคิดถึง ‘หูฉลาม คิดถึงเนื้อสะเต็กหอมกรุ่น คิดถึงความสะดวกสบาย’

เหตุใด เมื่อให้ชีวิตใหม่แล้วมันถึงได้แย่กว่าเดิม เหตุที่เป็นเช่นนี้ มันเพราะเจ้านั่น เจ้าเลวนั่น!

ดวงตาฉายความเคียดแค้นอาฆาตราวไม่ใช่ดวงตาของเด็ก ใช่ แม้ร่างกายคือเด็กอายุ 5 ขวบ แต่จิตภายในร่างกลับไม่ใช่เด็ก ภายในความเคียดแค้นแววตายังสะท้อนถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

…….

ประเทศไทย ปี 2018

รถสปอร์ตสีแดงเลือดนกแล่นเข้ามาจอดหน้าบริษัท KMT เสียงล้อรถบดกับถนนดึงคนที่อยู่บริเวณนั้นให้หันมามองด้วยความสนใจ ประตูฝังคนขับเปิดออกตามด้วยผู้เป็นเจ้าของ ยามเจ้าของรถสุดหรูนี้ลงมาปรากฏกาย ทุกคนต่างร้องเสียง ‘โห..’ ออกมาตามๆกัน ต่างมองร่างอวบอั้นแต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งในชุดเดรสรัดรูปสีแดงอวดรูปร่างที่ถอดแบบออกมาราวนางแบบในนิตยสาร รองเท้าส้นสูงหกนิ้วลายเสื้อดาวเข้ากับชุดและเรียวขายาวที่ก้าวเข้าไปข้างในอาคารของบริษัทผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ดัง ผมสีบรอนซ์ดัดลอนสะบัดไปมาตามการเคลื่อนไหวของร่างกายช่างดูเป็นธรรมชาติ คิ้วโก่งสวย นัยน์ตาเฉี่ยวคม ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงสด จมูกโด้งรูปปลายหยดน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอยู่ในตัวของเธอคือความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เพียงปรากฏตัวไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ทำเอาคนถึงกับกลั้นหายใจตะลึงงันกับความสวยอลังการของเจ้าของบริษัทสาวแสนสวย KMT บริษัทผลิตเครื่องสำอางที่โด่งดังในขณะนี้

“ท่านประธานสวัสดีค่ะ/ครับ” พนักงานทุกคนทั้งหญิงและชายต่างทักทาย ศิริมากันอย่างพร้อมเพียง ศิริมายิ้มมุมปากพยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วเดินเข้าลิฟต์สำหรับผู้บริหารเข้าไป เพียงท่าทางเล็กน้อยที่แสดงออกก็ทำให้ทุกคนถึงกับมองตามอย่างชื่นชม

“ท่านประธาน” ศิริมาปรายตามอง พิจิกา เลขาส่วนตัวของตนเองที่รอรับเธออยู่หน้าห้องทำงานอยู่แล้ว ศิริมาพยักหน้าให้เดินเข้าไปภายในห้องทำงานสุดหรูที่มี ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งรออยู่ภายในก่อนแล้ว ศิริมาเหยียดยิ้ม ผู้ชายคนนี้คือนักบัญชีของบริษัทเธอ แต่อีกเดี๋ยวเขาก็จะกลายเป็นเพียงอดีต

“ทะ ท่านประธาน” นักบัญชีที่อีกไม่ช้าจะกลายเป็นอดีตเรียกศิริมาเสียงสั่น ศิริมาเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง ไม่รอช้า เธอยื่นซองขาวให้กับเขา หน้าซองมีตัวอักษรที่ถูกพิมพ์ใหญ่ๆว่า

‘ลาออก’ นักบัญชีชายเหงื่อแตกพลั่กๆอ้าปากจะพูดก็พูดไม่ออก ศิริมาเห็นท่าทางของเขาเป็นเช่นนั้นก็สะใจ เธอไม่รอให้เขาได้พูดแก้ตัว ชิงพูดก่อน

“คุณยักยอกเงินบริษัท ทั้งปลอมแปลงเอกสารบัญชี นำข้อมูลของบริษัทไปบอกคู่แข่ง จริงๆฉันควรจับคุณส่งตำรวจ แต่เห็นแก่ที่คุณทำงานกับเรามาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทแรกๆ ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ของฉัน นี่คือโทษสถานเบา หวังว่าจะเข้าใจนะคะ”

“มะ ไม่ ไม่นะท่านประธานผม ผมไม่ได้ทำ ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ทำ!” ศิริมาไม่ฟังพยักหน้าให้เลขานำตัวเขาออกไป

‘ถึงขนาดนี้ยังกล้าแก้ตัว หลักฐานแน่นหนา ช่างไม่มีจิตสำนึก’ ศิริมาด่าทอในใจ สำหรับศิริมา เกลียดที่สุดคือคนทรยศ

พักเที่ยงเธอขึ้นไปสูดอากาศบนดาดฟ้าอย่างที่ทำประจำและ ในระหว่างที่กำลังปลดปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลาย ศิริมารู้สึกถึงสายตาอาฆาตแค้นที่ส่งมาก็ตกใจหันกลับไป พอเห็นเป็นใครใบหน้าก็เย็นเยียบ เขาคือ

นักบัญชีที่เธอไล่ออกไปนั่นเอง

“ทำไมยังอยู่ที่นี่?” ศิริมาถามน้ำเสียงเย็นชา

“ทำไมไม่เชื่อผม ทำไม!” นักบัญชีคนนั้นไม่ตอบคำถามเธอเขากลับตวาดใส่เธอเสียงดัง และก้าวเข้ามาหาท่าทางคุกคาม ศิริมารู้สึกไม่ปลอดภัยจึงก้าวถอยหลังไปช้าๆ

“หลักฐานแน่นหนา จะให้เราเชื่อได้ยังไงว่าคุณไม่ได้ทำ”

“ถ้าคุณไม่เชื่อ…..ก็ตายซะ!!!” จบประโยคนั้นศิริมาก็ถูกชายคนนั้นผลักลงไปจากตึก ศิริมากรี๊ดลั่น รับรู้ถึงแรงเสียดสีของลมที่บาดผิวกาย

ความหวาดกลัวที่รู้ว่าตนเองต้องตายซึมเข้าไปสู่สติทั้งหมดของเธอ สิ่งสุดท้ายที่รับรู้คือความรู้สึกเหมือนร่างแหลกละเอียดก่อนทุกอย่างจะดับวูบ

เสียงกรี๊ดตกใจ ความชุลมุนค่อยๆห่างไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนจะไม่ได้ยินอะไรอีก ทุกอย่างดับวูบ

“ทำไม! ทำไมเธอต้องตาย ชีวิตที่กำลังสวยงาม ทำไม ทำไมต้องตายตอนนี้ แล้วบริษัทล่ะ เงินเธอเล่า จะทำยังไง พระเจ้า ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ พระเจ้าไม่ยุติธรรม!!!”

“เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส เจ้าคิดถึงสิ่งของก่อนบิดามารดาเสียอีก เอาเช่นนี้ หากไม่อยากตาย ข้าจะให้เจ้าเกิดใหม่ และเรียนรู้ความยากลำบากเสีย!!”

“ไม่!!!!!!!!”

เฮือก!!

ด้วยเหตุฉะนี้ ศิริมาหรือ ผิง จึงได้เกิดใหม่ ในร่างของเด็กอายุ 5 ขวบ เด็กกำพร้าที่แสนยากจน ไม่มีแม้แต่ชื่อ เพื่อเรียนรู้แก่นแท้จริงๆของชีวิต แล้วมันคืออะไรกันเล่า เมื่อโชคชะตาช่างโหดร้าย คนทั้งโลกเป็นศัตรูกับเธอแม้แต่พระเจ้าก็ทำร้ายเธอ เธอก็จะทำให้เห็น ว่า โชคชะตาไม่มีทางชนะตัวเราได้ ต่อให้ลำบากแค่ไหน ทรมานเพียงใด เธอก็จะไม่ตาย ไม่มีทางตาย เธอจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาบัดซบนี้

‘เมื่อชีวิตมันไม่ง่าย ก็ต้องดิ้นรนให้ตนเองได้สุขสบายนี่คือปณิธานของผิงคนนี้!!”

ซ่า!! น้ำถูกสาดใส่ร่างของเด็กน้อยอย่างแรง ผิงสะดุ้งตื่น สายตาที่ปรับแสงยังไม่ได้แต่ร่างกับถูกฉุดให้ลุกขึ้นด้วยการกระทำหยาบคาย ก่อนจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เธอก็ถูกโยนขึ้นไปบนสิ่งที่เรียกว่าเกวียนอย่างแรง

“อะ…” ร้องออกมาได้แค่นั้นเพราะเสียงแหบแห้งเหลือเกิน เมื่อได้อยู่นิ่งๆกับตัวเองแล้ว ผิงจึงเริ่มสำรวจรอบๆกาย เด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันต่างนั่งกอดเข่าตัวสั่นท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จากสถานการณ์แวดล้อมบอกได้อย่างเดียวว่า เด็กพวกนี้และเธอกำลังถูกขายและพาไปที่ไหนสักที่ แต่ทำไมมีแต่เด็กผู้ชายเล่า ผิงสงสัย แล้วเธอเองที่เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวทำไมถูกจับมาด้วย

“นี่..” เมื่อไม่ได้คำตอบจึงตัดสินใจสะกิดเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขามีร่างกายผอมสูง ใบหน้าตอบ แต่ก็ดูแข็งแรง อายุน่าจะราวๆ 9 ขวบได้

“อะไรหรือ?” เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นถาม

“คือ…เราจะไปไหนกันหรือ?” เด็กผู้ชายคนนั้นส่ายหน้า ผิงรู้สึกผิดหวังน้อยๆแต่ก็เข้าใจ พวกนี้จะรู้ได้อย่างไรเขาแค่เด็ก 9 ขวบเองนะ

โครก~ เสียงท้องร้องดังมาจากผิง เธอรีบยกมือมากุมท้อง เด็กผู้ชายคนนั้นก้มลงมองเอ่ยถาม

“เจ้าหิวหรือ” ผิงพยักหน้า เด็กผู้ชายเห็นดังนั้นจึงหยิบห่อผ้าเล็กออกมาจากด้านในเสือ คลี่ห่อผ้าออก ข้างในมีแป้งก้อนกลมๆอยู่ก้อนหนึ่ง เด็กชายบิดแบ่งก้อนแป้งยื่นให้ผิง

“กินสิ แม้ข้าทำให้ ลองท้องก่อน” ผิงนิ่งมองก้อนแป้งในมือเด็กผู้ชาย นี่เป็นน้ำใจแรกที่ถูกยื่นให้นับตั้งแต่มาอยู่ในโลกแห่งนี้ ผิงรู้สึกแสบจมูกแต่ก็ต้องกลืนมันลงไป หยิบก้อนแป้งจากมือเล็กเอ่ยขอบคุณ

“ขอบใจเจ้า”

“อือ ไม่เป็นไร” เด็กชายฉีกยิ้มสดใส ผิงตะลึง รอยยิ้มแรกที่ได้รับรอยยิ้มที่จริงใจ ครั้งแรกนับตั้งแต่ฟื้นมา เด็กนี่ เป็นผู้มีพระคุณ

เกวียนที่วิ่งมาตลอดทางในที่สุดก็หยุด ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หน้าตาเหี้ยมโหดถือแส้มาไล่ตีเด็กให้ลงจากเกวียน เด็กผู้ชายทุกคนต่างลงจากเกวียนอย่างรวดเร็ว ทุกคนถูกต้อนให้เข้าไปในหมู่บ้าน ขนาดย่อม มีตะแกรงเหล็กอยู่ด้านบนรอบๆเป็นกรง ดูแล้วเหมือนกรงขนาดมหึมาที่เอาไว้ทรมานคน พวกเราถูกจับให้ยืนจัดแถว เมื่อจัดเสร็จแล้ว ถึงมีชายวัยกลางคนเดินออกมา ใบหน้าเรียบนิ่ง กวาดตามองพวกเราทุกคนทีละคน ทีละคน คนนั้นหยุดสายตาลงที่ผิง เธอสบตาตอบไม่ได้หลบ แรงกดดันแผ่ออกมาจากตัวเขา ผิงกำมือเข้าหากันแน่น แม้ในใจจะรู้สึกกลัวแต่ก็ไม่ยอมหลบตา เกือบจะล้มลงไปแล้วดีที่เขาคนนั้นละสายตาไปที่คนอื่นก่อน ผิงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ เมื่อมองจนครบทุกคนแล้ว ชายผู้นั้นจึงหันไปพยักหน้าให้ชายสองคนในชุดดำ ชายสวมชุดดำสองคนถือกล่องไม้เข้ามาวางลงตรงหน้าพวกเรา จากนั้นก็จัดการเปิดฝากล่องออก ทุกคนชะโงกเข้าไปดูสิ่งของด้านใน ผิงก็เช่นกัน สิ่งที่อยู่ในกล่องเป็นอาวุธต่างประเภทกันไป มีทั้งแส่ มีด ดาบ กระบี่ หลากหลายมากมาย ผิงรู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงแก่นหลังในทันที เธอเงยหน้ามองบุคคลเหล่านี้ พวกเขามีสีหน้าเรียบสงบ แววตาไม่ปรากฏคลื่นอะไรสักอย่างแม้แต่น้อย เดาได้สองทาง ลักษณะแบบนี้ คนพวกนี้ ไม่เป็นนักฆ่า ก็กลุ่มคนโรคจิตที่ชื่นชอบการทรมานเด็ก

“พวกเราชื้อเจ้ามา เพื่อมาเป็นคนของเรา แต่การจะเป็นคนของเราต้องมีความสามารถ เราจะทดสอบพวกเจ้าทุกคน ภายในกรงนี้ พวกเจ้าคือผู้ล่า หรือผู้ถูกล่าก็ได้ หยิบอาวุธที่คิดว่าชอบขึ้นมาซะ” ชายที่มาก่อนคนแรกตะโกนสั่ง เด็กผู้ชายทุกคนต่างตกใจ รีบเข้าไปหยิบอาวุธในกล่องนั้น ผิงรับรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้เป็นนักฆ่าและเอาเด็กมาเพื่อสอนและ นี่คือบททดสอบ ผิงคว้ามือ อาหมิง ผู้มีพระคุณของเธอคนแรกในโลกนี้เดินไปที่กล่อง อาหมิงใบหน้าเคร่งเครียด เหนืออื่นใดผิงเห็นแววตาหวาดกลัวของเขา ผิงตัดสินใจเลือกกระบี่เล่มไม่ใหญ่นักมาสองเล่ม เล่มหนึ่งให้อาหมิง อีกเล่มให้เธอ ชายวัยกลางคนเห็นทุกคนเลือกอาวุธกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้อธิบายต่อ

“ต่อจากนี้คือบททดสอบ หากใครรอดชีวิตไปได้ เราจะรับเป็นคนของเรา ขอให้พวกเข้าทุกคนโชคดี” สิ้นคำคนเหล่านั้นก็ลอยตัวขึ้นด้านบน เด็กทุกคนอ้าปากค้างเพราะไม่เคยเห็นคนที่มีวรยุทธ์เช่นนี้ ยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรมาก อยู่ๆประตูกรงอีกด้านก็ค่อยเลื่อนเปิด ผิงมองไปยังทางนั้น รอจนกรงเปิดออกกว้างแล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าต่างร้องเตือนถึงอันตราย ผิงรับรู้ถึงอันตราย เธอจับมืออาหมิงแน่นขึ้น แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะออกมามันจะเป็นอะไร รู้ได้อย่างเดียวว่ามันไม่ใช่สิ่งดี

กรุบ กรุบ กรุบ เสียงย่ำเท้าสี่ครั้งดังมาจากประตูอีกด้าน มันมืด มืดจนไม่รู้ว่าเสียงเดินนั้นเป็นตัวอะไร จนเมื่อเห็นดวงตาหิวกระหายจ้องมองมา ผิงก็เผลอถอยหลังอย่างหวาดกลัว ร่างเล็กสั่นเทา ยิ่งเมื่อเห็นลำตัวที่โผล่พ้นออกมา สัญชาตญาณก็ร้องบอกให้วิ่งทันที แต่ ถึงจะบอกว่าต้องหนี แต่จะหนีไปไหน ในสถานที่ที่ถูกขังไว้อย่างนี้ ไม่มีที่ให้หนี มีเพียงต้องสู้เท่านั้น

“อะ อ๊ากกก” เสียงร้องของคนและเลือดที่พุ่งกระฉูด หมาป่าตัวแรกกระโจนเพียงครั้งเดียวก็ถึงตัวคน มันกัดกระซากคอเด็กโชคร้ายคนหนึ่งขาดออกจากกัน ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงงันอ้าปากค้าง แม้ผิงจะตกใจเช่นกัน แต่เธอก็รีบฉุดอาหมิงให้วิ่งออกมาจากรัศมีของหมาป่า เวลาไม่ถึงเค่อ หมาป่าเพียงตัวเดียวก็คร่าชีวิตเด็กไปถึงสิบชีวิต

“ไม่ ไม่ ข้าไม่เอา ไม่เอา แม่!!!” เสียงร้อง เรียกโอดครวญดังไปทั่วกรง ผิงไม่สนใจไม่หันกลับไปดู ในตอนนี้ หนีได้ก็จะหนีไปก่อน ถ้าไม่มีที่หนีค่อยสู้

“สิ่งศักดิ์สิทธ์นี่ก็เป็น โชคชะตาของฉันเหรอ!”