CHAPTER 2 ชีวิตของพิงค์มิรา
เสียงแฟลชจากกล้องนับสิบตัวดังขึ้นแทบจะพร้อมกันในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของนานา ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับแนวหน้าของวงการ พิงค์มิราปรากฏตัวกลางพรมแดงในชุดเดรสสีดำสนิททรงคัตเอาต์ที่เผยเรือนร่างงามระหงด้วยความมั่นใจ เธอเดินผ่านนักข่าวและสายตานับร้อยที่จ้องมองมาอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ใช่เพราะเธอไม่รู้ แต่เพราะเธอเลือกจะไม่สนใจ
แต่รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเธอไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเองแบบพิงค์มิรา
“ยัยเกรซเป็นนางแบบหรือเป็นตัวร้ายในซีรีส์กันแน่?”
“ข่าวว่าแย่งแฟนรุ่นพี่อีกแล้วเหรอ?”
“พราวฟ้าน่ะไม่พอใจแน่ๆ สนิทกับนานาขนาดนั้น”
เสียงซุบซิบเหล่านั้นลอยมากระทบโสตประสาทแต่พิงค์มิราเพียงเชิดหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้กล้อง เธอรู้ดีว่าในวงการแฟชั่น ไม่มีใครยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดได้โดยไม่โดนอะไรเลยบ้าง
“เกรซอย่าไปสนใจพวกปากนกปากกาเลย” นานาสงสารเพื่อน
“เรื่องปกติของวงการไม่มีข่าวเขาจะขายอะไร”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า” นานาลากเพื่อนไปห้องแต่งตัวแต่ในระหว่างนั้นกลับได้ยิน นางแบบคนอื่นๆ พูดถึงพิงค์มิราแบบเสียๆ หายๆ
“เห็นยัยเกรซนางร้ายเดินพรมแดงเมื่อกี้ยัง?”
“ยัยนั่นน่ะเหรอ? เดรสสวยก็ดีหรอก แต่ฉันสงสัยว่ามันได้มายังไง”
“คงไม่ต้องสงสัยหรอกมั้ง เธอมีวิธีของเธออยู่นี่ขยิบตาก็ได้งานแล้ว” นางแบบสาวคนหนึ่งพูดพลางทาแป้งบนหน้าด้วยท่าทางเบื่อหน่าย อีกคนหัวเราะร่วนแล้วเสริมทันควัน
“ก็ไม่แปลกนี่คนอย่างเกรซ ถ้าไม่ใช้เสน่ห์ก็อยู่ไม่รอดหรอก ใครเขาจะเอานางแบบมีข่าวฉาวเป็นข่าวแทบทุกเดือนล่ะ”
“เรื่องล่าสุดก็ยังไม่จบนะว่าแย่งแฟนผู้จัดคนหนึ่งจนภรรยาเขาแทบจะฆ่าตัวตาย”
เสียงซุบซิบเหมือนยาพิษล่องหน ที่ไม่ว่าใครได้ยินก็อดจะหวาดระแวงไม่ได้ และในค่ำคืนนี้หญิงสาวที่โดนพาดพิงยังคงยืนโดดเด่นอยู่กลางงาน ราวกับไม่มีสิ่งใดแตะต้องหัวใจของเธอได้
“พราวระวังผู้หญิงคนนั้นไว้ให้ดีล่ะ ฉันเห็นคุณศรัญมองเธอไม่วางตาเลยนะ”
“คนแบบนั้นแย่งผู้ชายคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
พราวฟ้าเงยหน้าขึ้นจากกระจกเบื้องหน้า สีหน้าเรียบเฉยแต่ในดวงตาวาววับนั้น แฝงไว้ด้วยความไม่ไว้วางใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
“อย่าไปพูดถึงเกรซแบบนั้นเลยบางทีอาจจะไม่ใช่ความจริง” แต่ลึกๆ แล้วเธอเองก็รู้ดีว่า พิงค์มิรานั้นชอบศรัญเหมือนกัน แต่จะให้ลุกมาตบตีกันแย่งผู้ชายนางเอกแบบเธอไม่ทำ เพราะภาพพจน์คือน่ารักน่าสงสารแต่ความจริงเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
พิงค์มิรายืนฟังจนจบประโยคพราวฟ้านางเอกเบอร์หนึ่งของช่อง น่ารักเรียบร้อยอ่อนหวานเป็นนางเอกทั้งในจอและนอกจอ ใครเห็นก็ต้องหลงรักรวมถึงพระเอกอย่างศรัญ
“มีปากก็เก็บไว้กินข้าวดีน่ะ หรือถ้าว่างมากก็ไปหาอะไรทำดีกว่า จะได้ดังแบบไม่ต้องใช้เต้าไต่” เธอรู้ประวัติของทักคนเพราะเป็นคนสร้างพวกเขามาเองกับมือ
“อย่าทำเป็นไม่รู้เลยเกรซทุกคนเขาก็พูดกันทั้งนั้น ว่าเธอมางานนี้เพราะหวังมากกว่ารันเวย์”
“อ้อ อย่างเช่นแย่งผู้ชาย?” พิงค์มิราเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มมุมปากแบบไม่แคร์
“แปลว่าเธอก็ได้ยิน?” พราวฟ้าถามกลับทันควัน
“ฉันได้ยินเรื่องไร้สาระทุกวัน แต่เรื่องไร้สาระที่เธอเลือกจะเชื่อ ก็คงสะท้อนอะไรบางอย่างในตัวเธอเหมือนกันนะ” พิงค์มิราว่าเรียบๆ
คำพูดนั้นทำให้พราวฟ้าลุกพรวดขึ้น สีหน้าเธอไม่เหลือความสุภาพสง่างามแบบนางแบบตัวแม่อีกต่อไป มีเพียงแววตาเดือดดาล และน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
“ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงรังเกียจเธอ เธอมันปลอมทำตัวเงียบๆ เหมือนสูงส่ง แต่ข้างในก็แค่ผู้หญิงที่เอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้อยู่ในวงการ!”
พิงค์มิราสบตาเธอแน่วแน่ ไม่มีความกลัว ไม่มีแม้แต่การถอยหลัง แต่อึ้งมากนี่คือนางเอกของเรื่องทำไมนิสัยถึงไม่เหมือนกับที่เธอเขียนไว้
“แล้วเธอคิดจะทำอะไรเหรอ มางานนี้ก็ได้ยินข่าวว่าหมดเงินไปเยอะถึงจะได้มา ส่วนฉันเป็นเพื่อนรักกับนานาไม่ต้องขอก็มาได้”
“พี่ศรัญ!” นานตกใจที่เห็นพี่ชายโผล่มาตอนนี้ เพราะรู้ว่าพี่ชายไม่ชอบพิงค์มิราแค่ไหน
“ไม่รู้จักห้ามกันเลยนะ”
พิงค์มิรายังยืนอยู่กับที่ ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่นของคำพูดที่เพิ่งแลกเปลี่ยนกัน เธอกำลังจะหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวมเมื่อเสียงประตูเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ศรัญยืนอยู่ตรงหน้าประตูแววตาเขานิ่งขรึม ใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่สายตากลับไม่ละไปจากพิงค์มิราแม้แต่วินาทีเดียว
พราวฟ้าเห็นเขารีบเปลี่ยนท่าทีแทบจะทันที ดวงตาที่เคยลุกวาวด้วยความขุ่นเคืองกลับเปลี่ยนเป็นออดอ้อน น้ำเสียงที่เย่อหยิ่งเมื่อครู่ หายไปแทบไม่หลงเหลือ
“คุณศรัญพราวกำลังถูกเกรซว่าแรงมากเลย เธอพูดแบบไม่ให้เกียรติเลยพราวด้วยซ้ำ” พราวฟ้าเดินเข้าไปหาเขามือแตะเบาๆ ที่แขนเขา
พิงค์มิราได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างหมดศรัทธา พร้อมกับสับสนว่าทำไมเส้นเรื่องถึงไม่เหมือนเดิม
เธอเตรียมใจแล้ว ว่าจะโดนด่าอีกครั้งว่าเขาก็คงไม่ต่างจากคนอื่น ที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากคนที่ดูดีกว่าเสมอ
“ผมได้ยินหมดแล้วตั้งแต่ก่อนจะเข้ามา”
ทั้งห้องเงียบกริบทันทีพราวฟ้าชะงัก สีหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรนะ?” พราวฟ้าหน้าซีดเผือด ศรัญเหลือบมองเธอ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“พราวฟ้าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อนไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดนั้นเหมือนตบหน้าพราวฟ้ากลางห้อง เธอเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าศรัญจะเข้าข้างพิงค์มิรา
“นี่คุณเชื่อเธอเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่เชื่อแต่ผมได้ยินเองกับหู” ศรัญพูดนิ่งๆ
“พราวขอโทษนะเกรซ พราวไม่ได้ตั้งใจ” เธอรีบสารภาพผิดกลัวว่าศรัญจะเกลียดเธอ
“ช่างมันเถอะเรื่องเล็กน้อยฉันได้ยินจนชินแล้ว” เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ไม่ใช่เพราะขำแต่เพราะไม่เชื่อ
“แปลกดีนะคะอยู่ๆ คนที่เคยด่าฉันสารพัดกลับลุกขึ้นมาปกป้องซะเอง” เสียงเธอเย็นเฉียบ
“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่เห็น” ศรัญเลิกคิ้วนิดหน่อย
“อ้อเหรอคะ?” พิงค์มิราวางกระเป๋าลงช้าๆ ก่อนจะหันกลับมาสบตาเขาตรงๆ
“แปลว่าฉันต้องซาบซึ้งใจใช่ไหม ที่คุณศรัญผู้เคยเรียกฉันว่าตัวอันตรายของวงการกับปากอยู่ๆ ก็ยอมพูดแทนฉันขึ้นมา?”
ศรัญไม่ตอบทันทีเขาแค่มองเธอในแบบที่ไม่เคยมองมาก่อนเงียบ แต่จับจ้อง
พิงค์มิรายิ้มมุมปาก แล้วเสริมต่อ
“ไม่ต้องห่วงค่ะฉันไม่ต้องการให้คุณช่วยหรอก” เธอเดินผ่านหน้าเขาไปช้าๆ ทิ้งกลิ่นน้ำหอมจางๆ ไว้ในอากาศ แล้วหยุดยืนข้างเขา แค่หันหน้ามาเล็กน้อย
แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งศรัญไว้กับความเงียบที่ยังอวลไปด้วยแรงปะทะของบทสนทนาเมื่อครู่
พิงค์มิราเดินออกจากห้องแต่งตัว ใบหน้ายังไม่แสดงอารมณ์เท่าไร แม้ข้างในจะรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
“เธอนี่มันใจเย็นจริงๆ นะว่าแต่ทำไมถึงไม่เรียกพี่ศรัญละ” เสียงนานาดังขึ้นอย่างหงุดหงิดจากข้างๆ แต่แปลกใจทำสิ่งที่เพื่อนเรียกพี่ชายตัวเอง
พิงค์มิราหันไปก็เห็นนานาเพื่อนรักของเธอ และน้องสาวสุดรักของศรัญ เดินเข้ามาควงแขนอย่างเอาเรื่อง
“ใจเย็นตรงไหนฉันเบื่อจะคุยกับเขา” พิงค์มิราถามยิ้มๆ
“ก็เมื่อกี้น่ะสิ พี่ชายฉันอยู่ตรงนั้นทั้งคนยังต้องมาทนฟังผู้หญิงอย่างพราวฟ้าแสดงละครน้ำเน่าต่อหน้า” นานาถอนหายใจเฮือกไม่ถูกชะตากับพราวฟ้า ไม่รู้ว่าพี่ชายหลงรักไปได้อย่างไร
“ไม่ทันได้คิดจะตอบโต้เลยด้วยซ้ำ คิดไม่ทันว่าศรัญจะโผล่มา” พิงค์มิราหัวเราะเบาๆ
“ฉันก็คิดไม่ทันเหมือนกันว่าเขาจะออกตัวข้างเธอแบบนั้น”
“นั่นสิแต่ก็อย่าเพิ่งดีใจไปเขาอาจแค่หมั่นไส้พราวฟ้า ไม่ได้แปลว่าคิดอะไรกับฉันหรอก” พิงค์มิราถอนหายใจ
“เอาจริงนะเกรซฉันไม่เคยชอบพราวฟ้าเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วฉันแค่อยากได้เธอมาเป็นพี่สะใภ้แทน”
“บ้าเหรอ! ฉันกับพี่ชายเธอน่ะเหมือนคนละขั้ว เขาเกลียดฉันแทบตาย” ขนาดตอนจบเขายังยิงพิงค์มิราแบบไม่ต้องคิดไตร่ตรอง
“เพราะฉันเห็นสายตาเขาเวลามองเธอเมื่อกี้ไม่เหมือนเดิมเลยนะ”
พิงค์มิราเบือนหน้าทำเป็นไม่สนใจทั้งที่หัวใจเต้นแปลกๆ
“พอเลยฉันไม่อยากคิดอะไรแล้ว เดี๋ยวเสียเวลา”
“งั้นไปดื่มมั้ย?” นานาชวนทันควัน
“ฉันรู้จักบาร์เปิดใหม่แถวxx วิวสวยดนตรีดี และที่สำคัญไม่มีพราวฟ้าไม่มีพี่ศรัญแน่นอน”
“แค่อย่างหลังสุดก็น่าไปแล้ว”
“ดีเพราะฉันจะเปิดไวน์ให้หนักหน่อย เผื่อเพื่อนฉันจะได้หยุดคิดเรื่องคนปากแข็งอย่างพี่ชายฉันบ้าง!”
ทั้งสองเดินหัวเราะออกไปด้วยกัน เสียงสนทนาลดหายไปท่ามกลางแสงไฟสีส้มอุ่นของช่วงเย็น
ศรัญได้รับรายงานว่าทั้งสองไม่ยอมกลับบ้าน แต่กลับไปนั่งดื่มแทน
เขาจึงสั่งให้ลูกน้องคอยตามดูทั้งสองสาว คนที่เขาห่วงคือนานาไม่ใช่พิงค์มิรา ผู้หญิงกร้านโลกแบบนั้นคงไม่รู้จักกลัวอะไร
“เธอนี่มัน ฉันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าแล้วพิงค์มิรา” ตอนนี้เขาได้หุ้นทั้งหมอของพิงค์มิรามาครอบครอง ถ้าเขาเป็นคนเอ่ยปากไล่หญิงสาวจะกลายเป็นบุคคลไม่เหลืออะไรเลยทันที แต่หากแม่เขารู้คงไม่ยอม
“ชีวิตเธออยู่ในกำมือของฉันเกรซ”
เขาเกลียดพิงค์มิราเพราะข่าวฉาวโฉ่แต่แม่ของเขาอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ ผู้หญิงร้ายๆ แบบนั้นสมควรอยู่คนเดียวไปจนตาย ไหนจะภาพที่ชอบแนบชิดกับผู้ชายมากหน้าหลายตา ถ้าพ่อแม่เธอยังอยู่คงอกแตกตายไปนานแล้ว
