อธิษฐานรักข้ามมิติ

60.0K · จบแล้ว
หลินซี
32
บท
30.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ซือฉางอี้ แม่ทัพหนุ่มผู้เย็นชาและเหี้ยมโหด ผู้คนขนานนามว่าเขาคือพญายมหน้าน้ำแข็ง ทว่ากลับตกม้าตายเพราะภรรยาตัวน้อย จากที่เคยปากร้ายก็กลายมาเป็นคลั่งรัก ทว่า! นางก็มีความลับหนึ่งซ่อนอยู่เช่นกัน

โรแมนติกรักหวานๆนิยายจีนโบราณนิยายแฟนตาซีจีนโบราณท่านอ๋องข้ามมิติ

1. ราชโองการ มิเป็นดั่งหวัง

ณ ค่ายเลี่ยงรุ่ย

“ท่านแม่ทัพหากมิเดินทางวันนี้จะไปเข้าพิธีมิทันนะขอรับ” จางเฉิงเอ่ยกับผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้ยังคงฝึกดาบอยู่กับทหารในหน่วยของเขา

นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวชำเลืองมองคนของตนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงง้างดาบปะทะกับคู่ต่อสู้เช่นเดิม ทำราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา

กระทั่งสายจนเกือบเที่ยงเขาจึงได้วางดาบลง ร่างสูงซึ่งมีเหงื่อโทรมกายจ้องมองคนสนิทก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของรองแม่ทัพผู้นี้

“ยืนอยู่เฉยๆ ไยเจ้าถึงเหงื่อออกมากนัก” ซือฉางอี้เปล่งเสียงเย็น ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อไคลบนหน้า

“ท่านแม่ทัพยามนี้หากมิรีบเดินทางคงไปมิทันฤกษ์เป็นแน่ขอรับ ออกเดินทางเถอะ ข้าน้อยขอร้อง”

“จางเฉิง ท่านแม่ทัพยังมิร้อนใจเลย แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้รีบนัก” คนสนิทอีกหนึ่งของซือฉางอี้เอ่ยขึ้น พร้อมกับขำในท่าทีของสหายที่ดูเหมือนจะตื่นกลัวเป็นอย่างมาก

ซือฉางอี้นั่งมองคนของตนก่อนจะถอนหายใจออกมา “ไปเตรียมม้า จะได้ออกเดินทาง” เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบหกผู้นี้ หน้าตาคมคายรูปงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเงียบขรึมชอบเก็บตัว เขามักจะขลุกอยู่ที่นี่เสียมากกว่าจะหาความสำราญในเมือง

ว่ากันว่าซือฉางอี้ผู้นี้เหี้ยมโหดไร้ปรานี หากกระทำผิดก็มีแต่สังหารอย่างเดียว จนบางครารังสีอำมหิตในตัวก็แผ่ออกมาจนผู้คนหวาดหวั่น แม้เขาจะมีรูปโฉมสง่างามราวเทพบุตรก็เถอะ แต่ซือฉางอี้ผู้นี้ก็ยังดูน่ากลัวจนมิมีสตรีใดกล้าเข้าใกล้ จึงได้อยู่ครองตัวเป็นโสดอยู่เช่นนี้ แม้ว่าฐานะที่แท้จริงเขาจะเป็นถึงท่านอ๋องได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นท่านน้าของรัชทายาท ทว่าสุดท้ายก็มิอาจนำพาให้ซือฉางอี้เป็นที่ต้องการของสตรีในแคว้นนี้แม้แต่คนเดียว

เพราะการใช้ชีวิตของแม่ทัพผู้นี้ มักอยู่กับการฆ่าฟันแม้จะมิมีศึก เขาก็ยังประจำในหน่วยพยัคฆ์ทมิฬ ซึ่งเป็นฝ่ายสืบสวนตรวจสอบคดีซึ่งทุกคนต่างก็เกรงกลัว เพราะมีอำนาจมาก เรียกได้ว่าฮ่องเต้องค์เก่าให้สิทธิ์เขาเต็มที่

แต่อีกสองวันข้างหน้า ซือฉางอี้ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรสาวของท่านโหว นามว่ามู่อันอัน ซึ่งเป็นบุตรสาวคนรองของตระกูลมู่ ว่ากันว่านางตายแล้วฟื้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากนั้นก็มักจะเก็บตัวเงียบ มิหนำซ้ำนางยังมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปี ยังมิถึงวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ และที่สำคัญนางถูกจับให้แต่งแทนบุตรสาวคนโตของตระกูล เพราะเหม่ยอิงผู้เป็นพี่สาวนั้นมิยอม

“ใครมันจะแต่งกับคนโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนั้นกัน วันดีคืนดีเขาตวัดดาบบั่นคอลูกจะทำเช่นไร” นั่นคือเสียงของพี่สาวคนโตเอ่ยเมื่อสองวันก่อน หลังจากนั้นคนที่ต้องรับกรรมต่อก็คือมู่อันอัน ผู้ที่ยามนี้มีนิสัยเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนคงโวยวายไปแล้ว

“คุณหนู มิเป็นไรนะเจ้าคะ พี่จะตามไปทุกหนแห่ง มิทอดทิ้งคุณหนูเด็ดขาด” ชิงลี่สาวใช้คนเดียวที่ดีกับนาง และเป็นดั่งญาติที่เหลืออยู่ของมู่อันอัน เพราะคนในจวนนี้แต่ไหนแต่ไรก็มองนางมิต่างจากสาวใช้ในเรือน

เพราะมู่อันอันเป็นเพียงบุตรฮูหยินคนรองที่ได้ตายจากไปแล้ว ยามนี้นางจึงมิเหลือที่พึ่งใด เพราะบิดาก็เอาแต่นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับหากตนได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์ แม้ยามนี้ซือฉางอี้จะเป็นรองอ๋องเหยียนก็เถอะ แลกกับบุตรสาวที่มิสำคัญแต่ได้ฐานอำนาจมาเพิ่มก็ถือว่าคุ้ม

ยามนี้มู่อันอันนั่งเอาแขนเกยกับขอบหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยถามพี่เลี้ยงของตน โดยที่สายตายังคงมองทอดออกไปเบื้องหน้า “พี่ชิงลี่ แม่ทัพซือที่ว่านี้เขาโหดมากหรือ”

“ได้ยินมาเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่พี่เองก็มิรู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะน้อยคนนักที่จะได้พบหน้าค่าตาของท่านแม่ทัพ เขาอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุสิบสี่ มิค่อยกลับเมืองหลวง” สิ้นคำของตนชิงลี่ก็ยกมือขึ้นลูบแขนไปมา

“เป็นอะไรพี่ชิงลี่” เด็กสาวหันมาถามอาการที่พี่เลี้ยงเป็นทันที เพราะดูเหมือนนางจะตื่นกลัวบางสิ่ง

“พอนึกถึงท่านแม่ทัพแล้วขนมันก็ลุกขึ้นมาเจ้าค่ะ เขาออกรบตั้งแต่อายุยังน้อย คงสังหารคนมานับมิถ้วน นี่ก็” มือขาวยกขึ้นทำท่านับนิ้วไปมา “สิบสองปีแล้วนะเจ้าคะที่ท่านแม่ทัพทำศึก ต่อให้มีบางช่วงที่กลับมา ก็ยังทำภารกิจของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬ จัดการกับพวกคนร้ายอยู่ดี คุณหนูพี่ว่าเราหนีกันดีกว่านะเจ้าคะ หากแต่งไปแล้ววันดีคืนดีเกิดเขาง้างดาบใส่เช่นที่คุณหนูใหญ่เอ่ยจะทำเยี่ยงไร”

มู่อันอันมองพี่เลี้ยงของตนตาโตเพียงครู่ ก่อนจะขันออกมาน่าตี “ขำอะไรเจ้าคะ เรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ”

“เรามิได้ทำสิ่งใดผิดต่อเขาไยต้องกลัวด้วยล่ะ ใครจะมาง้างดาบบั่นคอผู้อื่นได้ง่ายๆ กัน” ว่าแล้วก็หันออกไปทางหน้าต่างตามเดิม แม้จะเอ่ยออกไปเช่นนั้นก็ใช่ว่าคนตัวเล็กนี้จะมิคิดมาก แต่จะให้ทำสิ่งใดได้ในเมื่อมันคือราชโองการของเจ้าเหนือหัวที่มิมีใครกล้าขัด

“พี่สงสารคุณหนูนัก แผ่นดินนี้มีบุรุษมากมาย ไยคุณหนูของพี่ถึงโชคร้ายนัก ได้แต่งกับคนเหี้ยมโหดเช่นนั้น”

มู่อันอันหันกลับมาหาพี่เลี้ยงอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แล้วส่ายหัวเบาๆ ให้กับความกังวลของนาง ซึ่งดูจะมีมากกว่าคนที่ต้องแต่งงานเสียอีก และชิงลี่ก็เป็นอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งถึงวันมงคล

“คุณหนูคนของท่านแม่ทัพมาแล้วเจ้าค่ะ” ชิงลี่เดินเข้ามาพยุงผู้เป็นนาย เมื่อมองไปโดยรอบก็อดเศร้ามิได้ เพราะนางเองก็ต้องตามคุณหนูไปอยู่ที่จวนใหม่เช่นกัน ผิดกับคนที่กำลังถูกพาออกไปในยามนี้ เพราะนางมิได้อาลัยอาวรณ์ที่นี่เลย แต่ก็ใช่ว่าจะดีใจที่ได้ไปอยู่ในจวนใหม่ เพราะมิรู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

“ดูแลตัวเองนะน้องหญิง” เสียงหยันของพี่สาวต่างมารดาเอ่ยขึ้น มู่อันอันได้แต่คว่ำปากมองบนอยู่ภายใต้ผ้าคลุม สาเหตุที่อยากออกไปจากที่นี่ก็เพราะเจ้าของเสียงนี้แหละ เกรงว่าสักวันตนจะทำเรื่องมิควรกับอีกฝ่ายเข้า

หากบิดามิลำเอียงรักบุตรเท่ากันนางก็มิต้องแต่งออกไปเร็วเช่นนี้ เพียงเพราะเห็นว่ามู่อันอันซื่อบื้อ หาได้มีความฉลาดเฉลียวเช่นพี่สาว ที่เขาหมายจะส่งนางไปเป็นสนมหรือชายารัชทายาท เผื่อวันข้างหน้าอาจได้เป็นฮองเฮา ท่านโหวจึงตัดสินใจยกมู่อันอันให้ซือฉางอี้ผู้โหดเหี้ยมแทน ซึ่งอย่างน้อยก็ยังได้เพิ่มฐานอำนาจตน

พอมาถึงประตูก็ล่ำลากับคนในครอบครัว เดาได้ว่าคงยิ้มหน้าบานกันเป็นแน่ เพราะได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์เช่นนี้ สกุลมู่คงฉลองกันตลอดทั้งวันทั้งคืนมิพัก ขบวนเจ้าสาวเดินทางมาจนถึงหน้าประตูแล้ว เสียงของชาวเมืองต่างก็ดังขึ้นเรื่อยๆ และเป็นไปในทางเดียวกัน นั่นคือเจ้าบ่าวสง่างามเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเสียงแทรกแซงถึงรังสีอำมหิตของเขาอยู่บ้างประปราย ก่อนจะเงียบลงเมื่อซือฉางอี้กวาดตามอง ทำเอาคนที่มายืนออกันที่หน้าจวนก้มหน้าทันที

“ข้าจะพาเข้าจวน” เสียงเย็นเปล่งออกมา ก่อนจะแบมือเพื่อให้อีกฝ่ายวางทับลงมา

เจ้าสาวตัวน้อยซึ่งมีความสูงแค่อกเห็นเช่นนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย “โอ้โห..นี่มือหรือว่ากระดาษทรายเนี่ย ทำไมหยาบขนาดนี้ นี่สินะนักรบจับแต่ดาบ มือถึงได้หยาบกระด้างนัก” คนตัวเล็กคิดในใจ ขณะที่เดินอยู่ก็เหลือบมองเท้าของคนที่ก้าวอยู่ข้างๆ ไปด้วยจนถึงที่หมาย

“บ่าวสาวเตรียมตัวทำพิธี” แม่สื่อเอ่ยบอกก่อนจะจับทั้งคู่หันออกมาทางหน้าประตู

“1. คำนับฟ้าดิน” มู่อันอันก้มคำนับตามที่แม่สื่อบอก มิต่างจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“2. คำนับบิดามารดา” ครานี้ทั้งคู่หันกลับมายังป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษซือฉางอี้ โค้งลงอย่างนอบน้อม

“3. สามีภรรยาคำนับกัน” พอมาถึงลำดับที่สามมู่อันอันยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ทำให้แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก

“คุณหนู คำนับสิเจ้าคะ” แม่สื่อเอ่ยบอกอีกครั้ง ครานี้คนตัวเล็กจึงก้มโค้งคำนับเช่นที่อีกฝ่ายทำ เมื่อเสร็จตรงนี้แล้วมู่อันอันก็ถูกพาไปรอยังห้องหอ

“คุณหนูกลัวหรือเปล่าเจ้าคะ ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะหน้าดุมิยิ้ม อีกทั้งรังสีอำมหิตแผ่ซ่านรอบตัว แต่ก็ถือว่าเป็นบุรุษรูปงามมากนะเจ้าคะ มิแน่สิ่งที่เราได้ยินมาอาจเป็นแค่ข่าวลือก็ได้” ชิงลี่เอ่ยปลอบผู้เป็นนายทันที เมื่อเข้ามาในห้องหอแล้ว ทำเอาใบหน้าใต้ผ้าคลุมถึงกับยิ้มขำ

“ตกลงพี่ปลอบข้าหรือขู่กันแน่ ไยฟังดูแล้วถึงได้แปลกเช่นนี้” เสียงใสของเจ้าสาวเอ่ยขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงในเวลาต่อมา เพราะเจ้าบ่าวเดินเข้ามาแล้วนั่นเอง

“ออกไป!..ข้าจะนอน” สิ้นเสียงทุกคนก็หน้าตื่น

“คุณหนูพี่ไปนะเจ้าคะ” ชิงลี่ยังมิวายเอ่ยขึ้น แม้จะกลัวสายตาของท่านแม่ทัพมากก็เถอะ