บทที่ 7 ห้องนอน
เสียงเครื่องยนต์รถสปอร์ตหรู สีดำสนิท คำรามต่ำ ๆ ล้อแม็กเงาวับแหวกผ่านถนนเปียกลื่นที่สะท้อนแสงไฟเมืองหลวงราวแผ่นกระจก หยาดฝนโปรยปรายเบา ๆ เหมือนละอองหมอก ทุกเสียงของถนนให้เงียบงัน ภายในรถกลับอบอุ่น เงียบสงบ มีเพียงเสียงแอร์อ่อน ๆ และกลิ่นหนังแท้ที่แฝงด้วยน้ำหอมกลิ่นสไตล์อังกฤษหรูหรา
เขาเหลือบมองหญิงสาวข้างกายที่พิงพนักเบาะอย่างอ่อนล้า เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลายงุ้มธรรมชาติของเธอ กระเพื่อมตามจังหวะลมหายใจ ใบหน้าหวานสะอาดสะท้อนแสงไฟนีออนจากร้านค้าและป้ายโฆษณาที่ทอดผ่านกระจก ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนเผยอเพียงน้อย ราวกับจะพึมพำอะไรแต่ไม่ทันได้เอ่ย
“คุณบอกว่าอยู่แถวเพลินจิต…คอนโดคุณอยู่ตรงไหนครับ?” เสียงเขาเรียบนิ่งแต่แฝงแววเอ็นดู แต่กลับไม่มีคำตอบจากเธอ เขาชะลอรถเข้าข้างทาง ใต้ร่มไม้ริมถนน เสียงหยาดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา เปิดไฟในรถสีนวลอ่อน เขาเอนตัวเข้าไปใกล้ สายตามองเธออย่างละเอียด
“คุณน้ำผึ้ง? ถึงเพลินจิตแล้วครับ บอกผมหน่อยว่าต้องเลี้ยวตรงไหน…” เขาถามเธอ เธอกลับยังคงนิ่ง ขนตายาวงอนกระพือแผ่วเบาเหมือนจะรู้สึกตัว แต่แล้วศีรษะกลับเอนพิงไปอีกทาง ริมฝีปากยังคงเผยออย่างเผลอตัว เขามองอยู่นิ่งๆ ดวงตาคมเข้มที่เคยเย็นชาต่อทุกอย่างในโลกธุรกิจ บัดนี้กลับทอแววบางอย่าง…ไม่ใช่ความหลงใหล ไม่ใช่ความเวทนา แต่เป็นความรู้สึกที่ยอมให้ตัวเองใส่ใจใครสักคนโดยไม่รู้ตัว
“งั้นก็…ไว้คุณตื่นค่อยด่าผมก็แล้วกัน” เขาส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
นิ้วเรียวยาวพิมพ์ข้อความส่งถึง ทิน พ่อบ้าน
“เตรียมห้องนอนของฉันให้พร้อม เปิดเครื่องฟอกอากาศ เปิดไฟโทนอุ่นกับเพลงคลาสสิกเบาๆ ด้วย”
เขากดวางสายไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ เขาใช้มือหนาเลื่อนเข้าเกียร์ รถหรูคันนั้นเคลื่อนตัวออกจากถนนเพลินจิต ทิ้งแสงไฟตึกสูงระยิบระยับไว้ข้างหลัง หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าทางด่วน มุ่งหน้าออกนอกเมือง
ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากแสงนีออนของเมืองใหญ่ กลายเป็นเพียงเงาสะท้อนของต้นไม้ใหญ่ริมถนน ท้องฟ้าคืนนี้ครึ้มเมฆ เสียงฝนยังคงตกพรำๆ ถนนคดเคี้ยวท่ามกลางย่านชานเมืองที่เงียบสงบ ไฟหน้ารถตัดความมืดออกเป็นทางสายหนึ่ง… ทางที่เขากำลังพาเธอไปโดยไม่มีใครรู้ปลายทางนั้นคืออะไร
เมื่อรถสปอร์ตสีดำเลี้ยวผ่านประตูเหล็กดัดขนาดใหญ่ที่มีตราอัครเดชานนท์สลักอยู่กลางซุ้มโค้ง
ทางลาดยาวทอดผ่านสวนสนอายุหลายสิบปีที่ปลูกเรียงรายสองข้างทาง เสียงยางบดไปบนกรวดขาวสะท้อนแสงไฟถนนเป็นประกายราวดาวตกในราตรี และที่ปลายสุดของถนนโค้ง…
คฤหาสน์สามชั้น สีเทาเข้มขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ดินกว่าสิบไร่ ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิกดั้งเดิม ผนังหินสลักลวดลายวิจิตร หลังคาสูงชันประดับด้วยปลายยอดแหลม
หน้าต่างทรงโค้งประดับกระจกสี (stained glass) ทุกบาน เมื่อแสงไฟจากภายในส่องออกมา ทำให้เกิดเงาสีเรืองรองเป็นลายดอกลิลลี่กับกุหลาบสลับกัน ราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่บ้าน…แต่เป็นปราสาทของตระกูลเก่าแก่
ซุ้มประตูทางเข้า เป็นหินอ่อนแกะลวดลายเทวดากับปิศาจที่ยืนเฝ้าอยู่ฝั่งละข้าง ประตูไม้โอ๊กแกะลายกุญแจโบราณหนักแน่นและสูงเกือบสี่เมตร เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็น ห้องโถงใหญ่เพดานสูง ที่มีบันไดหินอ่อนสองข้างไต่ขึ้นสู่ชั้นบนราวกับปีกนกกาง พื้นหินแกรนิตสีดำวาววับ บนเพดานสูงมีแชนเดอเลียร์ระย้าแก้วคริสตัลเป่าแบบอิตาเลียนห้อยอยู่ ทุกอย่างเงียบ…แต่ไม่ว่างเปล่า มันเหมือนมีอะไรบางอย่างเฝ้ามองอยู่
ชั้นล่าง ประกอบด้วยห้องรับรอง 3 ห้อง ห้องอาหาร ห้องสมุด และคอร์ตสวนในอาคาร ห้องรับแขกหลักประดับด้วยโซฟาหนังแท้สีเลือดหมู เตาผิงหินสลักลายสิงห์ และกระจกบานใหญ่ที่สูงจรดฝ้า ไฟในห้องไม่สว่าง แต่อบอุ่นอย่างพิถีพิถัน แสงไฟวอร์มไวท์สะท้อนลงบนโถงเหมือนเรือนลับของใครบางคน
ชั้นสองและสาม เป็นโซนห้องพักและห้องทำงานส่วนตัวของภัทรพล ห้องนอนแต่ละห้องมีระเบียงทรงโค้งหันออกสู่ทิวสนหรือสระน้ำตรงสวนหลังบ้าน มีห้องชั้นลอยติดกระจกสีที่มองเห็นพระจันทร์ชัดเจนในคืนฟ้าใสเป็นห้องโปรดของเจ้าของบ้าน ส่วนชั้นสามคือพื้นที่ส่วนตัวอย่างแท้จริงของเขา ไม่มีใครขึ้นไปได้นอกจากเขาและคนที่เขาอนุญาต
พื้นที่รอบคฤหาสน์ แบ่งเป็นโซนสวนสน สวนกุหลาบอังกฤษ สระน้ำทรงรี และเรือนกระจกปลูกพืชหายาก มีโรงม้าเก่าทางด้านหลังที่ปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นเรือนพักรับรอง และบ้านพักของแม่บ้านเก่าแก่ประจำตระกูล
ค่ำกลางคืนที่นี่เงียบกว่าปกติ ลมพัดต้นสนดังครืนเบา ๆ ไฟสนามแสงอุ่นค่อย ๆ ส่องไล่เงาต้นไม้
มันสวย สงบ และ…น่ากลัวในแบบที่คนรักความลึกลับจะหลงใหล
