บท
ตั้งค่า

เส้นทางลับของพ่อเธอ

ค่ำคืนในป่าเงียบสงัดมีเพียงเสียงจักจั่นสลับกับลมพัดยอดไม้ รถกระบะสองคันแล่นมาตามทางดิน ก่อนจะจอดในลานกว้างซึ่งถูกปรับไว้เป็นจุดพักของกลุ่มคนลักลอบ ชายฉกรรจ์หลายคนรีบลงจากรถ เปิดท้ายกระบะแล้วช่วยกันยกลังไม้ขนาดใหญ่ลงมา ทุกอย่างทำกันอย่างรวดเร็วและเงียบที่สุด

“ระวังหน่อย ของพวกนี้ถ้าแตกหายไปชิ้นเดียว นายใหญ่ไม่ปล่อยแน่” เสียงลูกน้องคนหนึ่งเตือน

ไม่นานธีรพงษ์ก็ก้าวลงมาจากรถกระบะอีกคัน เขาแต่งตัวธรรมดาเสื้อเชิ้ตแขนยาวกางเกงขายาวสีเข้ม ไม่ได้ดูต่างอะไรจากนักธุรกิจทั่วไป แต่แววตาคมและท่าทีเด็ดขาดทำให้ลูกน้องทุกคนเกรงใจ

“ตรวจของให้ละเอียด ก่อนส่งต่ออย่าให้พลาดแม้แต่ชิ้นเดียว” เขาสั่งเสียงเรียบ

ชายหนุ่มสองคนรีบใช้ชะแลงเปิดฝาลังไม้ ลังแต่ละใบอัดแน่นด้วยถุงพลาสติกสีใสที่บรรจุเม็ดยาสีสดเรียงชั้นอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนเงียบกริบ รอฟังคำสั่ง

“จัดเรียงให้เรียบร้อย แล้วย้ายไปรถอีกคันทางเหนือ” ธีรพงษ์สั่งพลางชี้เส้นทาง เขาหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นตรวจสอบอีกครั้ง

“เอาของทั้งหมดออกให้ทันคืนนี้ อย่าทำให้ช้ากว่ากำหนด ก่อนที่พวกทหารจะเดินสำรวจเส้นทางนี้ ถ้าเราออกช้าจะมีคนสังเกตเห็น”

ลูกน้องพยักหน้าเข้าใจทันที

ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เสียงลากลังและตะปูปลดฝาไม้ดังเป็นจังหวะเรียบง่าย ท่ามกลางความมืดและต้นไม้สูง ธีรพงษ์กวาดตามองทุกขั้นตอนอย่างรวดเร็ว ก่อนพยักหน้า

“เรียบร้อยดี จัดส่งต่อได้” ลูกน้องรีบปิดฝาลังแล้วยกขึ้นรถอีกคัน เส้นทางนี้พาออกจากป่าไปยังถนนใหญ่ เป็นเส้นทางที่ใช้มานานและมั่นใจว่าปลอดภัย

“พวกทหารยังฝึกอยู่ไม่ไกลจากนี่นะครับนาย ” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา ธีรพงษ์ชะงักเล็กน้อยก่อนหัวเราะสั้น ๆ

“ป่าใหญ่อย่างนี้ เขาจะเดินยังไงก็เรื่องของเขา แค่ทำงานให้สะอาดก็พอ”

บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงปิดฝาลังและเสียงเครื่องยนต์สตาร์ต รถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากพื้นที่ ก่อนกลับธีรพงษ์มองไปทางแนวเขาที่มืดสนิท สายตานั้นนิ่งเฉยราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาเสมอ และในใจยังคิดถึงแผนต่อไปว่าต้องให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่คนในค่ายจะสังเกตได้ เพราะราคาของรอบนี้มหาศาลเหลือเกิน

รถกระบะสองคันเคลื่อนออกจากจุดพักเงียบ ๆ ลังไม้ถูกจัดวางอย่างมั่นคงบนกระบะหลัง พวกเขาเคลื่อนตัวด้วยความระมัดระวัง ไม่ทำเสียงดังแม้แต่น้อย

“เงียบ ๆ กันหน่อย อย่าให้เสียงเครื่องยนต์ดึงความสนใจใครได้” เสียงของหัวหน้ากลุ่มดังเบา ๆ พลางเหลือบมองรอบตัว

ชายหนุ่มสองคนขับรถคันแรกอย่างช้า ๆ ผ่านทางลูกรังที่เต็มไปด้วยโคลนและใบไม้แห้ง ต้นไม้สูงชะลอแสงจันทร์ลงมาน้อยมาก แสงจากไฟหน้ารถส่องไปเพียงไม่กี่เมตรข้างหน้า

“ถ้าเจอใคร เราหลบเข้าข้างทางก่อนนะ” ลูกน้องอีกคนเตือนขณะมือกุมวิทยุสื่อสาร

ธีรพงษ์นั่งในกระบะคันหลังที่ขับตามมา แอบมองเส้นทางที่ทอดยาว เขายังคงนิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาเย็นเฉียบกวาดไปทั่ว ลูกน้องทุกคนรู้ดีว่าคำสั่งของเขาไม่ต้องเอ่ยซ้ำ รถเริ่มเข้าสู่ทางออกจากป่าใบไม้บดบังแสงไฟหน้า แต่ไม่นานเสียงเครื่องยนต์อีกคันดังขึ้นเล็กน้อยจากทางตรงข้าม เสียงล้อบดกับทางดินดังขึ้นเป็นจังหวะชัดเจน

“รถ!” หนึ่งในลูกน้องกระซิบเบา ๆ มือขยับไปที่เบรก

“เราจอดลงข้างทางก่อน เงียบ ๆ ดับเครื่อง รอให้ผ่านไป”

รถกระบะของพวกเขาชะลอและค่อย ๆ เลี้ยวเข้าข้างทาง ล้อจมลงเล็กน้อยในโคลน พุ่มไม้สูงบดบังทั้งคัน พวกเขาดับเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทเหลือเพียงเสียงหายใจและใบไม้ปลิว ผ่านไปไม่กี่วินาทีเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาใกล้ดังชัดขึ้น แสงไฟหน้ารถอีกคันส่องผ่านทางลูกรัง บนรถนั้นคือภูมินทร์และลูกน้องอีกคนหนึ่ง เขากำลังกลับจากโรงพยาบาล พวกเขาไม่ได้สงสัยอะไรเพียงแค่ขับผ่านเส้นทางกลางป่าที่คุ้นเคย เพื่อเข้าหน่วยฝึกภาคสนามเท่านั้น

ภูมินทร์ขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัยอีกข้างวางบนข้างประตู ลูกน้องของเขานั่งข้าง ๆ เหลือบมองเส้นทางบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้บ่นหรือพูดอะไร

“ทางเงียบเกินไปไหมครับ” ลูกน้องถามเสียงเบา

“ก็แค่ทางดินกลางป่า ไม่มีอะไรต้องกังวล” ภูมินทร์ตอบเขาไม่รู้เลยว่ามีรถอื่นซ่อนอยู่ในพุ่มไม้รอให้ผ่านไป

ลูกน้องของธีรพงษ์เงยหน้ามองรถที่กำลังแล่นผ่าน ใจเต้นแรง แต่ก็พยายามสงบใจ มือกำพวงมาลัยในเงามืดแน่น

“อย่าขยับ อย่าให้เสียงดัง” เขากระซิบกับเพื่อนข้าง ๆ

รถของภูมินทร์แล่นผ่านไปพ้นสายตา แสงไฟลับเลือนจากพุ่มไม้ลูกน้องของธีรพงษ์ถอนหายใจเบา ๆ รู้สึกโล่งใจชั่วครู่แต่ยังไม่ปล่อยความระมัดระวัง

“ไปต่อได้” หัวหน้ากลุ่มสั่งเสียงเรียบแต่เข้มข้น รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากพุ่มไม้ กลับเข้าสู่เส้นทางหลักอีกครั้ง

ธีรพงษ์ในกระบะหลังยังคงนั่งนิ่งสายตายังคงจับรอบป่าเหมือนตรวจสอบทุกอย่าง ลูกน้องรับรู้ถึงความเยือกเย็นนั้นรู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

“คืนนี้ทุกอย่างต้องเรียบร้อยก่อนรุ่งสาง” เขาพูดเบา ๆ แกมสั่งการลูกน้องพยักหน้า ทุกคนเข้าใจตรงกันพวกเขาย้ายลังทั้งหมดออกจากป่าโดยไม่ทิ้งร่องรอย และมั่นใจว่าไม่มีความผิดปกติใด ๆ จะหลุดไปถึงสายตาใครได้

หลังจากรถของภูมินทร์หายลับไป ลูกน้องของธีรพงษ์ค่อย ๆ คลายความเกร็ง พวกเขารู้ดีว่าช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นอาจเป็นความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว

“ไปต่อกันเถอะ” หัวหน้ากลุ่มสั่ง รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวต่อ เส้นทางลับที่พวกเขาใช้มานาน ยังรอให้สินค้าทั้งหมดถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย

ธีรพงษ์มองเส้นทางมืด ๆ ด้วยสายตาที่เยือกเย็น เขาไม่เคยเอ่ยหรือแม้แต่ถามหาญาดาในค่ายทหารเลยสักนิด เขาแค่ใช้เธอเป็นเครื่องมือ ทำให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้นโดยไม่ถูกสังเกต เสียงเครื่องยนต์ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงลมพัดและใบไม้สั่นเบา ๆ ราวกับเฝ้าซ่อนความลับอันใหญ่โตเอาไว้

หน่วยฝึกยามเช้าบนลานกว้างที่เต็มไปด้วยเสียงนกและกลิ่นดินชื้นจากหมอกที่ยังไม่จาง ทหารใหม่ทุกนายยืนเรียงแถวตรงอย่างเคร่งครัด ใบหน้านิ่ง แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความกดดันกว่าทุกวัน เพราะทุกคนรู้ว่าจะต้องมีการตัดสินโทษที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

เสียงส้นรองเท้าบูทกระทบพื้นดังก้องก่อนที่ภูมินทร์ในเครื่องแบบเขียวเข้มจะก้าวออกมาด้านหน้า ดวงตาคมกริบกวาดมองกองแถวที่ยืนนิ่งสงบ ก่อนหยุดลงที่นายทหารใหม่คนหนึ่งที่ก้มหน้าอยู่

“รายงานความผิด” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังชัดเจนท่ามกลางลานที่เงียบกริบ

ทหารเวรตรงแถวหน้า ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ทำความเคารพแล้วรายงานเสียงดัง

“ทหารใหม่ศศิน ทำอาวุธปืนลั่นในระหว่างการฝึกยิง ทำให้เพื่อนในหน่วยฝึกได้รับบาดเจ็บหนึ่งนาย ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วครับ”

เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังขึ้นจากแถว แต่ก็ดับลงทันทีเมื่อภูมินทร์หันสายตาคมวาบไปทางพวกเขา เขาจ้องตรงไปที่ศศิน

“จริงหรือไม่” ศศินยกมือเคารพทันที เสียงสั่นแต่หนักแน่น

“จริงครับผู้กอง ผมมือพลาดไปเหนี่ยวไกปืนโดยไม่ตั้งใจ” ภูมินทร์ก้าวเข้ามาใกล้จนแทบยืนประชันหน้า

“อาวุธปืนไม่ใช่ของเล่น นายควรรู้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในค่ายนี้ ความผิดพลาดของนายเกือบทำให้เพื่อนเสียชีวิต นายตระหนักถึงความร้ายแรงแล้วหรือยัง” ศศินกลืนน้ำลายกัดฟันแน่นแต่เสียงยังดังชัด

“ตระหนักแล้วครับ! ผมผิดเองทั้งหมด!” สายตาของภูมินทร์เย็นเยียบแต่แฝงด้วยความเด็ดขาด เขาหันไปสั่งกับทหารเวร

“ตามระเบียบการใช้อาวุธโดยประมาทจนมีผู้บาดเจ็บ ระหว่างการฝึกลงโทษกักวินัย 14 วัน ถอดสิทธิ์ถืออาวุธจนกว่าจะผ่านการอบรมซ้ำ”

“ครับผม!” เสียงตอบรับดังพร้อมกัน ภูมินทร์หันกลับไปยังศศินอีกครั้ง

“จำไว้ ความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงชีวิตเพื่อนร่วมรบ นายต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทุกคนในหน่วย ไม่ใช่แค่ตัวเอง” ศศินน้ำตาคลอ แต่ยืนนิ่ง ยกมือขึ้นทำความเคารพสุดแรง

“ครับผู้กอง! ผมจะยอมรับทุกโทษ” แสงแดดเช้าส่องลงบนใบหน้าเคร่งขรึมของภูมินทร์ เขาพยักหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วหันไปสั่งการเสียงดังฟังชัด

“แถว ตรง กลับที่”

“ครับผม!”เสียงดังสะท้อนก้องไปทั่วลานฝึก

ทหารใหม่แต่ละนายก้าวกลับเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ ขณะที่บรรยากาศยังคงตึงเครียด แต่ก็เต็มไปด้วยบทเรียนที่ทุกคนจดจำในสนามรบ ไม่มีที่ว่างให้กับคำว่า “พลาด”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel