ตอนที่ 6 เกือบถูกม้าชน
ตอนที่ 6
เกือบถูกม้าชน
กู่เหว่ยหยวนมองหลิวอวี่หนิงกินอาหารก็ได้แต่ยิ้มออกมา หากนางมองกับข้าวถ้วยไหน เขาก็จะต้องรีบยื่นตะเกียบไปคีบเอามาใส่ในถ้วยนาง นางไม่จำเป็นจะต้องคีบเองเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงนางเหล่มองเท่านั้น ครั้นกินได้สักพักหญิงสาวก็พลันรู้สึกตัว นางเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาที่มองนางอย่างรักใคร่ ใบหน้าก็แดงขึ้นมา
นางกระแอมไอเบาๆก่อนจะยื่นตะเกียบออกไปคีบอาหารแล้วใส่ลงไปในถ้วยข้าวเขาบ้าง ที่ทำไปเพราะต้องกลบเกลื่อนความเขินอายเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะเอาใจเขาแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจเป็นอย่างมากแล้ว
“เหตุใดองค์ชายจึงเอาแต่มองหม่อมฉันเล่าเพคะ พระองค์ก็เสวยบ้างเถอะ” หลิวอวี่หนิงเงยหน้า จมูกรั้นเชิดขึ้นมา ช่างทำให้คนหลงใหลเกินไปแล้ว กู่เหว่ยหยวนยกถ้วยขึ้นพุ้ยข้าวและกับข้าวที่นางคีบให้เข้าปาก ริมฝีปากชายหนุ่มประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“อาหารที่หนิงหนิงคีบให้ช่างรสชาติดียิ่ง ข้าชอบมาก”
หลิวอวี่หนิงเขินอายเสียจนไม่รู้จะเขินอายไปมากกว่านี้อีกได้หรือไม่ หลายวันมานี้องค์ชายสี่แปลกประหลาดนัก เอาใจใส่นางมากจนเกินไป ครั้งแรกนางก็ดีใจอยู่หรอก แต่นี่องค์ชายสี่พานางออกมาเที่ยวเล่นทุกวัน ไปล่องเรือตกปลาเล่นบ้าง ไปชมละครบ้าง พระองค์ดีเสียจนนางนึกหวาดกลัว กลัวว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่น หากความเป็นจริงแล้ว เขายังคงรังเกียจนางเช่นเดิม จะทำเช่นไรดี นางจะทำใจได้อีกหรือ
“หืม..ข้าพูดอะไรผิดหรือไม่ เหตุใจเจ้าจึงได้มองข้าเช่นนั้น” ร่างอรชรพลันสะดุ้งได้สติขึ้นมา หันไปมองก็เห็นรอยยิ้มและดวงตาที่รักใคร่ของเขาเช่นทุกครั้ง หญิงสาวลอบถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
“เปล่าเพคะหม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกว่าหม่อมฉันฝันไปหรือไม่ เหตุใดองค์ชายถึงได้ดีกับหม่อมฉันถึงเพียงนี้ พระองค์ไม่ได้รังเกียจหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ เมื่อก่อนพระองค์...”
กู่เหว่ยหยวนยื่นแขนออกไปรั้งท้ายทอยนางให้แหงนขึ้นและก้มหน้าจุมพิตปิดกั้นคำพูดของนางจนหมดสิ้น เขาลิ้มรสความหวานจากปากนางทว่าในอกกับขมปร่า นางจะไม่สงสัยได้อย่างไรกัน เขาเปลี่ยนไปราวคนละคนเช่นนี้ อย่าว่าแต่เจ้าที่สงสัยเลย ขนาดองครักษ์ข้างกายข้าก็มึนงงกันไปหมดแล้ว
“เมื่อก่อนเป็นข้าที่ดวงตามืดบอด มองไม่เห็นความจริงใจของเจ้า แต่วันนี้ข้ารับรู้แล้ว หนิงหนิงต่อจากนี้ไปข้าจะยิ่งดีกับเจ้าให้มากขึ้นไปอีก เจ้ารีบทำตัวให้ชินเสียเข้าใจหรือไม่”
“ขะ..เข้าใจเพคะ” หลิวอวี่หนิงตอบรับอย่างเขินอาย นางแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาพูดสิ่งใดออกมาบ้าง ยามนี้หัวใจนางเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมานอกกายอยู่แล้ว
“ดีเช่นนั้นก็ดื่มกับเราอีกสักจอกเถอะ” องค์ชายสี่รินสุราส่งให้นางอีกครั้ง ครั้นดื่มจนหมดจอก นางก็ยกแขนเสื้อขึ้นซับไปที่ริมฝีปากตนเอง เขาเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะร่า นางคงกลัวเขาจะจูบอีกกระมัง
“เฝินจิ่วนี่หม่อมฉันเคยดื่มอยู่ครั้งหนึ่ง หม่อมฉันแอบดื่มของพี่ใหญ่ รสชาติดียิ่งนัก ทั้งหอมทั้งหวาน หม่อมฉันดื่มไม่ระวังจึงได้เมาหลับคาไหสุรา พี่ใหญ่โกรธมาก พระองค์รู้หรือไม่พี่ใหญ่ทำเช่นไรเพคะ”
“แม่ทัพหลิวคงให้เจ้าคัดหลักสตรีหนึ่งร้อยจบกระมั้ง" หลิวอวี่หนิงเบิกตาขึ้น จ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ร้ายกาจเกินไปแล้ว
“ในจวนสกุลหลิวมีสายลับขององค์ชายหรือไม่ เหตุใดจึงรู้กันเล่า”
“จะมีได้อย่างไรเล่า ข้าก็เพียงแค่เดา สตรีทำผิดบทลงโทษจะมีกี่อย่างกันเชียว แม่ทัพหลิวคงไม่ใช้กฎทหารกับเจ้ากระมัง” นางพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเขา แน่นอนว่าพี่ใหญ่ย่อมไม่ใช้กฎทหารลงโทษนาง เพราะฉะนั้นพี่ใหญ่จึงให้นางคัดหลักสตรีหนึ่งร้อยจบ กว่าจะคัดเสร็จแขนนางก็แทบจะยกไม่ขึ้นแล้ว
กู่เหว่ยหยวนเห็นนางไม่ได้สงสัยคำพูดเขาก็ถอนหายใจออกมา เขารีบคีบอาหารส่งไปในถ้วยนางอีกครั้ง นางเองก็กินเข้าไปอย่างยินดี องค์ชายสี่มองนางกินก็มีความสุขแล้ว เขาย่อมรู้เรื่องราวของนางเป็นอย่างดี อาหารเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเขาตั้งใจ สุราเฝินจิ่วนี่ก็เช่นกัน เขารู้ว่านางชื่นชอบ ถ้าไม่เช่นนั้นจะกินจนเมามายได้อย่างไรกัน เขาใส่ใจเรื่องของนางยิ่งกว่าเรื่องของตนเองเสียอีก
ทั้งสองใช้เวลาในเหลาสุราราวครึ่งชั่วยาม ก็พานางออกมาเดินเล่นที่ตลาด ข้าวของมากมายที่เหล่าแม่ค้านำออกมาขาย เรียกความสนใจของนางเป็นอย่างดี
“ตลาดในเมืองหลวงคึกคักยิ่งนัก ที่เหอตงมิได้คึกคักเช่นนี้ ข้าวของก็น้อยกว่านี้อีกเพคะ องค์ชายเคยเสด็จไปที่เหอตงหรือไม่” เขาส่ายหน้าช้า ๆ และหยุดที่ร้านขายอาวุธข้างหน้า
“ไม่เคย แต่สักวันข้าจะต้องไปดูบ้าง วันนั้นเจ้าก็พาข้าเดินชมให้ทั่วเหอตงก็แล้วกัน หนิงหนิงเจ้าชอบแส้มิใช่หรือ ลองดูอันนี้สิเหมาะมือดีหรือไม่” นางยื่นมือไปรับแส้ขึ้นมาจับดู ครั้นเห็นว่าถนัดมือ นางก็ถอยหลังออกมาและลองตวัดขึ้นกู่เหว่ยหยวนยืนเอามือไพล่หลังมองนางตวัดแส้ด้วยท่วงท่าที่งดงาม นางออกท่าทางอย่างสง่าผ่าเผย ผู้คนต่างก็หันมาสนใจดูนางอย่างชื่นชมบ้าง กระซิบกระซาบบ้าง หลิวอวี่หนิงเพลิดเพลินกับแส้เส้นนี้เป็นอย่างมาก นางถอยออกมาอยู่ที่กลางถนนอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนให้หลบดังขึ้นมา
กว่าที่นางจะทันรู้ตัว ม้าตัวใหญ่ก็วิ่งควบมาที่นางเสียแล้ว หลิวหวี่หนิงยกมือขึ้นหลับตาลง กู่เหว่ยหยวนรีบทะยานออกไป เขาดึงนางออกไปให้พ้นจากใต้เท้าของม้า ทว่าร่างอรชรกับหลุดมือจากเขาล้มลงกระแทกพื้นสลบลงไปทันที กู่เหว่ยหยวนตกใจใบหน้าซีดเซียว เขาวิ่งไปอุ้มนางขึ้นมา
“ไปตามหมอหลวงโจวด่วน” ร่างหนาออกคำสั่งเสียงสั่น เขาอุ้มนางวิ่งไปที่รถม้า และกลับไปที่จวนสกุลหลิวอย่างเร่งรีบ
พ้นจากเหตุการณ์ชุลมุนชาวบ้านต่างก็แยกย้ายกันไปจนหมด ร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งก็เดินออกมาจากมุมร้านค้า ใบหน้าถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าแพรชั้นดี ทว่าดวงตานางที่ไม่ถูกบดบังฉาย แววความอำมหิตขึ้นมา นางจ้องมองตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ไปด้วยความเกลียดชัง มือเล็กกำเข้าหากันแน่น
“รีบ ๆ ตายไปเสีย”
ตอนที่ 7
คำสัญญา
ตั้งแต่วันที่หลิวอวี่หนิงเกือบถูกม้าคลั่งเหยียบที่ถนนวันนั้น กู่เหว่ยหยวนก็โทษตนเองมาตลอด เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก กลัวว่านางจะจากเขาไป กลัวว่านางจะไม่อยู่เคียงข้างเขาอีก ความสิ้นหวังเหล่านั้น เขาไม่อยากจะรับมันอีกแล้ว
ในทุก ๆ วัน เขาต้องมานั่งเฝ้ารอให้นางฟื้นอยู่ที่จวนสกุลหลิว ถึงแม้ว่าการกระทำของเขาจะถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปตำหนิ แต่เขาก็ไม่อาจจะเพิกเฉยต่อนางได้ เขาเป็นเพียงแค่องค์ชายผู้หนึ่งเท่านั้น หากจะพูดถึงเรื่องแย่งบัลลังก์มังกรก็ยังมีพี่ใหญ่ของเขามิใช่หรือ ขุนนางเหล่านี้คงว่างมากกระมัง ถึงได้ถวายฎีกาไร้สาระเช่นนี้
“อาเหวินเหตุใดหนิงหนิงยังไม่ฟื้นอีกเล่า”
อาเหวินอย่างนั้นหรือ แม่ทัพหลิวอวี่เหวินคิ้วกระตุกขึ้นมา เขาและองค์ชายสี่สนิทกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดจึงเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมเช่นนี้ แล้วไหนจะหนิงหนิงอีกเล่า พูดจาเช่นนี้ต้องการจะสร้างปัญหาให้สกุลหลิวใช่หรือไม่
“กระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เฝ้ารอนางเช่นกัน ท่านหมอก็บอกว่าหนิงหนิงไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร แต่ทำไมยังไม่ฟื้นก็ไม่อาจรู้” กู่เหว่ยหยวนตวัดสายตาไปมอง ใบหน้าเขียวคล้ำ ตอบเช่นนี้อย่าตอบเสียจะดีกว่า
หลิวอวี่เหวินชะงักค้าง เหตุใดองค์ชายสี่ถึงได้มองเขาเช่นนั้น เขาก็ตอบไปตามความเป็นจริง และเขาที่เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของนาง เขาจะไม่ห่วงนางได้อย่างไร
“ฉีกงกงเจ้าจงเร่งเข้าวังและถ่ายทอดคำสั่งข้า เรียกตัวหมอหลวงโจวมารักษาคุณหนูหลิว!!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีกงกงค้อมกายรับคำสั่ง ก่อนจะยืดตัวปัดแส้และรีบเดินออกจากจวนสกุลหลิวอย่างเร่งด่วน
หลิวอวี่เหวินขมวดคิ้วมององค์ชายสี่ด้วยความแปลกใจ หลายวันที่ผ่านมาองค์ชายสี่ปฏิบัติต่อน้องสาวเขาดีเป็นอย่างมาก ผิดกับก่อนหน้านี้ราวคนละคน ตั้งแต่เขาและน้องสาวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง วันนั้นเขาพาหลิวอวี่หนิงเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองในวัง ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นกำลังใจให้กับกองทัพที่ชนะศึกกลับมา เขาซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่แน่นอนว่าจะต้องไม่พลาด ถึงจะบอกว่างานเลี้ยงเพื่อขอบคุณเหล่าทหาร แต่ใคร ๆ ต่างก็รับรู้ว่างานนี้จัดเพื่อเขาโดยเฉพาะ
วันนั้นแม่ทัพหลิวพาครอบครัวเพียงคนเดียวเข้าไปในวังด้วย เขาไม่ทันได้ดูแลนางให้ดี รู้ตัวอีกทีนางก็หายไปเสียแล้ว ความจริงเขาก็อยากจะออกไปตามหา แต่ก็จนใจเพราะไม่อาจปลีกตัวออกไป
ทว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยาม องค์ชายสี่ก็พานางกลับเข้ามา หลังจากนั้นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขาก็มอบหัวใจให้องค์ชายสี่ไปจนหมดสิ้น นางคอยตามฝากรักเขาไปทั่วทั้ง เมืองหลวง หากได้ข่าวว่าองค์ชายสี่เสด็จไปที่ใด นางก็จะตามไปแอบดูทุกครั้ง หลิวอวี่เหวินถูกขุนนางฝ่ายบุ๋นถวายฎีกาไม่รู้กี่ฉบับ ถูกเรียกไปต่อว่าไม่รู้กี่ครั้ง และแม้แต่องค์ชายสี่เองก็เหน็บแนมอยู่เป็นประจำกลางท้องพระโรงบ้าง หรือหากเจอเขาที่ใดก็มักจะมีคำพูดให้เขาได้เกิดโทสะตลอด แต่เขาก็ไม่เคยห้ามน้องสาวอย่างจริงจังเลยสักครั้ง แต่ช่วงนี้องค์ชายผู้นี้กลับมาเอาใจใส่หนิงหนิงของเขา จะไม่ให้หวาดระแวงได้อย่างไร แต่ดูเหมือนกู่เหว่ยหยวนจะรู้ทันความคิดนั้น
“อาเหวินเป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า ผิดต่อหนิงหนิง ก่อนหน้านั้นข้าโง่เขลา คิดเพียงแต่ว่าหนิงหนิงไร้มารยาท แต่ข้าไม่ได้มองให้ลึกลงไป นางไม่ได้ไร้มารยาทแต่นางจริงใจ ทั้งจริงใจและตรงไปตรงมา นางน่ารักยิ่งนักบนโลกใบนี้นอกจากเสด็จแม่แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดจริงใจต่อข้าอีกหรือไม่ เจ้าต้องเข้าใจข้า ข้าเติบโตมาท่ามกลางการวางเล่ห์อุบายเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานของเสด็จพ่อ ข้าย่อมไม่อาจไว้ใจผู้ใดง่าย ๆ”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลิวอวี่เหวินไม่เคยคิดถึงจุดที่องค์ชายผู้สูงศักดิ์ยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย คำพูดของเขามิได้ผิดเลย ผู้ที่ยืนอยู่ริมหน้าผาจะไว้ใจผู้ใดง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน แต่ก็นั่นเถอะ ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อาจชอบใจในสิ่งที่พระองค์กระทำต่อน้องสาวเขาได้เลย
“เรื่องที่ผ่านมาข้ากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ในวันข้างหน้าข้างกายข้าจะไม่มีผู้ใด อาเหวินนอกจากหนิงหนิงแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเหมาะที่จะเป็นชายาของข้าอีกแล้ว” แม่ทัพหนุ่มเบิกตาขึ้น เขาจ้องมององค์ชายสี่อย่างตกตะลึง นี่คือคำสัญญาเขารับรู้ได้ แววตาพระองค์ที่จ้องมองออกมาทั้งมั่นคงและจริงใจ หลิวอวี่เหวินหลับตาลงช้า ๆ เขาถอนหายใจออกมา
“กระหม่อมมีนางเป็นครอบครัวเพียงคนเดียว เพื่อความสุขของนางแม้แต่ชีวิตกระหม่อมก็หาได้สำคัญไม่ ตำหนักองค์ชายสูงเกินกว่าน้องสาวกระหม่อมจะปีนป่ายได้ถึง แต่ในเมื่อพระองค์ให้คำมั่น กระหม่อมก็ไม่มีสิ่งใดจะคัดค้าน ขอเพียงพระองค์ดีต่อนางเช่นนี้ก็เป็นพระกรุณาแล้ว”
“ข้าให้สัญญา อาเหวินเรื่องม้าตัวนั้นข้าให้คนไปสืบมาแล้ว เป็นม้าที่จะนำไปขายที่ตลาดมืด มีคนผสมหญ้าอูโถวปนเข้าไป แต่แปลกที่มีเพียงตัวเดียวที่กิน” กู่เหว่ยหยวนและหลิวอวี่เหวินต่างก็สบตากัน หากหญ้าอูโถวปะปนอยู่ในหญ้าของม้าจริง เช่นนั้นม้าทุกตัวย่อมต้องได้รับผลกระทบทั้งหมด แต่นี่มีเพียงตัวเดียวที่กินเข้าไป นับว่าแปลกนัก
“กระหม่อมจะให้คนไปสืบพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม อาเหวินข้าสั่งให้อาฝานไปสืบอย่างละเอียดแล้ว หากพบว่าเป็นการเจตนาข้าจะไม่ปล่อยมันเอาไว้” แววตาองค์ชายสี่พวยพุ่งด้วยจิตสังหาร หลิวอวี่เหวินรู้สึกขนลุกขึ้นมา
“แต่เรื่องที่ข้าพาหนิงหนิงออกไปแล้วเกิดเรื่อง ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าด้วย เป็นความผิดของข้าที่ไม่ดูแลนางให้ดี ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ อาเหวินข้าผิดไปแล้ว”
“กระหม่อมไม่อาจรับคำขอโทษของพระองค์ได้ อย่าทรงตรัสเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะโทษพระองค์ได้อย่างไร หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุย่อมต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง หากไม่ใช่ศัตรูของพระองค์ก็เป็นศัตรูของสกุลหลิว”
ในใจหลิวอวี่เหวินรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พระองค์สูงศักดิ์ถึงเพียงนั้นจำเป็นจะต้องมากล่าวคำขอโทษกับขุนนางเช่นเขาด้วยหรือ เห็นได้ชัดว่าน้องสาวเขามีน้ำหนักในใจของพระองค์มากเหลือเกิน แน่นอนว่าคนเป็นพี่เช่นเขาย่อมดีใจ
