บทที่ 6 ผู้รอดชีวิต หรือ ผู้สมรู้ร่วมคิด?
บทที่ 6 ผู้รอดชีวิตหรือผู้สมรู้ร่วมคิด?
ความเงียบมันคือสิ่งแรกที่ปลุกเธอไม่ใช่ความเงียบอันปลอดเชื้อเหมือนในบ้านของเธอ แต่เป็นความเงียบอันหนักอึ้งของความตายสิ่งต่อมาคือ กลิ่น กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นจนแทบจับตัวเป็นก้อน บัดนี้ถูกแสงแดดยามเช้าแผดเผาจนส่งกลิ่นหืน เคล้ากับกลิ่นสาบสางของเครื่องในที่ทะลัก และเสียงหึ่งๆ ที่น่ารำคาญของฝูงแมลงวันนับพันและสุดท้าย แสงแดด มันส่องแยงตาจนพร่ามัว
"อือ ตื่นแล้วเหรอพี่จ๋า" เสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวแต่มันฟังดูเบื่อหน่าย
"นึกว่าจะตายรอบสามซะแล้ว เมื่อคืนหนูนอนนับศพจนเบื่อเลย"
มีนา หรือ หลิวซินซิน ขมวดคิ้วทั้งที่เปลือกตายังหนักอึ้ง
‘ [เจ้าหนูเมื่อคืนเองได้ต่อยพวกมันรึเปล่า?] ’ เธอถามคำถามสุดท้ายที่ค้างคาใจก่อนที่เธอจะเป็นลมหมดสติไป
"เปล่า!" ไอ้หนูตอบเสียงแหลมปรี๊ด
"ไม่ได้ต่อย! น่าเบื่อที่สุด!"
เจ้าอ้วนน้อยผมจุกปรากฏร่างเรืองรองจางๆ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มันนั่งกอดอกแก้มป่อง
"พี่จ๋ากำลังจะอนุญาตอยู่แล้วเชียว! แต่ไอ้พวกหน้ากากกระดูกมันดันหนีไปซะก่อน! แล้วไอ้พวกทหารม้าบ้าๆ นี่ก็โผล่มา! แล้วพี่จ๋าก็หลับ! หนูนั่งตบยุงรอพี่จ๋าทั้งคืน! น่าเบื่อ!"
ทหารม้าสติของมีนากระจ่างชัดในบัดดล! เธอเบิกตาโพลง!ตุ้บ!
"ตื่นได้แล้ว!"
รองเท้าบูทหนังที่เหยียบย่ำดินโคลนและคราบเลือดมาหมาดๆ กระแทกเข้าที่ซี่โครงของเธออย่างแรง!
"อั่ก!"
ความเจ็บปวดทางกายภาพกระชากให้เธอลุกพรวดขึ้นมา และภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจลานสังหารในยามเช้า มันน่าสยดสยองกว่าตอนกลางคืนนับสิบเท่า ร่างของทหารองครักษ์และพวกโจรป่านอนเกลื่อนกลาดในสภาพบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ ดวงตาที่เบิกโพลงจ้องมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า แต่ที่ล้อมรอบเธอ ไม่ใช่โจร ไม่ใช่หน้ากากกระดูก แต่คือทหาร! ทหารในชุดเกราะหนังสีดำเก่าคร่ำคร่าที่ประทับตรา ‘พยัคฆ์อุดร’ สีทองจางๆ พวกเขาคือกองลาดตระเวนชายที่เตะเธอ ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยร่างสูงใหญ่ ผิวกร้านแดดและมีรอยแผลเป็นน่ากลัวพาดผ่านดวงตาข้างหนึ่ง ดวงตาที่เหลืออีกข้างจ้องมองเธอ ด้วยความรังเกียจและฉงนสนเท่ห์
"นางรอดมาได้อย่างไร?"
เสียงกระซิบอันเย็นเยียบดังขึ้นจากทหารคนหนึ่ง มันคือเสียงแรกที่เธอได้ยิน
"พวกโจรภูเขาปะทะกับพวกหน้ากากกระดูกพวกมันต้องการปล้นคาราวานเสบียงของกองทัพอย่างแน่นอน"
เขามองรอยเท้าที่ปะปนกันบนดินโคลนสลับกับสภาพศพที่แตกต่างกันศพหนึ่งถูกฟันเหวอะหวะ อีกศพหนึ่งกลับมีรอยไหม้เกรียมราวกับถูกมนต์ดำ
"พวกมันสู้กันเองแต่กลับทิ้งเจ้าไว้?"
เขาย่อตัวลงกลิ่นเหล้าและเหงื่อเหม็นเปรี้ยวปะทะจมูกเธอ เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ
"ข้าเห็นสภาพศพพวกนี้ พวกโจรภูตผีไม่เคยไว้ชีวิตใคร"
ฉึก! ดาบของเขาถูกชักออกมา! ปลายดาบที่เย็นเฉียบและเปื้อนเลือดยังไม่แห้งจ่อลงที่ใต้คางของเธอบังคับให้เธอเงยหน้าสบตา
"เจ้าเป็นพวกมันใช่หรือไม่!"
เสียงตะคอกนั้นดังราวกับฟ้าร้อง!ร่างของหลิวซินซิน สั่นเทาโดยอัตโนมัติ ฟันของเธอกระทบกัน น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่แตกสลายนี้!
‘ [บัดซบ!เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็เอาอีกแล้วนะ!] ’ มีนากรีดร้องในใจ สมองของเธอกำลังเดือดพล่าน!ประมวลผลในสถานการณ์ตรงหน้าทันทีก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า
"ฉะ..เออ..ข้า..ข้า" เธอเปล่งเสียง แต่มันคือเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือของหลิวซินซิน
"ข้าไม่ได้เป็นพวกของใคร ข้ามากับขบวนคาราวานและตอน..ตอนที่เกิดเรื่องข้า..ซ่อนตัว ข้าซ้อนตัวอยู่ในเกวียน"
"ซ่อนตัว?" หัวหน้าจางแค่นหัวเราะ มันคือเสียงหัวเราะที่ไร้ความขบขัน
"ซ่อนตัวงั้นรึ?"
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วชี้ดาบไปรอบๆ ราวกับวาทยกรนำวงออเคสตร้าแห่งความตาย
"เจ้าซ่อนตัว แต่กลับนอนหลับสบายอยู่กลางดงศพงั้นรึ?" เขาเดินไปเตะร่างของโจรป่าอูเก๋อ ที่โดนธนูปักหลังตาย
"เจ้ารอดแต่ทหารคุ้มกันกองเสบียงที่ฝีมือดีกลับตายเรียบ!" เขาชี้ไปที่ซากเกวียนที่ถูกเผา
"เจ้ารอด แต่เสบียงหลวงถูกทำลาย!"
เขากลับมายืนค้ำหัวเธอ ก้มต่ำลงมาจนใบหน้าแทบชิด
"เมื่อคืน พวกข้ายิงธนูสกัดพวกหน้ากากกระดูกพวกมันล่าถอยไป"
"พวกข้าค้นพื้นที่และพบเจ้านอนหลับ" เขาเน้นคำว่า'นอนหลับ'ราวกับมันเป็นคำสาปแช่ง
"ในสมรภูมิผู้รอดชีวิตจะไม่มีผู้ใดกล้าที่จะนอนหลับ พวกเขากรีดร้อง พวกเขาจะหวาดกลัว" ดวงตาของเขาหรี่ลง "นอกจากเจ้าจะไม่ใช่ผู้รอดชีวิตแต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!" เขาให้ข้อสรุปทันทีหลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ของเธอเสร็จทั้งวงล้อมเงียบกริบ! ทหารทุกคนมองเธอท่ามกลางการฆ่าล้างหมู่สตรีที่อ่อนแอที่สุดกลับรอดชีวิตโดยไม่มีแม้แต่รอยถลอก? มันเป็นไปไม่ได้
"นางต้องเป็นปีศาจ"
"ตัวซวยนางต้องเป็นตัวซวยแน่ๆ!"
"ไม่ ไม่ นาง…นางอาจจะเป็นไส้ศึก! นางเป็นพวกเดียวกับพวกหน้ากากกระดูก!"
เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นล้วนแต่พยายามยัดเหยียดข้อหาร้ายแรงทั้งนั้นให้เธอ ความหวาดกลัวและความรังเกียจฉายชัดในแววตาของทหารทุกคน พวกเขาไม่ใช่ทหารในยุค 2025 ที่ถูกฝึกด้วยจิตวิทยา พวกเขาคือทหารชายแดนที่สู้รบกับความป่าเถื่อนมาทั้งชีวิต! พวกเขาเชื่อในลางร้าย และเธอดูเหมือนลางร้ายที่สุด!
‘ใช้ตรรกะอธิบายไม่ได้ผลกับพวกเขาแน่’ มีนาสบถในใจ ร่างกายนี้ยังคงสั่นเทาไม่หยุด มันยิ่งทำให้เธอดูน่าสงสัย!
"พี่จ๋า แย่แล้ว"
ไอ้หนูที่นั่งอยู่บนหัวเธอก้มหน้าลงและกระซิบเบาๆ ทั้งๆ ที่มันไม่รู้จะกระซิบทำไม เพราะไม่มีผู้ใดได้ยินและเห็นมันอยู่แล้ว
"ไอ้หน้าบากนี่มันโง่ แต่มันดันเชื่อเรื่องผี แล้วพี่จ๋าก็ดันมีกลิ่นผีติดตัวซะด้วยสิ!" จะไม่ให้มีกลิ่นได้อย่างไร ก็เจ้าอ้วนน้อยเล่นนั่งขี่คอเธอบ้างปีนขึ้นไปบนหัวเธอบ้าง อย่างนี้!
"พูด!"
หัวหน้าจางตวาดลั่น เขากระชากสาบเสื้อของเธอ ตรวจสอบ
"ไร้รอยขีดข่วน! ไม่มีแม้แต่เลือด!"
‘เปลี่ยนแผน B: เบี่ยงเบนประเด็น! ใช้ข้อมูลที่มีประโยชน์!’ สมองอันชาญฉลาดของเธอเริ่มรื้อค้นไฟล์ข้อมูลความทรงจำของหลิวซินซิน มีนาสูดหายใจลึก พยายามควบคุมเสียงสั่นๆ ของร่างกายนี้เธอเค้นเสียงออกมา
“ข้า ข้าคือ หลิวซินซิน ครอบครัวขอข้าอพยพหนีความแห้งแล้งมาจากหมู่บ้านหลีฮวา ระหว่างทางเจอโจรภูเขาปล้นชิง พ่อแม่และน้องๆ ของข้าล้วนถูกสังหาร แต่ข้ารอดชีวิตมาได้เพราะตอนนั้นคาราวานขนเสบียงผ่านมาพอดี นายกองหวังเลยให้ข้าอาศัยมาได้ บอกว่าเมื่อถึงชายแดนค่อยให้ข้าแยกทางไป แต่ว่าพอจะผ่านช่องเขานี้ พวกเราก็ถูกโจรป่าดักปล้นอีกครั้ง…และ…และก็อย่างที่พวกท่านเห็น ทุกคนตายหมด” เธอเล่าเท่าที่ความทรงจำของหลิวซินซินจะจำได้ออกมา
“และเจ้าก็เป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวอีกครั้งอย่างนั้นรึ!! ช่างบังเอิญเสียใจ” เสียงทหารคนหนึ่งลอยมา
“หากว่าไม่เป็นคนที่โชคดีที่สุดก็เป็นคนที่อัปมงคลสุดที่รอดมาได้คนเดียวถึงสองครั้งเช่นนี้ หากว่ามีครั้งที่สามละก็…” คำพูดนี้สร้างความสงสัยมากกว่าเป็นการชื่นชมว่าโชคดีเสียแล้ว
นายกองจางเงียบเล็กน้อย เพราะคิดว่าข้อมูลที่ได้รับมามีส่วนถูก ตรงชื่อของนางกองที่คุ้มกองคาราวานมา เป็นไปได้ว่านางอาจจะถูกรับมาจริงหาไม่นางจะรู้ชื่อนายกองได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตามเขายังไม่มั่นใจ เขาก็เอ่ยถามต่อ
“แล้วที่นี่เหตุใดเจ้าถึงได้รอดมาได้อีก มันช่างบังเอิญเสียจริง”
"ข้าบอกแล้ว ว่าข้าซ่อนตัว" เธอพูดต่อ พยายามกดเสียงให้หนักแน่นที่สุดแม้ว่ามันจะยังสั่นเครือ
"โจรมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกอาจจะมาปล้นอีกกลุ่มไม่ใช่"
"หุบปาก!" หัวหน้าหัวจางตวาด "อย่ามาแต่งเรื่อง!"
"ข้าไม่ได้แต่งเรื่อง!ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะแต่งเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนเพื่ออะไร หากว่าพวกเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นพวกเจ้าก็โง่เต็มทน!" มีนาตวาดกลับ! ความโกรธที่ถูกกล่าวหามันทะลุความกลัวของร่างกายนี้ออกมาทำให้เธอลืมตัวเผลอตวาดออกไป
เพียะ!!!!
ฝ่ามือหยาบกร้านของหัวหน้าจางฟาดเข้าที่ใบหน้าของเธอเต็มแรง! หน้าเธอสะบัดเลือดกบปากความเจ็บปวดแล่นปราด แต่มันกลับทำให้สมองเธอแจ่มชัดขึ้น!ราวนี้แม้แต่เสือคาบดาบก็ช่วยไม่ได้แล้วสิ
"นังนี่!"
"พี่จ๋า! มันตบหน้าพี่หน้าหันเลย! ให้หนูต่อยมันเลยไหม! พ่อจ๋าบอกว่าห้ามใครรังแกพี่นะ!" ไอ้หนูเดือดดาล ตาลุกขึ้นมา
‘ [หุบปาก!เมื่อกี้ทำไมไม่บอกว่ามันจะตบ ฉันจะได้หลบ!] ’
มีนาหันกลับมา จ้องหน้าหัวหน้าจางเขม็ง แม้จะมีน้ำตาไหลอาบแก้มซึ่งมาจากปฏิกิริยาร่างกายนี่ แต่ดวงตาของเธอ มันไม่ใช่ดวงตาของเด็กสาวที่หวาดกลัว มันคือดวงตาของวิศวกร เย็นชา และกำลังคำนวณ
"ข้าบอกว่าพวกเจ้าโง่ เพราะพวกเจ้ากำลังถามคำถามผิด" เธอกระซิบ แต่เสียงนั้นกลับดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบ
หัวหน้าจางงงงวยกลับปฎิกิริยาที่เปลี่ยนไปของนาง ไม่ใช่ว่านางต้องหวาดกลัวเขาหรอกรึ ที่เขาตบนางเหตุใดนางจึงได้มา ขึงตามองเขาอย่างนี้เล่า!!
"ว่าไงนะ?"
"พวกเจ้ามัวแต่ถามว่า ข้ารอดได้อย่างไร แต่พวกเจ้าไม่ถามว่า ทำไมคาราวานถึงถูกโจมตี?" เธอพ่นเลือดในปากลงพื้น
"นี่ไม่ใช่การปล้นนี่คือการสังหารหมู่ ข้าอยู่ในเกวียนข้าได้ยินพวกมันพวกโจรป่ากำลังรอพวกหน้ากากกระดูกพวกมันร่วมมือกัน!"
ข้อมูลนี้ทำให้ทหารทุกคนตกตะลึง! โจรภูเขา กับลัทธิกระดูกดำ ทำงานด้วยกัน? นี่คือข่าวร้ายที่สุด!
"และพวกมัน" มีนาพูดต่อ
"พวกมันไม่ได้ขนเสบียงไป พวกมัน เผามันทิ้ง!" เธอชี้ไปที่ซากเกวียนข้าวสารที่ยังคงมีควันกรุ่น
"พวกมันไม่ได้มาเพื่อปล้นพวกมันมาเพื่อทำลายเพื่อให้แน่ใจว่าเสบียงนี้จะไปไม่ถึงค่ายขอพวกเจ้าต่างหาก!"
หัวหน้าจางยืนนิ่ง นี่มัน นี่มันไม่ใช่ข้อมูลที่สตรีผู้ตื่นกลัวจะวิเคราะห์ได้ นี่คือการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์!ความสงสัยในแววตาของเขาเปลี่ยนไปมันไม่ได้ลดลงแต่มันเปลี่ยนชนิดจากนังปีศาจกลายเป็นนังไส้ศึกที่ฉลาดล้ำลึก
"เจ้า" เขาหรี่ตา
"เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง เจ้าเห็นมากเกินไป"
"ก็ข้าไม่ได้โง่เหมือนพวกเจ้าไง!" มีนาตอกกลับด้วยสัญชาตญาณนี่คือสไตล์ของเธอตบหน้าด้วยตรรกะ!
"พี่จ๋า! เริ่ดมาก! แต่เดี๋ยวก่อน! พี่จ๋ามันยกมือขึ้นอีกแล้วคราวนี้ข้าคิดว่ามาจะตบมาทางขวา ให้พี่จ๋าหลบซ้ายนะ" ไอ้หนูน้อยเตรียมการกับพี่สาวของมันอย่างดี คราวนี้ไม่โดนจังๆแน่
นี่คือโลกยุคโบราณการตบหน้าทหารที่ถือดาบ คือการฆ่าตัวตายหัวหน้าจางคำรามในลำคอเขายกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะตบให้กรามหลุด!
"พอได้แล้ว นายกองจางเหยียน"
เสียงหนึ่งดังขึ้น มันไม่ใช่เสียงตะโกน แต่มันกลับทรงพลังจนตัดผ่านทุกความวุ่นวาย เสียงนั้น เย็นเยียบ และเหนื่อยล้า แต่มันแฝงไว้ด้วยอำนาจเด็ดขาดที่สั่งการความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
ทหารทุกคนรวมทั้งนายกองจางเจียน แข็งทื่อ! พวกเขาลดอาวุธลงทันทีและหันไปโค้งคำนับ 90 องศาอย่างพร้อมเพรียง
"ท่านแม่ทัพ!"
การเคลื่อนไหวของพวกทหารเปิดทางให้มีนาเห็น ดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงอยู่ข้างหลังเขาทำให้ร่างนั้นกลายเป็นเงาดำทะมึนเขาขี่ม้าสีนิลตัวมหึมาม้าที่ดูเหมือนอสูรมากกว่าสัตว์พาหนะบนหลังม้าคือบุรุษในชุดเกราะสีดำสนิทเกราะที่เก่าคร่ำคร่า เต็มไปด้วยรอยบิ่นรอยดาบ และคราบเลือดที่แห้งกรังจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลหะเขาไม่ได้สวมหมวกเกราะ เผยให้เห็นเส้นผมสีดำยุ่งเหยิงที่รวบไว้ลวกๆ ใบหน้าของเขา คมคาย แต่ซีดเซียว ใต้ดวงตาคมกริบนั้น คือรอยคล้ำที่บ่งบอกถึงการไม่ได้นอนมาหลายราตรี และดวงตาคู่นั้น มันคือดวงตาที่น่ากลัวที่สุดที่เธอเคยเห็น มันไม่ใช่ดวงตาของโจรที่กระหายเลือด มันไม่ใช่ดวงตาของชายหนุ่มที่ลึกซึ้ง มันว่างเปล่า!!
เขาคือ แม่ทัพใหญ่ฉีเจิ้น พยัคฆ์หนุ่มแห่งค่ายอุดร
เขาไม่มองเธอ เขามองนายกองจาง
"รายงาน"
"ท่านแม่ทัพ!เมื่อพวกเรามาถึงกองเสบียงได้ถูกเผาทำลายเสียหายหมด เราพบผู้รอดชีวิตสตรีหนึ่งเดียว! นางอ้างเป็นผู้ที่ทางกองคาราวานช่วยเหลือให้อาศัยมาด้วย นางบอกว่าครอบครัวของนางถูกสังหารหรือ แต่นางรอดมาได้อย่างน่าสงสัย และในครั้งนี้นางก็เป็นผู้รอดชีวิตเพียงผู้เดียวเช่นกัน ข้าคาดว่านางเป็นไส้ศึกของพวกลัทธิกระดูกดำ!"
เขารายงานสรุปและยกความผิดทั้งหมดให้นางในครั้งเดียว จบ!! มีนาหันไปขึงตามองเจ้าบ้าจาง พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ หากว่าจะสรุปแบบนี้ไม่รู้จะเสียเวลาถามเธอทำไม!! ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอคอยคำพิพากษาจากชายหนุ่มผู้ที่พวกเขาเรียกว่า ท่านแม่ทัพใหญ่
แม่ทัพใหญ่ฉีเจิ้นยังคงไม่มองเธอ สายตาของเขากวาดมองลานสังหาร เขามองรอยเท้าเขามองสภาพศพ เขามองเกวียนที่ถูกเผา สายตาของเขาวิเคราะห์ทุกอย่าง เร็วกว่าที่สมองอัจฉริยะของเธอทำ
"นางพูดถูก" ฉีเจิ้นเอ่ย เสียงเรียบ
นางกองจางเหยียนชะงัก
"ขอรับ?"
"นางพูดถูก" แม่ทัพใหญ่ฉีเจิ้นหันม้า
"นี่ไม่ใช่การปล้น นี่คือการทำลายเสบียง แต่จะเป็นฝีมือผู้ใดนั้นต้องหาให้เจออีกที"
มีนาเบิกตากว้างเขา เชื่อเธอ?
"เช่นนั้น นางก็บริสุทธิ์?" หัวหน้ากองจางถามอย่างสับสน
แม่ทัพฉีเจิ้นหันกลับมา และในที่สุดเขาก็มองเธอดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้น สบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยการวิเคราะห์ของเธอเขาจ้องเธอนิ่งนานราวกับชั่วนิรันดร์
"ไม่"
คำเดียวแต่หนักแน่นราวกับภูเขาถล่ม
"นางไม่ใช่ไส้ศึก" เขากล่าวต่อเสียงเย็นชา
"เพราะไส้ศึก จะไม่โง่พอที่จะรอให้ถูกจับ"
เขาหันไปทางนายกองจางและเอ่ยเบาๆ
"แต่จงจับกุมนางไว้"
"ท่านแม่ทัพใหญ่!?"
ฉีเจิ้นดึงบังเหียนม้า
"คาราวานถูกโจมตีทหารคุ้มกันเสบียงตายหมด เสบียงถูกเผาและหญิงสาวชาวบ้านอ่อนแอไร้ทางสู้กลับรอดชีวิต"
เขาหันกลับมามองเธอเป็นครั้งสุดท้าย
"นางไม่ใช่ไส้ศึกนางคืออัปมงคล"
****อ้าวท่านแม่ทัพใหญ่ฉี นึกว่าจะช่วยเสียอีก****
