บท
ตั้งค่า

เด็กกำพร้า

ตอนที่ 1

~เมื่อ10ปีที่แล้ว ณ ไร่ธาราธร~

“มาแล้วค่ะ มาแล้ว คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายกลับมาแล้วค่ะ คุณเขื่อน คุณขิม” สาวใช้ในบ้านร้องตะโกนขึ้นเมื่อรถยนต์คันหรูวิ่งเข้ามาในบริเวณบ้านหลังใหญ่โตที่อยู่ท่ามกลางไร่องุ่นอันกว้างสุดลูกหูลูกตา

“คุณพ่อคุณแม่มาแล้วหรอพี่กระปุก” เด็กสาววัย13ปีพูดขึ้นพร้อมท่าทางตื่นเต้นดีอกดีใจ

“ค่ะคุณหนู”

“เดี๋ยวขิมไปบอกพี่เขื่อนก่อนนะว่าคุณพ่อคุณแม่กลับมาแล้ว” พูดเสร็จเด็กสาวหน้าตาสวยน่ารักสมวัยก็รีบวิ่งไปเรียกผู้เป็นพี่บนห้องทันที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!! เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนเด็กสาวจะเปิดเข้าไปข้างในทันที ในขณะที่เจ้าของห้องยังไม่ได้อนุญาต

“พี่เขื่อนคะคุณพ่อกับคุณแม่กลับมาแล้วค่ะ”

“แล้วยังไง?” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างไม่ได้สนอกสนใจอะไร

“เราลงไปหาคุณพ่อคุณแม่ดีกว่าค่ะ ป่านนี้น้องทานตะวันคงจะมาถึงแล้ว ขิมดีใจจังเลยที่เราจะมีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว” เด็กสาวพูดชวนพี่ชายขึ้นพร้อมจับแขนพี่ชายดึงให้เดินลงไปข้างล่างด้วยความตื่นเต้น

“พี่ไม่นับยัยเด็กนั่นเป็นน้องหรอก ถ้าขิมอยากได้เด็กนั่นเป็นน้องก็แล้วแต่” ชายหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะชักแขนกลับและเดินเลี่ยงเข้าห้องไป

“เป็นอะไรของเขานะ” เด็กสาวผู้เป็นน้องได้แต่บ่นอุบอิบคนเดียวก่อนจะวิ่งลงไปข้างล่างหาแขกผู้มาใหม่

“คุณแม่ข๋า คิดถึงจังเลยค่ะ” เด็กสาววิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาสองอาทิตย์

“คิดถึงแค่แม่คนเดียวหรือไงยัยขิม” ท่านธีระผู้เป็นพ่อพูดขึ้นบ้าง

“แหม๋ ขิมก็คิดถึงคุณพ่อเหมือนกันค่ะ อย่าเพิ่งน้อยใจกันสิคะคุณพ่อ” เด็กสาวพูดขึ้นพลันหันไปกอดผู้เป็นพ่อบ้างด้วยความรัก

“ขิม นี่น้องตะวันลูกสาวคุณอาพรทิพย์เพื่อนรักของแม่ ตั้งแต่วันนี้น้องจะมาอยู่กับพวกเรา ขิมต้องรักและดูแลน้อง เหมือนน้องสาวของขิมอีกคนนะลูก” คุณนายดารินทร์ผู้เป็นแม่พูดขึ้น

“ค่ะคุณแม่”

“หนูตะวันต่อไปนี้เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะลูก ต่อไปนี้แม่กับพ่อและพี่ขิมคือครอบครัวของหนูนะลูก” คุณนายดารินทร์หันไปพูดกับเด็กสาว ลูกสาวของเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุกระทันหัน เด็กคนนี้จึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ขาดทั้งพ่อและแม่ในขณะที่เธอมีอายุแค่เพียง8ขวบเท่านั้น คุณนายดารินทร์จึงรับเลี้ยงลูกสาวของเพื่อนด้วยความสงสารและเอ็นดู เพราะไม่มีญาติที่ไหนรับไปดูแล อีกทั้งภาระหนี้สินของครอบครัวที่มีมากมาย คุณนายจึงรับใช้หนี้ให้ทั้งหมด รวมทั้งจะดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวของเพื่อนรักให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำเพื่อเพื่อนรัก

“ค่ะแม่ดา” เด็กสาวตอบรับด้วยแววตาเศร้าและใบหน้าเศร้าหมอง เธอต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุเพียงแค่8ขวบ แต่ยังโชคดีที่คุณนายดารินทร์รับเธอมาเลี้ยงเธอจึงยังมีที่พึ่งที่สุดท้ายที่เธอจะพอได้พึ่งพาอาศัย มีที่อยู่ที่กินที่หลบแดดหลบฝน แม่ดาเปรียบเสมือนแม่และผู้มีพระคุณอีกคนของเธอ

คุณนายดารินทร์และท่านธีระมีลูก 2 คน คนโตเป็นผู้ชาย ชื่อธาราธร ศิรชล หรือเขื่อน คนเล็กเป็นผู้หญิง ชื่อสายธาร ศิรชล หรือขิม ลูกชายคนโตเป็นคนเคร่งขรึม ตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย แต่ปากไม่ตรงกับใจ ส่วนลูกสาวคนเล็กเป็นคนดื้อรั้น แก่นแก้ว แต่เป็นคนจิตใจดีขี้สงสาร

“แล้วนี่ตาเขื่อนไปไหน” ท่านธีระผู้เป็นพ่อถามขึ้นเมื่อมาถึงก็ยังไม่เห็นหน้าลูกชายเลย

“นั่นสิ เจ้าลูกคนนี้มันยังไงพ่อแม่มาถึงแทนที่จะมาหา นี่หลบหน้าหลบตาหนีหาย” คุณนายดารินทร์พูดขึ้นบ่นๆให้ลูกชาย

“พี่เขื่อนอยู่บนห้องค่ะคุณแม่ ขิมขึ้นไปเรียกแล้วแต่พี่เขื่อนไม่ลงมาค่ะ ไม่รู้เป็นไรของเขา”

“เฮ้อ! ฉันละเหนื่อยใจจริงๆค่ะคุณ เมื่อไหร่ตาเขื่อนจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำสักที”

“ลูกยังเด็กน่ะคุณ เดี๋ยวโตขึ้นเขาก็เข้าใจเองแหละ ให้เวลาลูกหน่อย”

“อายุ18ปีแล้วนะคุณ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะคะ”

“เอาน่าๆ ให้เวลาเขาหน่อย คุณก็อย่าใจร้อนไป” ท่านธีระพูดปลอบใจภรรยาพลางเอามือโอบไหล่และลูบแขนเบาๆ

“งั้นขิมพาน้องทานตะวันเอาของไปเก็บก่อนนะคะคุณแม่”

“จ้ะลูก พาน้องเอาของไปเก็บและพักผ่อนอาบน้ำอาบท่า ตอนเย็นค่อยลงมาทานข้าวนะลูก”

“ค่ะคุณแม่ ป่ะน้องตะวัน เราไปดูห้องใหม่กัน”

“ค่ะ พี่ขิม” เด็กสาวอายุ13ปี จูงมีเด็กน้อยอายุ8ปีขึ้นไปพักบนบ้านอย่างรักใคร่

ทางด้านอีกฝั่งของข้างบน เด็กหนุ่มอายุ18ปีได้แอบดูคนข้างล่างคุยกันและแอบมองเด็กผู้มาใหม่ที่เขานึกเกลียดตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า เด็กน้อยหน้าตาน่ารักดวงตากลมโตสีดำ ผมยาวถักเปียสองข้าง ที่ยืนด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แต่เขานึกสมเพชนัก นอกจากเกิดมาจะอาภัพแล้วยังเกิดมาสร้างความวุ่นวายให้กับครอบครัวคนอื่นเขาอีก ขนาดญาติพี่น้องยังไม่มีใครเอาไปเลี้ยง พ่อแม่ครอบครัวของเธอก็คงจะเป็นคนไม่ดีถึงมีแต่คนรังเกียจและไม่อยากรับผิดชอบ จนพ่อแม่ของเขาเองต้องมารับอุปการะแทน

“หึ ยัยตัวภาระ!” ชายหนุ่มพูดแสยะยิ้มเบาๆก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

“นี่ห้องของน้องตะวันนะ พี่เป็นคนจัดห้องนี้ไว้รอตะวันเอง ตะวันชอบไหม?”

“ตะวันชอบมากค่ะ ตะวันขอบคุณพี่ขิมมากนะคะ” เด็กน้อยวัย8ขวบพูดขึ้นด้วยความดีใจและขอบคุณผู้เป็นเหมือนพี่สาวของเธอด้วยความจริงใจ

“ไม่เป็นไรจ้า มา เดี๋ยวพี่ช่วยจัดของ ตะวันจะได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกเดี๋ยวจะได้ลงไปทานข้าวเย็นกัน”

“ค่ะ” เด็กสาวทั้งสองช่วยกันจัดของเก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำและทำธุระส่วนตัว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนชายหนุ่มวัย18ปีจะเปิดออกมา ชายหนุ่มมองสบตาดวงตาเศร้าๆของเด็กตัวเล็กๆที่ยืนข้างๆน้องสาวของเขาด้วยสายตาแข็งกระด้างและไม่ค่อยจะเป็นมิตร

“แกมีอะไรยัยขิม” เขื่อนถามขึ้นเมื่อเปิดประตูออกมาเจอน้องสาวและเด็กน้อยที่เขาไม่ชอบตั้งแต่รู้ว่าแม่ของเขาจะไปรับเธอมาเพื่ออุปการะเลี้ยงดู

“ขิมมาเรียกพี่เขื่อนลงไปทานข้าวค่ะ อ้อ!แล้วนี่น้องทานตะวันค่ะ ขิมชวนน้องมาตามพี่เขื่อนลงไปทานข้าวด้วยกันค่ะ”

“หึ แค่เห็นหน้ายัยเด็กนี่พี่ก็กินไม่ลงแล้ว ขิมกินลงก็กินไปเถอะ” ชายหนุ่มพูดกระแทกแดกดันเด็กหญิงตัวน้อยๆตรงหน้าด้วยความไม่พอใจก่อนจะปิดประตูห้องดังปัง!!จนเด็กหญิงตัวน้อยสะดุ้งด้วยความตกใจ และรีบก้มหน้าก้มตาลงพลันน้ำตาไหลหยดลงพื้น

“พี่เขื่อนบ้า เป็นอะไรของเขาก็ไม่รู้นิสัยไม่ดีเลย ตะวันอย่าไปสนใจพี่เขื่อนเลยนะ เขาก็เป็นแบบนี้ล่ะ อารมณ์ผีเข้าผีออก” ขิมพูดขึ้นให้กับนิสัยแย่ๆของพี่ชายที่กระทำใส่เด็กหญิงตัวน้อยจนต้องร้องไห้

“พี่เขื่อนเขาไม่ชอบตะวันหรอคะพี่ขิม ตะวันไม่ใช่น้องของพี่เขื่อน พี่เขื่อนเลยเกลียดตะวันใช่ไหมคะ”

“ไม่ใช่หรอกจ้ะน้องตะวัน พี่เขื่อนเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ บางทีพี่ทำอะไรให้ไม่พอใจพี่เขื่อนก็ชอบตะคอกพี่แบบนี้เหมือนกัน แต่พี่ชินแล้ว ตะวันก็อย่าคิดมากนะ” เด็กสาวพูดขึ้นด้วยความสงสารเด็กน้อยตรงหน้าจับใจเพราะรู้ดีว่าพี่ชายของเธอเองไม่ชอบทานตะวันตั้งแต่แรกและเกลียดตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้า พี่ชายของเธอไม่ต้องการให้แม่กับพ่อไปรับลูกคนอื่นมาเลี้ยงดูอุปการะเพราะกลัวจะมาแย่งความรักและทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขาและน้องสาว

เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้ายกเว้นแค่เขื่อนคนเดียวที่ไม่มาร่วมโต้ะ เด็กสาวตัวเล็กได้แต่ก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยเพราะเธอรู้ดีว่าตัวเองคงเป็นตัวต้นเหตุให้ลูกชายของเจ้าของบ้านนี้ไม่ลงมาทานข้าว

“แล้วนี่พี่เรามันไม่ลงมาทานข้าวรึไงยัยขิม” คุณนายดารินทร์ผู้เป็นแม่พูดขึ้นเมื่อไม่เห็นลูกชายมาร่วมโต้ะ

“คงไม่หิวมั้งคะคุณแม่ ขิมขึ้นไปชวนแล้ว แต่บอกทานไม่ลง สงสัยคงไม่หิวค่ะ”

“เจ้าลูกคนนี้นิ ฉันเหนื่อยใจกับมันจริงๆ”

“เอาน่าคุณเดี๋ยวมันหิวก็คงลงมาทานเองแหละ มาๆ ทานข้าวกันเถอะเดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมดซะก่อน” ท่านธีระพูดขึ้นบ้าง เพราะรู้ดีว่าทำไมลูกชายถึงไม่ลงมาทานข้าว และทุกคนเริ่มรับประทานอาหารกัน จะมีก็แต่เด็กหญิงตัวน้อยที่แทบจะกลืนข้าวไม่ลง ตอนแม่กับพ่อเสียเธอก็รู้สึกแย่มากแล้ว พอมาอยู่บ้านคนอื่น และต้องมาเป็นตัวภาระให้กับคนอื่นอีกเธอก็ยิ่งรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel