บท
ตั้งค่า

บทนำ

ในความมืดมิดจนมองไม่เห็นแสงสว่าง

นางอึดอัดกดดันจนหายใจไม่ออก

ความเย็นเยียบแผ่ลามไปทั่วทุกอณู

ร่างทั้งร่างของนางราวกับถูกแช่แข็ง ไม่อาจเขยื้อนกาย...

ดวงตาของนางพร่าเลือน ปวดแสบปวดร้อนที่ปลายจมูก มือและเท้าด้านชาไร้ความรู้สึก

‘ลู่…’

เสียงเรียกที่มีแค่คำว่า ‘ลู่’ คำเดียวทำให้นางได้สติ

เฮือก!

ดวงตาเรียวรีดุจผลซิ่ง[ ซิ่ง หรือ ซิ่งเหริน เมล็ดอัลมอนด์]ใต้แพขนตาหนาเบิกโพลง ปลายจมูกโด่งรั้นปรากฏเหงื่อเม็ดเล็กผุดพราย ริมฝีปากแดงบางของนางเผยอขึ้น เผยให้เห็นแนวฟันขาวสะอาด มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าซีดเผือดช้าๆ ปัดป่ายผมหน้าม้าแสกกลางจนเผยให้เห็นปานสีแดงรูปหยดน้ำตรงหว่างคิ้วได้รูปที่ขมวดมุ่น

“เสียนเอ๋อร์ ตื่นหรือยังลูก?” เสียงเรียกอันอ่อนโยนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูไม้ ดึงสติของลู่เสียนให้กลับคืนมาจากภวังค์

นางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อย่างน้อยก็แค่ฝันไป...

“ตื่นแล้วท่านแม่” เสียงหวานใสเจือแหบพร่าเล็กน้อยตะโกนตอบรับ ลู่เสียนลงจากเตียง มุ่งไปเปิดประตูหน้าต่าง แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องกระทบกับดวงหน้าเนียนใส ปรากฏภาพดรุณีแรกรุ่นหน้าตางดงามวัยสิบหกปี นางอมยิ้มจางๆ ให้กับแสงอรุณ ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย ประกายตาไหวระริก จากนั้นจึงเดินไปยังประตูห้อง

“ท่านแม่!”

ประตูถูกเปิดออก สตรีอายุราวสามสิบปีรูปร่างกะทัดรัดยกมือชะงักค้าง นางสวมชุดตัวยาวสีเขียวอ่อน บนศีรษะโพกผมด้วยผ้าสีเดียวกันกับชุด ใบหน้างดงามหมดจดแลดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง ปากของนางกำลังจะตะโกนอีกครั้ง ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรสาว สีหน้าก็ปรากฏแววไม่สบายใจหลายส่วน มือเรียวขาวเนียนอังหน้าผากของบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง

“ฝันร้ายอีกแล้วหรือ แม่ได้ยินเสียงเจ้าอึกอักอยู่นาน” นางกำลังทำกับข้าว ได้ยินเสียงครางด้วยความทรมานของลู่เสียนจึงรุดหน้ามาดูด้วยความตกใจ

ดวงตาเรียวรีหลุบลง แพขนตาหนาไหวระริกดุจผีเสื้อกระพือปีก

“อืม…ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน ทุกครั้งจะรู้สึกอึดอัด ก่อนจะตื่นมักจะมีคำว่า ลู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร” ลู่เสียนค้อมกายกอดเอวของมารดา ใบหน้าเนียนใสถูไถกับอ้อมอก “ท่านแม่…ข้ารู้สึกแปลกๆ”

นางฝันแบบเดิมซ้ำๆ ทุกครั้งจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

“อย่าคิดมาก เจ้าอาจจะกินเยอะจนเก็บไปฝัน” เหวินฉิงซูลูบศีรษะของบุตรสาวแผ่วเบาด้วยความรักใคร่ ดวงตาของนางอ่อนแสงลง “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า” ปลายเสียงของนางสั่นไหวเล็กน้อย

ใบหน้าของลู่เสียนขึ้นสีเมื่อเงยหน้าเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของมารดา ก่อนจะก้มหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

“ทราบแล้ว”

นางชื่อหมิงลู่เสียน อายุสิบหกปี แต่เดิมแล้วอยู่ในช่วงวัยปักปิ่น[ พิธีปักปิ่น เป็นพิธีโบราณมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวที่อายุเกิน ๑๕ ปีที่โตเป็นสาวเต็มตัวและพร้อมที่จะเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน

] หากอยู่ในตระกูลชั้นสูงก็คงไม่แคล้วต้องรัดเท้าตั้งแต่เล็กและเตรียมออกเรือนแบบคุณหนูทั่วไป ทว่านางอยู่ในครอบครัวจอมยุทธ์ ทุกปีจะเปลี่ยนที่อยู่หนึ่งครั้ง ใช้ชีวิตเรียบง่าย อ่านเขียนเรียนรู้เท่าที่บิดามารดาของนางจะสรรหามาให้ ดูไปแล้วก็คล้ายเด็กสาวธรรมดาผู้หนึ่ง

กลิ่นบะหมี่ไก่หอมฉุยอบอวล ลู่เสียนที่เดินหิ้วท้องออกมาจากห้องนอนถึงกับเหม่อลอยอย่างไร้สติ ตัวประหลาดในท้องของนางโอดครวญเสียงดังจึงพาร่างผอมแห้งตามกลิ่นมายังห้องครัว นางสวมชุดสีเขียวที่เหวินฉิงซูตัดให้ บนหน้าอกปักลายดอกกล้วยไม้สีเหลืองอ่อน รวบผมปักปิ่นเงินไว้เพียงครึ่งศีรษะ หากไม่มีผมหน้าม้าที่ปิดบังหน้าผากไว้ นางก็คงสลัดคราบเด็กสาวกลายเป็นดรุณีงดงามเฉิดฉายผู้หนึ่ง

บนโต๊ะกินข้าวคือบะหมี่ไก่ที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจจนไม่อาจต้าน ดวงตาของลู่เสียนไหวระริก ตัวประหลาดร้องครวญครางอย่างทรมาน

“ท่านแม่ หอมจังเลย” ลู่เสียนยื่นมือหมายจะหยิบเนื้อไก่ในชามบะหมี่ใส่ปาก แต่ชามบะหมี่กลับไหววูบ มารดาฉกบะหมี่หนีไปต่อหน้าต่อตาพร้อมกับถูกตีเบาๆ ที่หลังมืออย่างรวดเร็ว

“โอ๊ย! เจ็บนะท่านแม่”

เหวินฉิงซูถลึงตาดุ “ฮึ! …ก็ตีให้เจ็บน่ะสิ ไปเรียกพ่อเจ้ามากินข้าว เขาฝึกวรยุทธ์อยู่หลังบ้าน”

ลู่เสียนลูบหลังมือตัวเอง ในใจรู้สึกรวดร้าวคล้ายกับสัตว์ประหลาดในท้องกำลังร้องโอดโอย นางทำหน้าทะเล้นใส่มารดา ก่อนที่จะถูกฝ่ามือพิฆาตอีกรอบก็พลิ้วกายออกจากห้องครัว รวดเร็วดุจกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง

เหวินฉิงซูส่ายหน้าให้กับความซุกซนของบุตรสาว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอบอุ่น นางยกบะหมี่ชามนั้นขึ้นสูดดม กลิ่นหอมกลมกล่อมลอยกระทบนาสิก ก่อนจะวางชามบะหมี่ลงบนโต๊ะ เคลื่อนมือขาวผ่องจับเครื่องปรุงด้วยความคล่องแคล่ว ไม่นานนัก น้ำแกงบะหมี่ไก่สูตรพิเศษก็เสร็จสมบูรณ์

กลิ่นน้ำแกงที่เคี่ยวด้วยซี่โครงไก่และเครื่องเทศชนิดพิเศษนานกว่าสองชั่วยาม[ ๑ ชั่วยาม เท่ากับ ๒ ชั่วโมง]หอมเข้มข้น น้ำแกงถูกราดลงบนเนื้อไก่ที่โปะลงบนเส้นบะหมี่สีเหลืองนวลจนชุ่มฉ่ำ เหวินฉิงซูโรยผงบางอย่างลงไป ก่อให้เกิดความหอมที่เพิ่มระดับขึ้นกว่าเดิมอีกขั้นหนึ่ง ในที่สุดบะหมี่ไก่สามชามก็เสร็จสมบูรณ์

“โอ้...น้องหญิง วันนี้ทำบะหมี่ไก่รึ?” หมิงจิ้นเหอเดินเข้ามาภายในห้องครัว ใบหน้าชื้นเหงื่อคมสันเป็นเหลี่ยมมุมชัดเจน ร่างสูงใหญ่ของเขาสวมทับด้วยชุดสีน้ำเงินเข้ม แขนเสื้อถูกถลกขึ้นเหนือข้อศอกคล้ายนักเลงโต ยิ่งเมื่อเขาสะพายกระบี่ติดหลัง ยิ่งทำให้ห้องครัวดูแคบไปถนัดตา

เหวินฉิงซูยกชามบะหมี่อีกมายังโต๊ะกินข้าว ปีศาจตะกละตัวน้อยที่ตามมาทีหลังถึงกับเบิ่งตาโตเท่าไข่ห่าน รีบนั่งบนเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

“ท่านแม่ วันนี้พิเศษอย่างไรถึงได้ทำบะหมี่ไก่สูตรนี้”

จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร วัตถุดิบแต่ละอย่าง มีทองพันชั่งก็ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ ปีหนึ่งๆ จึงจะหาได้เพียงหยิบมือ วันนี้มารดาถึงขั้นยกวัตถุดิบที่มีค่าดั่งทองมาทำบะหมี่ ต้องมีอะไรที่พิเศษอย่างแน่นอน

หมิงจิ้นเหออดหมั่นไส้บุตรสาวไม่ได้ ง้างนิ้วหมายจะดีดหน้าผากของนาง ทว่าลู่เสียนประสาทสัมผัสว่องไวจึงหลบทัน “นี่ท่านพ่อ! ดีดหน้าผากข้าอีกแล้ว! ที่หน้าผากของข้ามีรอยแดงเช่นนี้เป็นเพราะท่านแน่ๆ” ลู่เสียนโวยวาย รีบเอามือกุมหน้าผากของตนเอาไว้ ดวงตากลมโตราวกับกวางน้อยหลุกหลิกระแวดระวัง

ผู้เป็นบิดาหัวเราะเสียงดัง ไม่นำพาต่อคำกล่าวหาของนางแม้แต่น้อย “ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็หลบดัชนีพิฆาตของข้าได้แล้ว นับว่าไม่เลว”

ของแบบนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว นางเติบโตจนป่านนี้หากไม่พัฒนาขึ้นบ้างคงได้ขายหน้าผู้อื่น

“พอกันทั้งสองพ่อลูก วันนี้เป็นวันดี กินให้หมดก่อน ข้ากับพ่อของเจ้ามีอะไรจะพูด”

“ท่านแม่พูดถูก กินกันเถิด” พูดจบลู่เสียนก็ไม่ได้สนใจอย่างอื่นนอกจากบะหมี่ไก่ คำแรกที่นางซดน้ำแกงเข้าปาก กลิ่นหอมของเนื้อไก่และสมุนไพรพิเศษก็พุ่งจู่โจมที่นาสิก นางหลับตาพริ้ม กลืนน้ำแกงอุ่นร้อนลงท้อง จากนั้นจึงค่อยๆ ละเลียดกินอาหารด้วยรอยยิ้มน่ารัก ทุกขั้นตอนคล้ายกับการบรรเลงดนตรี มีจังหวะ ระดับ และความต่อเนื่องของการกิน เพลิดเพลินจนหลงลืมบรรยากาศภายนอกเสียสิ้น

เหวินฉิงซูสบตากับสามีโดยที่ลู่เสียนไม่ทันสังเกต ใบหน้าของทั้งสองฉายแววกังวลใจ

“ข้าไม่ไป! ถ้าหากข้าไปแล้วพวกท่านจะอยู่อย่างไร?” ลู่เสียนร้องไห้ ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ ในใจกลับวูบโหวงว่างเปล่า คล้ายกับเรือลำหนึ่งที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางแม่น้ำใหญ่

ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเก็บนางมาเลี้ยง นับสิบปีแล้วที่นางมาอยู่กับพวกเขา

ทว่าไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงแล้วอย่างไร จะให้นางออกตามหาใครก็ไม่รู้น่ะหรือ?

สองสามีภรรยาจนใจจะพูด เมื่อบุตรสาวสุดที่รักหลั่งน้ำตา เหวินฉิงซูต้องทำใจแข็ง นางหลับตา ตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าลู่เสียนฉาดหนึ่ง

เพียะ!

ลู่เสียนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ มือไม้สั่นระริก ดวงใจแหลกสลาย พูดไม่ออกสักครึ่งคำ แม้แต่เหวินฉิงซูเองก็ตกใจกับการกระทำชั่ววูบของตนเองไปด้วย

“เด็กโง่! มาอาศัยอยู่กับชาวยุทธ์เช่นพวกข้ารังแต่จะหาเรื่องตายเร็ว ทุกปีเราต้องย้ายที่อยู่จนเจ้าไม่มีเพื่อน ความรู้ด้านอักษรพวกข้าก็สอนเจ้าไปหมดแล้ว วิชายุทธ์ก็หมดปัญญาจะถ่ายทอด หากเจ้าได้รู้ว่าบิดามารดาที่แท้จริงเจ้าเป็นใคร อย่างน้อยก็ไม่ผิดต่อบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว!”

“ข้าสามารถไหว้บรรพบุรุษของพวกท่านได้!” ลู่เสียนเถียงกลับ น้ำตาของนางเหือดแห้ง ดวงตาแดงก่ำแข็งทื่อ จ้องมองบิดามารดาบุญธรรมด้วยความน้อยใจ

ระยะนี้นางมักจะฝันร้าย ตื่นขึ้นมาก็มีคนทั้งสองคอยปลอบโยน หากว่านางต้องเดินทางไปที่อื่น แล้วนางจะอยู่อย่างไร...

ครอบครัวที่นางเคยมี...

ความผูกพันที่นางมีให้พวกเขา...

สายสัมพันธ์เหล่านี้...ไม่มีค่าเลยหรือ?

ไหนจะเรื่องอาหารการกินอีก นางต้องอดตายเป็นแน่!

“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกข้าอายุแค่สิบขวบก็ต้องออกจากบ้านเพื่อกราบอาจารย์ ข้าไม่ได้เจอเจ้าที่หน้าประตูบ้านเหมือนในนิทาน แต่เราบังเอิญพบเจ้าที่ริมทะเลสาบ ด้วยอาชีพของพวกเรา ไม่คิดจะมีบุตรตั้งแต่แรก มีเจ้าก็นับเป็นภาระ!” เหวินฉิงซูพูดรัวเร็ว แม้สีหน้าของนางจะซีดเผือดทว่าก็ยังฝืนยืนไหว “วันนี้เจ้าเก็บข้าวของเสีย พรุ่งนี้ข้าจะส่งเจ้าขึ้นเรือข้ามฟาก หลังจากนี้จงใช้เวลาตามหาบิดามารดาที่แท้จริง เป็นต้องเห็นตัว ตายต้องเห็นป้ายไม้ พวกข้าจนปัญญาจะเลี้ยงดูเจ้าแล้ว”

สิ้นเสียงของเหวินฉิงซู ก็ประหนึ่งสายฟ้าฟาดเข้าที่กลางศีรษะ พื้นดินคล้ายพลิกกลับ ร่างของลู่เสียนเซวูบ หัวใจแห้งเหี่ยวท้อแท้จนไม่อาจหลั่งน้ำตาได้อีก นางเม้มริมฝีปากแน่น หลับตาเรียกสติ พาร่างที่คล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องไร้ชีวิตเดินเข้าห้องของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง

ลู่เสียนอับจนปัญญา บิดามารดาจงใจขับไล่นางออกจากบ้าน ความจริงนางเคยนึกสงสัยมาโดยตลอด เพราะพ่อแม่บุญธรรมของนางอายุยังไม่มาก จะอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลหากมีลูกอายุเท่านาง สองคู่สามีภรรยา ปีหนึ่งจะย้ายที่อยู่อาศัยหนึ่งครั้ง รู้เพียงพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ บางครั้งบิดามักจะหายไปนานเป็นเดือน กลับมาพร้อมกับเงินถุงใหญ่ ทราบเพียงว่าเขารับภารกิจคุ้มกัน ไม่เปิดโอกาสให้ลู่เสียนถาม และเพราะเหตุนี้ นางจึงไม่มีโอกาสคบหาสหาย ไปที่ใดล้วนต้องทำตัวเป็นคนแปลกหน้า

ชีวิตเช่นนี้ เดิมทีก็คล้ายกับกระแสลมวูบหนึ่ง พัดพาไปที่ใดก็เพียงมีคนรับรู้ ทว่ามิอาจจดจำได้ว่าเป็นลมจากที่ใด ตอนนั้นนางคิดเพียงว่าขอแค่มีบิดามารดา ผู้อื่นล้วนไม่สำคัญ

เพิ่งตระหนักได้ในวันนี้ว่า แท้แล้วตัวนางเองนั้น กระทั่งบิดามารดาก็ไม่มี ลู่เสียนลูบไล้หยกสีแดงในมือ ดวงตาเหม่อลอยไร้ความหวัง จากนั้นจึงเก็บสัมภาระ เสื้อผ้าของนางมีไม่มาก ของใช้จุกจิกยิ่งไม่ค่อยมี มีเพียงสิ่งเดียวที่บิดามารดาบุญธรรมบอกว่าติดตัวนางมาด้วยก็คือป้ายหยกสีแดงสดขนาดครึ่งฝ่ามือชิ้นหนึ่ง ด้านหนึ่งของเนื้อหยกแกะสลักลวดลายแปลกตา ดูไปแล้วก็คล้ายกับนกชนิดหนึ่ง ล้อมกรอบตัวอักษรหนึ่งตัว อีกด้านเป็นวันที่ ลู่เสียนจึงยึดสิ่งนี้เป็นวันเดือนปีเกิดของนางมาโดยตลอด

‘ทุกตระกูลล้วนมีตราสัญลักษณ์ หากเป็นบัณฑิตฝึกหัดย่อมสามารถแอบดูของเหล่านี้ได้’ คำพูดของหมิงจิ้นเหอลอยก้องอยู่ในหู

วันนี้วันเกิดนาง...ลู่เสียนยิ้มขื่นขม เป็นของขวัญที่วิเศษนัก

มือเรียวหยิบหยกสีแดงเนื้อบริสุทธิ์ขึ้นมาพินิจดู ความสงสัยบางอย่างก่อกวนใจนาง หากเป็นตระกูลใหญ่จริงย่อมต้องส่งคนออกตามหา หากว่าบิดามารดาที่แท้จริงของนางยังอยู่ทำไมป่านนี้ถึงไม่มีข่าวอันใดเลย

ไม่ครอบครัวของนางตายหมด ก็อาจเพราะปลงกับความหวังถึงการมีชีวิตอยู่ของนางก็ได้ ความทรงจำในวัยเด็กของลู่เสียนล้วนว่างเปล่า สิ่งที่ติดอยู่ในหัวของนางมีเพียงพรสวรรค์ทางด้านดนตรีและโสตประสาทที่เฉียบคมกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีชนิดใดนางฟังเพียงครั้งเดียวก็สามารถบรรเลงได้ทันที

‘คิดเสียว่าออกหาประสบการณ์ชีวิต…’ ลู่เสียนนึกปลง พยายามปลุกใจตัวเอง นางกางนิ้วมือขวาทั้งห้า งอนิ้วก้อยกับนิ้วนาง ทาบมือลงบนใบหน้า นิ้วชี้ของนางแตะตรงปานแดง นิ้วกลางและนิ้วโป้งทาบทับกับแก้มซ้ายขวา ท่าทางราวกับสวมหน้ากาก หลับตาพริ้มเพื่อรวบรวมสมาธิ

บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่ง จิตใจนิ่งสงบมั่นคงดุจหินผา

ลู่เสียนค่อยๆ ลดมือลง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง จิตใจคลายความสับสน ใบหน้าผ่อนคลายลงหลายส่วน นางมักจะทำเช่นนี้เมื่อคิดอะไรไม่ออกจนเป็นความเคยชิน ความทรงจำจากความฝันผุดวาบเข้า มาคล้ายกับจะนึกอะไรออก

คล้ายกับมีใครสักคนกำลังเรียกหานาง...

บางทีแล้ว...อาจจะเกี่ยวข้องกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางมาโดยตลอดก็ได้…

‘ลองดูสักตั้งก็แล้วกัน’

เรือลำเล็กมุ่งออกจากท่า เดินทางตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

สายน้ำไม่อาจหวนกลับ

ชีวิตของคนผู้หนึ่ง เมื่อออกเดินทางท่ามกลางกระแสชะตากรรม...ล้วนไม่อาจย้อนคืน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel