สุดสายรุ้ง

161.0K · ยังไม่จบ
Readed
69
บท
244
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ณ ที่ใดที่หนึ่ง...หัวใจดวงหนึ่งได้เต้นระรัวขึ้น... แฮตตี้ เบลล์ สามารถที่จะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจดวงนั้น ภายใต้ราตรีอันเงียบกริบ และเยือกเย็นใต้แสงดาว ...เป็นเสียงเต้นของหัวใจดวงเล็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกน้อยของเธอเอง ซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่ง ...หัวใจดวงที่สามารถจะเต้นประสมประสานเป็นดวงเดียวกับหัวใจของเธอ หัวใจดวงที่พร่ำเพรียกเรียกหา ให้เธอได้กลับมาโอมอ้อมถนอมขวัญเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง...ลูกผู้สืบมาด้วยสายเลือดของเธอโดยแท้...แต่ทว่า...ทำไมเธอจึงเอื้อมไปไม่ถึงตัวแกเล่า ?...

นิยายสยองขวัญนิยายแอคชั่นนิยายผจญภัยนิยายสืบสวนสอบสวนดราม่าแฟนตาซี สยองขวัญพาลูกกหนี

บทที่ 1

ใบไม้แห้งใบหนึ่ง...กำลังร่วงลงสู่ดิน...

แฮตตี้มักจะเห็นมันเป็นสิ่งแรกเสมอทันทีที่เข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน ใบไม้เล็กๆ สีแดง...สีเหลือง...หมุนตัวลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะตกลงสู่พื้นดินด้วยแรงลม ใบไม้แห่งฤดูใบไม้ร่วง หมดอายุขัยไปตามกาลเวลาเป็นเช่นนี้อยู่ชั่วนาตาปี เหมือนกับใบที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นนอกบ้านของมาม่าเฮเลน ที่สปริงฟิลด์

ใบไม้นั้นกรีดเสียงร้องก้องเมื่อตกต้องสู่เส้นทางที่โรยกรวด ร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งกางแขนกางขา ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง ถูกแต่งแต้มด้วยดอกดวงจากแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดกิ่งปาล์มลงมาเสียงร้องของผู้หญิง เสียงไซเรนส์ที่โหยหวน เปลวไฟที่พลุ่งโพลงขึ้น...และทอมมี่...ตุ๊กตาตัวนั้นมิได้เคลื่อนไหวเลย เมื่อเธอหวนรำลึกถึงความฝันนั้นขึ้นมาคราใด ยังจดจำถึงช่วงนาทีเยียบเย็นนั้นได้ ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวเลยทั้งสิ้น...

ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวเลยบนโลกที่เยือกเย็นลูกนั้น ร่างที่ไม่ไหวติงนอนแผ่อยู่บนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะหยาดเลือดลามไหลซึมซาบอยู่บนพื้นหิมะสีแดงฉานติดอยู่กับสีขาวเกล็ดหิมะโรยละอองลงมาเห็นเป็นปุยสีขาวลมสงัดหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้าสู่ทั้งเรือนกายและเรือนใจของเธอ ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนที่จะคืบคลานเข้าไปให้ถึงหิมะกองใหญ่นั้น ไปให้ถึงเรือนร่างที่แหลกสลายย่อยยับ...ทอมมี่...

ในฝันนั้น เธอกำลังเดินอยู่ตรงกลางระหว่างม่านไฟกับม่านน้ำแข็ง ทั้งสองสิ่งนี้มิได้ทำอันตรายเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่า...มันได้คืบคลานเข้ามา และทำลายร่างบุคคลที่เธอรัก...บุคคลที่เธอทำลายลงด้วยน้ำมือของตัวเอง...

ทันใด แฮตตี้ก็ดิ้นรนกระเสือกกระสน จนตื่นและหลุดพ้นจากความฝัน เหงื่อชุ่มไปทั้งร่าง ความหวาดหวั่นแทรกอยู่ในทุกขุมขน

“ทอม...” เสียงกระซิบที่เยือกเย็นแผ่วขึ้นในยามราตรีที่มืดมิด “ทอมมี่...” เป็นความเจ็บปวดรวดร้าวที่แรงร้อนเหมือนพิษไฟ

และแฮตตี้ก็คิดไปว่า เธอสัมผัสได้ในความเคลื่อนไหวที่คล้ายจะแทนเสียงตอบรับ บังเกิดความใคร่รู้ขึ้นมาว่า สมองเล็กๆ ของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์จะสามารถร่วมรับรู้ในความฝันนั้นด้วยหรือไม่ ความฝันที่เกิดขึ้นทั้งในคืนนี้ และกับทุกคืนที่ผ่านมา นี่เธอกำลังสอนลูกน้อยให้จดจำรำลึกถึงความเศร้าโศก ความผิดบาปทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้...ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นชมโลกเชียวหรือ?...ลูกน้อยซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอโดยแท้...

พ่อหนู...แฮตตี้ดีใจนักที่รู้ว่าทารกน้อยในครรภ์ของเธอเป็นผู้ชาย พ่อของเด็กต้องการจะให้แน่ใจว่าลูกของเขามีสุขภาพดีที่สุด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ จะต้องเป็นลูกผู้ชายเขาจ่ายเงินอย่างมากเพื่อที่จะรู้ให้ได้ในเรื่องนี้ นายแพทย์ แฮรี่เลนนาร์ดออกจะไม่แน่ใจอยู่เหมือนกัน เมื่อมีการตรวจเพศของทารกด้วยวิธีการที่เรียกกันโดยศัพท์ของแพทย์ว่า “แอ็มนิโอเซ็นทิซีส...” ทารกในครรภ์ของเธอเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ และสุขภาพสมบูรณ์มาก

แต่ทว่า ความหม่นมัวในหัวใจเล่า...ยิ่งหน้าท้องของเธอขยายออกตาม ความเจริญเติบโตของทารกในครรภ์...ความหม่นมัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในใจของแฮตตี้อย่างมากมาย เพราะในความเป็นจริงแล้ว สตรีผู้ให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ นั้น ไม่อาจจะทนมองดูสภาพที่ตนเองถูกพรากทารกนั้นไปจากอกได้แน่

เราจะคิดอย่างนั้นไม่ได้เป็นอันขาด...เธอเฝ้าบอกตัวเองเหมือนที่ได้ทำมาทุกคืนเมื่อต้องผวาตื่นขึ้นจากความฝัน มันไม่สำคัญอะไรเลย...ไม่สำคัญเลยจริงๆ เด็กน้อยในครรภ์ก็จะขับไล่ความฝัน และความทรงจำทั้งหลายให้สิ้นสุดลง นั่นสิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลังจากที่เราได้รับสิ่งตอบแทนคุ้มกับการที่จะต้องสูญเสียเด็กคนนี้ไปแล้วความฝันก็จะสลายลง เปลวไฟม่านน้ำแข็ง และความตายก็จะสิ้นสุดลงเสียที

แฮตตี้ลุกขึ้นนั่งในเตียง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีเทาลางๆ ยามใกล้รุ่งของวันในเดือนเมษายนในไม่ช้าเสียงของยวดยาน พาหนะที่เริ่มสัญจรไปมาแต่เช้าตรู่บนถนนใจกลางนครนิวยอร์คก็ค่อยๆ ดังขึ้นทีละน้อย ...เสียงกระแทกกระทั้นของรถโกดัง เสียงแตรรถแท็กซี่น่ารำคาญหู เสียงเห่ากระชั้นแหลมๆ ของหมาโดเบอร์แมนซึ่งเจ้าของที่อยู่ช่วงตึกต่อไปพาออกเดินตอน 7 โมงเช้าของทุกวัน มันยังเช้าเกินไปที่จะลุกขึ้น ในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์นี้วันเวลาดูช่างยาวนานนัก การที่ต้องอยู่คนเดียว มีเพื่อนเพียงทารกน้อยอยู่ในครรภ์นั้นทำให้ว้าเหว่และอ่อนเพลียยิ่งนัก นึกถึงความรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อครั้งที่ทอมมี่ใกล้จะเกิด แต่ครั้งนี้เธอมิได้เลือกที่จะอยู่คนเดียวอย่างว้าเหว่เช่นนี้ ความรู้สึกสลดสังเวชในตัวเองครั้งนั้นรุนแรงและโหดร้ายกว่านี้นัก

ทอม...อนาคตในวันข้างหน้าช่างน่าหวาดหวั่นอะไรเช่นนี้...

แฮตตี้เอนหลังพิงหมอนปิดเปลือกตาลง ยังมีงานที่จะต้องทำให้เสร็จ ตุ๊กตาที่จะต้องประดิษฐ์ และเสื้อผ้าชุดใหม่ที่จะไว้ใช้สวมใส่ เมื่อรูปร่างเกือบเพรียวบางสามารถเคลื่อนไหวได้กระฉับกระเฉงใหม่อีกครั้ง แต่ทว่าขณะนี้สมาธิกำลังคลอนแคลนลง

ที่จริง เธออยากที่จะได้เย็บเสื้อผ้าตัวน้อยๆ ไว้สำหรับทารกน้อยได้สวมใส่...แต่ว่า ...แกจะต้องเป็นสมบัติของผู้หญิงอื่นนี่...

แฮตตี้เคลิ้มไป...มือวางอยู่ตรงหน้าท้อง ฟังเสียงหัวใจอีกดวงหนึ่งที่เต้นอยู่ในนั้น ไม่อยากจะให้แกต้องพรากจากไปเลย

ทอมมี่...ใบไม้ที่แห้งเกราะใบนั้น ลุกโชนอยู่ในเปลวไฟ

อีกไม่นานแล้ว...อีกเพียง 2-3 อาทิตย์เท่านั้น...ตามที่นายแพทย์ แฮรี่ เลนนาร์ดได้ให้สัญญาไว้ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร แต่เขาก็คือนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี และวันเวลาถึง 7 ปีที่แสนทารุณโหดร้ายนั้นจะลบเลือนไปจากความทรงจำเสียที ความคลั่งแค้นเกลียดชังจะมลายหายไป เมื่อทารกน้อยเพศชายนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น ความฝันจะยุติลงไม่ว่าจะเป็นในยามหลับหรือยามตื่น

วันที่ 5 เดือนพฤษภาคม มิสซิส เอช. เบล ได้ให้กำเนิดลูกน้อยที่โรงพยาบาล มิดทาวน์ เมมโมเรียล ในนิวยอร์ค ซิตี้ ทารกน้อยนั้นมีน้ำหนักถึง 7 ปอนด์ 3 ออนซ์ และเป็นชาย มิสซิส เบลล์ อยู่ในความดูแลของสูติแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคือนายแพทย์ แฮรี่ เลนนาร์ด ได้พักอยู่ในห้องพิเศษชั้นหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องซุบซิบกันในหมู่พยาบาลประจำตึกอย่างทึ่งจัด เพราะห้องพิเศษระดับนี้ราคาแพงมาก

แต่กระนั้น ในการสนทนาปรารภกันอยู่เบื้องหลัง ทุกคนได้แสดงออกถึงความสงสารเห็นใจในตัวสตรีผู้น่าสงสารนี้เพราะมิสซิส เบลล์ผู้แสนจะน่ารักไม่มีสามี ลูกน้อยของเธอจึงเป็นลูกไม่มีพ่อ

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหรอกน่า” ลีน่า โปรวิคบอกกับไมร์น่า เฟลตัน เมื่อนางพยาบาลทั้งสองคุยกันตอนที่ดื่มกาแฟก่อนออกเวร “ฉันได้ยินมาจากนางพยาบาลห้องพิเศษนะ เขาเล่าให้ฟังว่าหมอเลนนาร์ดเองเป็นคนพูดว่าสามีของมิสซิส เบลล์น่ะตายตอนที่เธอตั้งท้องได้ 3 เดือนเท่านั้นละ...เป็นเรื่องเศร้าจริงๆ เหมือนในนิยายไม่มีผิด เกิดขึ้นตลอดเวลาเลย

ไมร์น่าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

“จริงๆ นะเธอ...ในนามแห่งพระเจ้าเชียวละ” ลีน่ายืนยัน เพราะไมร์น่านั้นชอบที่จะคิดว่าตัวเองรู้เรื่องอยู่เสมอ “นี่...ลองดูหน้าเขาสิ...ดูก็รู้แล้ว สวยบริสุทธิ์แต่ก็เศร้ามากทีเดียว”

ลีน่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ รู้สึกสงสารเห็นใจคนไข้สาวผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง เพราะชีวิตในครอบครัวของเธอเองก็ตกระกำลำบากมามาก...ก็เพราะเหตุนี้หรือมิใช่ที่ทำให้เธอต้องออกหางานทำตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้? ...แต่ที่จริงแล้ว เด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกก็ควรจะมีพ่อด้วยกันทั้งนั้น นั่นไงล่ะผู้เข้ามาเยี่ยมรายสุดท้ายกำลังรออยู่ตรงลิฟต์แล้ว อาจจะเป็นพ่อที่แสนจะภาคภูมิใจ หรือปู่ย่าตายายของเด็ก แต่ทว่า...มิสซิสเบลล์ที่น่าสงสารไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเลย ลีนาวางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือลงพร้อมกับผลุดลุกขึ้นยืน

“ฉันเห็นจะต้องไปเยี่ยมเสียหน่อย” เธอว่า...ลีน่าโปรวิคนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนไข้ยิ่งนัก ท่าทางของเธอร่าเริงอบอุ่น มีความเป็นแม่และจิตใจดี