บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

หลายวันต่อมาจูชางหลางได้รับมอบหมายจากบิดาให้ไปติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโรงหมอเพื่อรักษาชาวบ้านที่ยากไร้ดั่งเช่นเคย

หยางอี้หงขอติดตามมาด้วย จูชางหลางทนสายตารบเร้าของเด็กสาวไม่ได้จึงใจอ่อน

“ข้าบอกสิ่งใดเจ้าต้องเชื่อฟังเข้าใจหรือไม่”

เด็กน้อยพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น

“เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ”

เด็กสาวอยู่ในรถม้าคันเดียวกับเขา กำลังนั่งทบทวนคัมภีร์คำสอนของขงจื๊อก่อนที่จูชางหลางจะทดสอบนาง

“อ่านจบแล้วเจ้าเข้าใจหรือไม่”

จูชางหลางเอ่ยถาม

“เข้าใจเจ้าค่ะ”

“เจ้าเข้าใจว่าอย่างไร”

หยางอี้หงเอ่ยว่า

“คัมภีร์เล่มนี้สอนไว้ว่า เมื่อเห็นได้ชัดว่าไม่อาจบรรลุเป้าหมาย ก็อย่าลดเป้าหมายนั้นลง ขอให้ปรับเปลี่ยนวิธีการเดินเสียใหม่เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้เจ้าค่ะ”

หยางอี้หงเป็นเด็กเรียนรู้รวดเร็ว อ่านตำราเพียงไม่นานก็ล้วนแต่แตกฉานจึงทำให้จูชางหลานชื่นชอบนางเป็นพิเศษ

เขาเรียนสิ่งใดมาก็อดไม่ได้ที่จะนำมาสอนนางด้วย และหยางอี้หงเองก็ชื่นชอบที่จะเรียนรู้ด้วยความกระตือรือร้น ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงเกาะติดเขาแจเป็นเงาตามตัว

จูชางหลางพยักหน้าเมื่อนางตอบเช่นนั้น คัมภีร์ตัวหนังสือมากทั้งยังยืดยาวหยางอี้หงยังสามารถสรุปได้ในไม่กี่คำ นับว่าเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวนัก

จู่ ๆ รถม้าพลันสะดุดหยางอี้หงหน้าคะมำ จูชางหลางจำต้องจับข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้นางหน้าคว่ำลงไป

หยางอี้หงยิ้มแหย

“ขอบคุณซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

บ่าวของเขานามจั่วเจี้ยนที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอ่ยขึ้นทันใด

“เรียนซื่อจื่อ รถม้าหยุดกระทันหันเพราะมีชาวบ้านมาขวางรถม้าขอรับ”

จูชางหลางจึงเอ่ยว่า

“เจ้าไปดู ไยพวกเขามาขวางทาง”

จั่วเจี้ยนหายไปชั่วครู่ จึงกลับมารายงาน

“พวกเขาเห็นตราประจำจวนจึงอยากมาร้องขอความเป็นธรรม บุตรสาวของพวกเขาถูกจับเข้าวังหลวง หลังจากนั้นออกมาก็กลายเป็นศพไม่รู้จะร้องเรียนผู้ใดขอรับ”

จูชางหลางยังมีสีหน้าราบเรียบ

“สั่งให้พวกเขาถอยให้พ้นทาง มิเช่นนั้นจะถูกจับข้อหาขัดขวางรถม้าขุนนางมีโทษโบยสามสิบไม้”

จั่วเจี้ยนรับคำ “ขอรับ”

ทว่าก่อนที่จั่วเจี้ยนจะหายไป จูชางหลางรั้งเขาไว้ด้วยคำพูดหนึ่ง

“หลังจากนั้นเจ้าจัดการลับ ๆ ให้เงินค่าทำศพปลอบขวัญ บอกพวกเขาว่าหากไม่อยากต้องโทษประหารตายตามกันก็จงอยู่เงียบ ๆ เสีย”

“ขอรับ”

ไม่นานเสียงร้องระงมของชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกก็ดังไปทั่ว เมื่อถูกทหารของจูชางหลางใช้แส้โบยให้หลีกทาง หยางอี้หงมองจูชางหลางอย่างไม่เข้าใจ จูชางหลางจึงเอ่ยว่า

“ข้าไม่อาจช่วยอย่างเปิดเผย เพราะเท่ากับตั้งตนเป็นศัตรูกับฝ่าบาทโดยตรง มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดทำเช่นนั้น”

หยางอี้หงเข้าใจโดยพลัน

“อี้หงเข้าใจซื่อจื่อเจ้าค่ะ ในใจของซื่อจื่ออย่างไรก็มีเพียงราษฎรเหล่านี้ ยามนี้ไม่อาจช่วยได้ซื่อจื่อย่อมรู้สึกเจ็บปวดใจนัก”

หยางอี้หงเอ่ยอย่างรู้ความ จูชางหลางลูบศีรษะเด็กน้อยแล้วเอ่ยว่า

“ในใจของข้าไม่อาจมีรักใดยิ่งใหญ่กว่าราษฎรไปได้ อี้หงเจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาทุกข์ทรมานเพียงใด ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นจากแคว้นเจี่ยที่รุกรานแผ่นดิน ต่อมาก็โอรสสวรรค์ที่....”

จูชางหลางเอ่ยได้เพียงเท่านั้นเขาก็หยุดพูด

“ช่างเถิดอย่างไรเจ้าก็ยังเด็กนัก เรื่องบางเรื่องเด็กผู้หญิงเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

หยางอี้หงจึงเอ่ยว่า

“อี้หงไม่ใช่เด็กแล้วเจ้าค่ะ หากมีสิ่งใดจะช่วยซื่อจื่อได้อี้หงพร้อมจะทำทุกอย่าง”

จูชางหลางอมยิ้มเล็กน้อย

“เรื่องของสงคราม เป็นเรื่องที่เริ่มจากผู้เป็นใหญ่ ที่วัน ๆ จ้องที่จะรุกรานผู้อื่นเพื่ออำนาจและตอบสนองความละโมบของตนเอง พวกเขาทำให้ผู้คนยากไร้ ข้าเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดพวกเขาไม่หยุดที่จะทำสิ่งนี้ ก่อให้เกิดความแค้นและล้างแค้นกันไปมาไม่มีที่สิ้นสุด ข้าคิดว่าหากหยุดการกระทำนี้จะส่งผลดีต่อราษฎรเสียมากกว่า ทว่าใจคนนั้นยากที่จะหยั่งถึง ทว่าในยามนี้ตัวข้าเองก็ไม่อาจปล่อยวางได้ดั่งพุทธองค์ จึงไม่บังอาจกล้าที่จะสั่งสอนผู้อื่นได้เช่นกัน”

หยางอี้หงฟังเขาตาแป๋ว ทั้งยังกะพริบตาปริบ ๆ จูชางหลางเห็นใบหน้าน่ารักของนางเป็นเช่นนี้จึงยกมือลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

“เอาเถิด ข้าเอ่ยยืดยาวเจ้าอาจไม่เข้าใจ”

หยางอี้หงย่อมไม่เข้าใจที่ซื่อจื่อพูด

จูชางหลางไม่ได้อธิบายต่อแล้ว เขาถอนหายใจแล้วคิดว่า ช่างเถิด อย่างไรนางก็ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ

เขาลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยว่า

“เจ้าอ่านเล่มนี้ต่อเถิด หนังสือเล่มนี้ก็น่าสนใจยิ่งบอกถึงวิธีการครองเรือนของสตรี”

จากนั้นจูชางหลางก็ไม่เอ่ยอะไรต่อแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมือของตน เป็นการจบการพูดคุยระหว่างคนสองคน

หยางอี้หงเห็นว่าเขามีสีหน้าเรียบเฉยดวงตาจับจ้องอยู่กับตัวอักษร ก็ไม่ได้คิดก่อกวนจูชางหลางอีก

ซื่อจื่อของนางก็เป็นเช่นนี้ เขาไม่เคยยิ้มอย่างร่าเริงและหัวเราะอย่างมีความสุขเหมือนเด็กหนุ่มผู้อื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

หยางอี้หงสงสารซื่อจื่อนัก ชีวิตเช่นนี้ท่านแม่บอกว่า ช่างเป็นชีวิตที่น่าสงสารและโดดเดี่ยวยิ่งนัก

หลายวันต่อมาช่วงเย็นยามซวี ท่านแม่ของหยางอี้หงได้ตุ๋นรังนกให้กับซื่อจื่อโดยมีหยางอี้หงเป็นผู้ช่วย และเป็นหยางอี้หงที่นำมาให้จูชางหลางด้วยตนเอง

“ซื่อจื่อระยะหลังนี้ทั้งอ่านหนังสือทั้งฝึกยุทธ์หักโหมยิ่งนัก ดื่มรังนกตุ๋นนี่เสียก่อนสิเจ้าคะ อี้หงทำด้วยตนเองเชียวนะ”

เด็กน้อยใบหน้าน่ารักในอาภรณ์สีกลีบบัวเดินถือตะกร้าอาหารมาอย่างระมัดระวัง ความจริงจูชางหลางเองก็อิ่มแล้ว ทว่าเมื่อเห็นความตั้งใจของนางจึงพยักหน้า

“เจ้าหรือทำเอง”

“เจ้าค่ะ อี้หงให้ท่านแม่ช่วยเพียงเล็กน้อย”

จูชางหลางอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“ข้าอิ่มแล้ว เจ้ากินเองเถิด”

หยางอี้หงทำหน้าตาน่าเอ็นดูทั้งยังดูน่าสงสารดวงตากลมโตยังหม่นแสงลงด้วยความเสียใจที่เขาไม่ยอมกิน นางยังหว่านล้อมจูชางหลางด้วยน้ำเสียงที่น่ารักน่าชัง

“ท่านแม่บอกว่ารังนกนี้ราคาแพงยิ่งนัก เป็นของที่มีให้ซื่อจื่อเท่านั้น คนที่ตุ๋นรังนกได้ดีมีไม่มาก บัดนี้อี้หงทำเป็นซื่อจื่อจะไม่ลองกินหน่อยหรือเจ้าคะ”

จูชางหลางเห็นว่าความตั้งใจจริงของเด็กน้อย แม้จะอิ่มเพียงใดก็อดใจอ่อนไม่ได้ เขาวางตำราลงแล้วพยักหน้า

“เช่นนั้นก็ยกมาเถิด”

หยางอี้หงดีใจเป็นอย่างยิ่ง นางรีบเดินมาวางตะกร้าอาหารลงบนโต๊ะแล้วค่อย ๆ ประคองรังนกตุ๋นชามนั้นออกมา

“ซื่อจื่อเจ้าค่ะ ดื่มให้หมดนะเจ้าคะ”

ดวงตากลมโตคู่งามเป็นประกายทำให้คนใจอ่อน จูชางหลางแค่นกินจนหมดชาม ถึงรังนกตุ๋นจะไร้รสชาติก็ยังเอ่ยชมนางเพื่อให้กำลังใจ

“ตุ๋นได้ดี เมื่อเจ้าโตแล้วหากออกเรือนไปข้าก็ไม่ห่วงแล้ว”

ดวงตาคู่งามเปล่งประกายระยิบระยับ ใบหน้างามยังแสดงออกว่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง จูชางหลางจึงอดยกมือลูบใบหน้าเล็กของนางไม่ได้

เด็กน้อยจับมือของซื่อจื่อทั้งยังแนบแก้มลงมาออดอ้อนน้ำเสียงน่ารัก ใบหน้าเล็กกลิ้งอยู่บนมือของเขา

“ข้าไม่ออกเรือนเจ้าค่ะ จะอยู่รับใช้ข้างกายซื่อจื่อจนวันตาย”

จูชางหลางยกมุมปากเล็กน้อยบิดแก้มของนางแล้วเอ่ยว่า

“เด็กโง่ เป็นสตรีก็ต้องออกเรือนจะอยู่กับข้าตลอดไปได้อย่างไร”

หยางอี้หงถามใสซื่อ

“อี้หงอยู่กับซื่อจื่อไม่ได้หรือเจ้าคะ”

จูชางหลางจับมือคู่เล็กเอาไว้ทั้งอมยิ้ม

“เมื่อเจ้าโตแล้วจะได้รับคำตอบ”

จูชางหลางไม่เคยคิดจะรั้งหยางอี้หงเอาไว้ข้างกายตลอดไป ทว่าเมื่อลองคิดถึงชีวิตต่อไปในวันหน้าหากไม่เห็นรอยยิ้มสดใสงดงามของนาง ไม่ได้สูดกลิ่นหอมจากกายนาง เขาจะเป็นเช่นไรกันนะ

เด็กน้อยย่นจมูก

“ซื่อจื่อ ไยต้องรอถึงโต ซื่อจื่อให้คำตอบเลยไม่ได้หรือเจ้าคะ”

จูชางหลางบิดแก้มยุ้ยเบา ๆ น้ำเสียงนั้นก็อ่อนโยนยิ่งนัก

“ข้างกายของข้าไม่ได้รื่นรมย์นักหรอก เจ้าดีเพียงนี้ข้าอยากให้เจ้ามีความสุข”

ใบหน้างดงามพลันหดหู่ นางกัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกว่าไม่อาจยินยอม ทว่ารู้ฐานะของตนเองในยามนี้ดี จึงได้แต่ก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า

“อี้หงไม่ไปที่ใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ”

การสนทนาต้องยุติ เมื่อจั่วเจี้ยนเข้ามาปรนนิบัติซื่อจื่อในยามเย็น จั่วเจี้ยนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อพบว่ามีชามเปล่าวางอยู่ด้านหน้านายของตนเอง เขาหันไปมองหยางอี้หงทันใด

“อาหงเจ้านำสิ่งใดมาให้ซื่อจื่อกิน”

เด็กน้อยหันมามองจั่วเจี้ยน น้ำเสียงที่ตอบค่อนข้างอวดตนไม่น้อย

“รังนกตุ๋น ข้าทำเองเลยเจ้าค่ะ แต่พี่เจี้ยนกินไม่ได้ เป็นของซื่อจื่อ ราคาแพงมาก”

จั่วเจี้ยนตกใจเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาคู่คมเบิกกว้างแทบจะถลนออกมา

“ซื่อจื่อ ท่านไม่ได้ทดสอบพิษก่อนใช่หรือไม่ ท่านอ๋องกำชับว่าอย่างไรลืมแล้วหรือขอรับ”

จูชางหลางย่นหัวคิ้ว เขาไม่พอใจที่จั่วเจี้ยนเอ่ยคำนี้ ยิ่งเห็นใบหน้าน่ารักของหยางอี้หงสลดลงไม่น้อยยิ่งอยากจะซัดปากพล่อยของจั่วเจี้ยนไปสักหมัด

“หุบปากของเจ้าลงเสียอาเจี้ยน อี้หงของข้าเป็นเด็กน่ารักเพียงนี้ จะวางยาพิษข้าได้อย่างไร เจ้าทำให้นางเสียใจแล้ว”

“แต่ซื่อจื่อขอรับ”

จูชางหลางถลนตามองจั่วเจี้ยน

“ไม่ได้ยินหรือข้าสั่งให้หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเสีย”

จั่วเจี้ยนไม่มีคำพูดแล้ว เขาย่อมไม่พอใจที่ซื่อจื่อไว้ใจเด็กนี่เกินไป ทว่าเมื่อเห็นนางมองเขาทั้งน้ำตาคลอ หัวใจของเขาจึงอ่อนลงมาก

เด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษเสียจริง แค่มองคนด้วยสายตาก็ทำให้คนรักและสงสารนางเช่นนี้ ไม่แปลกที่ซื่อจื่อจะถนอมนางมากเพียงนี้

จั่วเจี้ยนถอนหายใจยาว หลุบสายตาลงแล้วเอ่ยว่า

“ขอรับ บ่าวก็ไม่คิดว่าอาหงจะวางยาซื่อจื่อได้ เพียงแต่บ่าวเป็นห่วงซื่อจื่อต้องระวังตัวให้มาก ท่านอ๋องกำชับบ่าวให้ดูแลซื่อจื่อให้ดี หากเกิดสิ่งใดขึ้นบ่าวแย่แน่ขอรับ”

จูชางหลางหัวเราะขบขัน

“จั่วเจี้ยนผู้นี้ เจ้าคิดดูเถิดที่ผ่านมาเป็นข้าดูแลเจ้าหรือเจ้าดูแลข้ากันแน่ ไปที่ใดมาอีกจึงไม่ได้กินข้าวเย็น รีบไปที่ห้องครัวเถิดข้าสั่งให้คนเก็บอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว”

ถูกซื่อจื่อขับไล่อย่างแข็งขัน จั่วเจี้ยนจึงยิ้มแห้ง ๆ เขาอายุสิบสี่ย่างสิบห้าปี เข้าสู่วัยหนุ่มน้อยแล้วจึงอยากทำเรื่องที่คนวัยหนุ่มเขาทำเสียหน่อย

ระยะหลังมีบ่าวในจวนชวนเขาไปลองเปิดหูเปิดตาที่สำนักนางโลม เขาเพียงแต่ไปเปิดประสบการณ์มาหวังเอามาเล่าให้ซื่อจื่อฟัง

เพราะเข้าไปแล้วไม่มีเงินติดกาย คนที่พาไปนั้นก็มีเงินน้อย พวกเขาจึงเข้าไปดื่มน้ำชาจ่ายเงินเล็กน้อยชมการร่ายรำแล้วกลับมา ข้าวยังไม่ตกถึงท้องจึงรู้สึกหิวยิ่งนัก

จั่วเจี้ยนลูบท้องลืมเรื่องยาพิษที่ตนคิดมากไปเสียสนิท จูชางหลางโบกมือไล่คน

“พวกเจ้าทั้งสองคนออกไปเถิด จั่วเจี้ยนเจ้าก็ไปกินข้าวเสีย อาหงเจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าจะอ่านตำรา”

หยางอี้หงยอบกาย เก็บตะกร้าอาหารรับคำซื่อจื่อแผ่วเบา ก่อนจะออกจากเรือนของซื่อจื่อยังหันมายิ้มแป้นอย่างน่ารักให้จั่วเจี้ยน

จั่วเจี้ยนแม้จะไม่พอใจที่นางเอาของให้ซื่อจื่อกินโดยพละการ ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นหัวใจพลันอ่อนยวบอดยิ้มตอบกลับนางไม่ได้

เมื่อหยางอี้หงกลับไปถึงเรือนของตน พบว่าบิดาและมารดารอนางอยู่ก่อนแล้ว

“ท่านแม่ท่านพ่อ เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ เหตุใดท่านมีดาบอยู่ในมือ ท่านแม่ยังแต่งกายด้วยชุดบุรุษเช่นนี้”

มารดาของนางยกมือจรดปากส่งเสียง ชู่ ให้นางเงียบเสียง ก่อนจะกระซิบว่า

“รังนกตุ๋นให้ซื่อจื่อกิน ทำสำเร็จหรือไม่”

หยางอี้หงพยักหน้าเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ

“เจ้าค่ะ ซื่อจื่อกินไม่เหลือติดชามเจ้าค่ะ ข้าเก่งหรือไม่”

รอยยิ้มของมารดาผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะลูบหัวบุตรสาวอย่างอ่อนโยน

“หงเอ๋อร์ของแม่ย่อมเก่งอยู่แล้ว งานที่แม่มอบให้ล้วนเป็นเจ้าที่ทำสำเร็จ แผนการได้เตรียมเอาไว้แล้ว ต่อไปก็รักษาตัวให้ดี หงเอ๋อร์จำเอาไว้ว่าเจ้าไม่อาจอ่อนแอได้เหมือนผู้อื่น จากกันวันนี้ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาได้พบหน้าหรือไม่ เจ้าจงจำคำแม่เอาไว้เจ้าคือท่านหญิง อย่าได้หวาดกลัวและยอมก้มหัวให้ผู้ใด”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel