บท
ตั้งค่า

ตอนที่2.

นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้หานหรงเหยาไม่เคยยิ้มอีก และทำให้เดินทางถึงเมืองผิงเหยา เพราะรู้ถึงปัญหาจึงไม่เอ่ยถามอะไร ฐานะของเขาสามารถดูแลสหายได้ แต่หานหรงเหยามิได้อยู่ที่นี่ทิ้งชีวิตไปวันๆ

ยังช่วยวิเคราะห์วางแผนเส้นทาง เป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาในกองทัพ แต่ไม่ว่าอย่างไร หานหรงเหยาผู้มีใต้ใบหน้าดุจแผ่นน้ำแข็งก็ยังชอบพูดจาหยอกล้อประชดประชัน มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่จางหายไป

หลังจากอาหารมื้อเย็นผ่านไป ชายหนุ่มทั้งสองนั่งดื่มสุราสนทนาเรื่องราวทั่วไป จูอี้ซินที่คอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ถูกไล่ให้ออกไป แม้ใจนางอยากอยู่ใกล้ แต่ด้วยมารยาทและรู้หน้าที่จึงได้แต่จำใจเดินออกมา

“ลมหนาวพัดผ่านมาอีกคราวแล้วสินะ”

“มันก็เป็นเช่นนี้ทุกปีนั้นแหละ” หานหรงเหยาเอ่ยแล้วรินสุราให้สหาย

“นาง...เป็นพี่สะใภ้ของเจ้ามาสามปีแล้ว ยังตัดใจไม่ได้อีกหรือ? แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะกลับไปเป็นหานหรงเหยาคนเก่า ทางที่ดีหาสตรีตบแต่งเป็นภรรยาสักคนสิ”

“เจ้ายังไม่แต่งภรรยา ข้าก็ยังไม่เคยเดือดร้อนแทนเจ้า”

“เจ้านี่มันหัวแข็งชะมัด! เออ! ได้ยินว่าหอชมบุหลันหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองมีหญิงงามมาใหม่เป็นที่กล่าวถึงมากยิ่งนัก ข้าว่าจะชวนเจ้าไปพิสูจน์เสียหน่อย”

คนถูกชวนเลิกคิ้วขึ้นแล้วแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “เจ้าอยากไปก็ชวนลูกน้องไปเถิด ข้าไม่ค่อยถูกชะตากับสถานที่แบบนั้น”

“ยังไม่ได้ไปแล้วตัดสินว่าไม่ถูกชะตามันไม่ถูกต้องนะ” ซุนเจ้าเฟิงตบเข่าเสียงดัง “ข้าเองได้ยินว่ามีสาวงาม ยังต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาเลย”

หานหรงเหยาได้แต่โคลงศีรษะไปมา แต่เขาก็รู้นิสัยดึงดันของซุนเจ้าเฟิงดี ยิ่งปฏิเสธก็หาทางลากไปให้ได้ เช่นนั้นแล้วเขาจึงได้แต่ยอมทำตามใจสหายรัก

สายลมแห่งเหมันต์พัดผ่านลูบไล้บาดแผลในใจให้เจ็บปวดขึ้นมาอีกครา

....

หญิงสาวในชุดผ้าต่วนสีครามอ่อนหวานดุจดอกไม้ ทุกการก้าวย่างพาให้เนื้อผ้าพลิ้วไหวไปกับเรือนร่างที่เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้ง นางดูภูมิใจกับชุดสวยที่ได้สวมและคอยดูว่าเสื้อผ้าจะเลอะเทอะเพราะความซุ่มซ่ามของตน เป็นครั้งแรกที่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามเช่นนี้ มือเรียวกระชับห่อผ้าที่คล้องไหล่ไว้แน่นแต่สายตากลับมองเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่กระนั้นก็มิรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเป้าสายตาของผู้อื่นเช่นกัน

หลิวเข่อซิงออกจากหุบเขาจื่อเซ่อ เป็นครั้งแรก และนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ตลาด’ นางเคยเห็นมนุษย์อยู่บ้าง ก็เฉพาะเวลาที่มนุษย์เหล่านั้นหลงเข้าไปในหุบเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะกลายเป็น ‘อาหาร’ ของนางและบรรดาศิษย์พี่

ถูกแล้ว ‘มนุษย์’ สำหรับศิษย์พี่และท่านแม่นั้น ล้วนเป็นได้แค่ ‘อาหาร’ เท่านั้น

หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่าตนเองมาอยู่หุบเขาจื่อเซ่อตั้งแต่เมื่อใด หรือก่อนหน้านี้นางเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน รู้แค่ว่าตนเป็นปีศาจจิ้งจอกแดง นางต้องได้พลังชีวิตจากมนุษย์เพื่อต่ออายุขัยของตน แต่นางยังไม่เคยออกล่าอาหารด้วยตนเอง ได้แต่คอยรับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ด้วยความสงสาร

นางไม่ใช่แค่ปีศาจจิ้งจอกแดงฝึกหัดเท่านั้น แถมยังเป็นขั้นต่ำที่บรรดาปีศาจตนอื่นๆ มองด้วยหางตาอย่างดูแคลน นางจึงเป็นเสมือนหญิงรับใช้คอยรับใช้ปีศาจตนอื่นในหุบเขา แต่ปีศาจทุกตนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของ ‘ท่านแม่’ บรรดาศิษย์พี่น้องล้วนถูกท่านแม่เลี้ยงดูมาทั้งสิ้น เพียงแค่ต่างที่มาแต่อยู่ร่วมกันที่หุบเขาจื่อเซ่อ นางเคยได้ยินศิษย์พี่พูดคุยกันว่า แท้จริงแล้วพวกเราควรเรียก ‘อาจารย์’ แต่ท่านแม่ไม่ชอบใจให้พวกเราเรียกนางว่าท่านแม่ ท่านแม่ใจดีมาก เรียกนางมาใช้งานก็จริงแต่ก็แบ่งปัน (เศษ)พลังชีวิตให้ นางยังไม่ประสีประสาได้แต่คอยศึกษาแอบดูศิษย์พี่ดูดพลังชีวิตจากมนุษย์

“เข่อซิง! เจ้านี่เสียชื่อปีศาจหมด”

“ทำไมหรือศิษย์พี่” นางเอียงคอถามอย่างงุนงง แต่กระนั้นทำหน้าที่กวาดลานตำหนักจื่อเซ่ออย่างขยันขันแข็ง

“เจ้าไม่รู้จักยั่วยวนบุรุษหรือไร อยู่มาเป็นร้อยปียังหากินเองไม่ได้ต้องคอยกินเศษพลังชีวิตของผู้อื่นอยู่ร่ำไป!”

“ข้า... ศึก...ศึกษาอยู่”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel