3
บทที่ 3
“ก็ลุงภารโรงน่ะสิ บอกว่าจะมาขอพบเจ้านายเรา แต่บอกว่าเจ้านายเราชื่อฟิลลิป” คนสวนที่ชื่อชุ่มอธิบายให้เพื่อนร่วมงานฟังด้วยท่าทางหงุดหงิด
“อ๋อ” สาวใช้ร้องอ๋อแล้วมองไปที่ด้านนอกพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร เพราะเธอเองก็คุ้นเคยกับลุงภารโรงและหลานสาวของเขาอยู่บ้าง “ลุงมาหาคุณฟิลลิปทำไมเหรอ”
“คุณฟิลลิปเป็นใครวะไอ้รุ้ง” คนสวนเริ่มใคร่รู้เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานรู้จัก
“ญาติของคุณโทนี่เขา เขามาที่นี่ตอนที่แกลากลับบ้านนอกน่ะ แกไปทำงานของแกเถอะ เดี๋ยวฉันคุยกับลุงดมเอง”
“มิน่าล่ะ ข้าถึงไม่รู้จัก ขอโทษทีนะลุง ฉันไม่รู้จริง ๆ” ชุ่มกล่าวขอโทษขอโพยก่อนจะเดินไปทำงานของตน
“ว่าไงลุง มาหาคุณฟิลลิปเขาทำไมเหรอ”
“พวกเราจะมาขอบคุณท่านจ้ะน้า ท่านช่วยพาปู่หนูไปส่งโรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ปู่เขาเริ่มหายดีแล้ว จึงอยากจะมากราบขอบคุณท่านที่เมตตา”
“อ๋อ ไม่ทันแล้วแหละอีหนู คุณเขากลับฮ่องกงไปแล้ว”
“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่จ๊ะ”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้นะ ฉันรู้แต่ว่าท่านเดินทางมาที่เมืองไทยบ่อย ๆ เพราะทำธุรกิจกับคุณโทนี่เจ้านายฉัน แต่ก็แวะมาที่นี่ไม่ค่อยบ่อยนักหรอก”
“แล้วพอจะมีทางติดต่อท่านได้ไหมจ๊ะ คือเราอยากจะคืนเงินค่ารักษาให้ท่านด้วยจ้ะน้า”
“ไม่รู้เหมือนกัน เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปถามคุณผู้ชายให้ รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ” รุ้งให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างดี
สองชั่วโมงหลังจากนั้น
ปู่กับหลานก็เดินทางมาถึงโรงแรมสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา พวกเขาทั้งสองได้แต่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าผ่านเข้าไป เพราะมันเป็นสถานที่ที่เกินจะอาจเอื้อม
“ลุง มายืนด้อม ๆ มอง ๆ อะไรอยู่ตรงนี้ หลบไปให้พ้นทางเลยไป เดี๋ยวก็ถูกรถชนให้หรอก” ยามที่มีหน้าที่โบกรถให้แขก ต่อว่าชายชรากับหลานสาวที่ยืนรกหูรกตา
“ลุงจะมาหาคนรู้จักที่นี่น่ะพ่อหนุ่ม ลุงต้องทำยังไงบ้าง เดินเข้าไปได้เลยไหม”
“ลุงเนี่ยนะจะมาหาคนรู้จักที่นี่” ยามถามเสียงดังพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูกตั้งแต่หัวจรดเท้า “อย่าหาว่าฉันดูถูกเลยนะลุง แต่ที่นี่คือโรงแรมระดับห้าดาวเลยนะ มีแต่พวกเศรษฐีทั้งนั้นที่เข้าพัก คนไทยนี่นับหัวได้เลย แล้วลุงมาบอกว่ามีคนรู้จักอยู่ที่นี่อะนะ..”
“ใช่”
“ลุงรีบกลับไปเลยไป ฉันไม่มีอารมณ์มาตลกกับลุงหรอกนะ แค่ยืนโบกรถก็เหนื่อยมากพอแล้ว”
“เราพูดจริง ๆ นะ นี่ไงที่อยู่ที่เราได้มา” ปันหยีไม่ได้รู้สึกโกรธยามคนนี้ที่พูดจาดูถูกกัน แต่ก็เสียใจอยู่ลึก ๆ ที่เขาวัดคุณค่าของคนแค่เปลือกนอก
ยามหนุ่มมองเด็กสาววัยรุ่นด้วยสายตาพิจารณา ใบหน้าบึ้งตึงค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกระดาษ จงใจจับให้โดนมือของเธอ
“นอกจากเสียงเพราะแล้ว หน้าตาก็ยังสวยอีกด้วยนะหลานลุงเนี่ย” ยามปากเปราะเอ่ยขึ้นขณะที่อ่านตัวหนังสือในกระดาษ “ฉันก็อยากให้เข้าไปหรอกนะ แต่ในเมื่อรู้ว่าต้องมาหาแขกแบบนี้ ทำไมไม่แต่งตัวให้มันดูดีหน่อยล่ะ แต่งแบบนี้ก็เสียราคาหมดสิ”
“เอ็งพูดอะไรของเอ็งวะไอ้หนุ่ม มันจะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ” อุดมคือคนที่มีความอดทนและใจเย็นมากที่สุดคนหนึ่ง เขามักจะสอนให้หลานสาวรู้จักการให้อภัยและมีเมตตาต่อผู้อื่น สอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษและทางสายกลาง แต่ตอนนี้เขากำลังหมดความอดทน เพราะรู้ว่าไอ้หนุ่มคนนี้ดูถูกหลานสาวของเขาอย่างน่าเกลียด
“ปู่จ๋า” เห็นผู้เป็นปู่แสดงอาการไม่พอใจยามหนุ่ม ปันหยีก็รีบจับแขนของท่านไว้เพื่อเตือนสติ ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมปู่ที่เคยใจเย็นมาตลอด ต้องโกรธคนปากบอนคนนั้นด้วย
“น่ารักเสียจริงหลานสาวปู่นี่ มีแฟนเป็นตัวเป็นตนหรือยังจ๊ะหนู ถ้ายัง พี่ยังว่างอยู่นะจ๊ะ”
อุดมโกรธจนตัวสั่น เมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาลวนลามที่อีกฝ่ายมองหลานสาว แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้
เวลานั้นเองที่มีบุรุษในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำติดกระดุมครบทุกเม็ด พับแขนเสื้อไว้แค่ศอก ทับในด้วยกางเกงสแล็กสีดำทรงกระบอกเล็ก อวดให้เห็นรูปร่างสูงกำยำสะดุดตาเดินตรงเข้ามาหา
“คุณนั่นเอง” เด็กสาวจำเขาได้ เขาคือคนขับรถของฟิลลิป หยาง เธอรีบยกมือไหว้เขา “สวัสดีค่ะคุณ”
เอดิสันรีบรับไหว้หญิงสาว แล้วค่อยหันไปไหว้ปู่ของเธอ “สวัสดีครับคุณปู่ ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะครับ รู้ไหมว่าผมรออยู่ที่ล็อบบี้ตั้งนาน” เขาพูดไทยไม่เก่งเหมือนเจ้านาย แต่ก็พูดรู้เรื่อง
อุดมเปลี่ยนสีหน้าให้ยิ้มแย้ม “ผมไม่กล้าเข้าไปหรอกครับคุณ เพราะไม่รู้จะเข้าไปหาคุณที่ไหน”
“ถ้าให้ผมไปรับก็คงไม่ต้องลำบากแบบนี้” เอดิสันผายมือเชื้อเชิญทั้งสองคนอย่างนอบน้อม “เชิญเลยครับ เดินเข้าไปก่อนเลยครับเดี๋ยวผมตามไปเอง” และก่อนที่เขาจะเดินตามไป ก็ไม่ลืมที่จะมองไปที่ยามหนุ่มด้วยสายตาคาดโทษ “นายชื่ออะไร”
ยามหนุ่มพยายามเบี่ยงตัวหนีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นชื่อของตน รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ กับคำถามของผู้ชายคนนี้
นอกจากคำถามของเขาแล้ว การกระทำอันแสนนอบน้อมของคนที่ดูดีกว่าทุกกระเบียดนิ้วแบบเขา ที่มีต่อปู่กับหลานที่แต่งตัวซอมซ่อนั่น ก็ทำให้ขนหัวลุกไปเลยทีเดียว
“จะรู้ชื่อผมไปทำไมเหรอครับ”
“จะได้ไล่ออกถูกคนไงล่ะ” เอดิสันตอบทิ้งทายก่อนเดินจากไปอย่างไม่แยแส ไม่บอกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาไปบอกผู้จัดการให้ไล่ออกตอนนี้เลยก็ได้
