บทที่ 7 ตำหนักเย็น
เช้าวันต่อมาอากาศค่อนข้างดีไม่น้อย แม้จะยังหนาวเย็นอยู่บ้างแต่ก็นับว่าเบาบางลงไปไม่น้อยแล้ว อาหารเช้าวันนี้นี่ที่เมียวเถียนนำเข้ามาทำให้เสิ่นลี่จูค่อนข้างแปลกไปไม่น้อย เพราะมันมีทั้งเนื้อสัตว์และผลไม้หลายอย่าง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีแต่ผักจนนางแทบทนไม่ไหวต้องไปติดสินบนพ่อครัวแลกกับอาหารดีดีสักมื้อ เสิ่นลี่จูทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้ พลางเอ่ยถามสาวใช้ข้างกายตน
"เหตุใดวันนี้จึงมีเนื้อเล่า"
เมี่ยวเถียนยิ้มอย่างสุขใจ ก่อนจะเอ่ย
"ทูลพระสนม นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทเพคะ บอกว่าตอนนี้ไม่ต้องประหยัดงบประมานแล้วเพคะ"
เสิ่นลี่จูไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว ในใจของนางรู้ดีว่าเขาทำเช่นนี้เพราะเหตุอันใด คงกลัวนางจะเอาเรื่องนั้นไปแพร่งพรายจึงมาทำดีกับนาง เพราะเขายังสังหารนางไม่ได้ เสิ่นลี่จูไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขานเขา
หลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว นางก็สั่งให้เมี่ยวเถียนนำเสื้อคลุมมาให้ตน นางต้องการจะไปเข้าเฝ้าเจิ้งจิ้งเหอที่ตำหนักมังกรสวรรค์เสียหน่อย เมื่อคืนนี้นางครุ่นคิดทั้งคืนว่าจะใช้แผนการใดที่จะลากตัวคนร้ายออกมาให้ได้ และก็สามารถคิดได้แผนการหนึ่ง
เดิมทีการตายของเสิ่นอ้ายเยว่อาจปล่อยผ่านได้ เพราะอย่างไรก็เป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกสงสารสตรีนางนั้น ภาพในความฝันยังคงชัดเจน อีกอย่างเสิ่นลี่จูคนเดิมก็ไม่ได้ทำดีกับพี่สาวคนนี้มากนัก บางคราการที่นางทำดีไถ่บาป อาจจะช่วยทำให้นางออกจากนิยายเรื่องนี้ได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ไม่นานก็มาถึงตำหนักมังกรสวรรค์ เสิ่นลี่จูรีบแจ้งต่อฟ่านกงกงว่านางต้องการมาพบกับเจิ้งจิ่งเหอ ฟ่านกงกงเพียงบอกว่าให้นางรอสักครู่ตอนนี้่ฝ่าบาทกำลังเสวยมื้อเช้ากับองค์หญิงเจิ้งหมี่ นางเพียงพยักหน้ารับและรออยู่ที่ด้านหน้าตำหนัก จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามก็ยังไม่มีรับสั่งให้นางเข้าเฝ้า เสิ่นลี่จูเม้มริมฝีปากแน่น เข้าใจแน่แล้วว่าเจิ้งจิ่งเหอคิดจะแกล้งนางให้ยืนรอเขาอยู่ข้างนอกตำหนัก
เสิ่นลี่จูเริ่มปวดขา ในขณะที่คิดจะถอดใจเดินกลับตำหนักของตน ฟ่านกงกงก็มารายงานว่าให้นางสามารถเข้าไปได้ เสิ่นลี่จูถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตรงเข้าไปในตำหนัก ระหว่างนั้นนางเดินสวนกับเจิ้งหมี่ที่กำลังจะกลับตำหนักของตนพอดี เด็กสาวนางนั้นเพียงยิ้มให้เสิ่นลี่จูเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป เสิ่นลี่จูไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก นางรีบเข้าไปหาเจิ้งจิ่งเหอทันที
เมื่อเข้ามาถึงก็พบว่ายามนี้เขากำลังนั่งจิบชาร้อนอย่างสบายอารมณ์ นางนึกก่นด่าเขาในใจ ตนเองนั่งจิบชามีความสุขแต่กลับให้นางยืนรอเขาอยู่ที่หน้าตำหนักเป็นนานสองนาน
"ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ"
"ไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องใดก็รีบพูดมา"
เสิ่นลี่จูหันไปมองฟ่านกงกงคราหนึ่ง ฟ่านกงกงรู้หน้าที่ดีจึงรีบเดินออกไปทันที เมื่อเหลือเพียงเขาและนางสองคนแล้ว ท่าทีนอบน้อมก่อนหน้าก็พลันหายไปจนหมดสิ้น นางทิ้งกายลงนั่งตรงข้ามกับเขา ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม เจิ้งจิ่งเหอหรี่ตามองสตรีตรงหน้า ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา
"เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้วยชาที่เจ้าดื่มข้าอาจจะเคลือบยาพิษเอาไว้"
พรวด!
เสิ่นลี่จูที่ได้ยินก็พ่นน้ำชาใส่หน้าของเจิ้งจิ่งเหอทันทีจนใบหน้าของเขาเปียกชุ่ม เจิ้งจิ่งเหอโมโหเป็นอย่างมาก อยากจะบีบคอเสิ่นลี่จูให้ตายเสียเดีียวนี้
"บังอาจนัก เสิ่นลี่จูนับแต่นี้เจ้าจงไปสำนึกผิดที่ตำหนักเย็นเสีย ไม่มีคำส่งจากข้าห้ามออกมาแม้เพียงครึ่งก้าว!"
นางยังไม่ทันได้เอ่ยแผนการใดให้เขาฟังก็ถูกทำโทษเสียแล้ว เสิ่นลี่จูถึงกับกุมขมับ อารมณ์ของเจิ้งจิ่งเหอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนนางตามไม่ทันแล้ว ช่างเถิด ค่อยคุยเรื่องแผนการทีหลังก็แล้วกัน วันนี้นางเองก็ไม่มีอารมณ์จะพูดจาดีดีกับเขาแล้วเช่นเดียวกัน
ข่าวที่เสิ่นลี่จูถูกทำโทษให้ไปสำนึกผิดในตำหนักเย็นล่วงรู้มาถึงตำหนักของเจิ้งหมี่ในเวลาต่อมา ยามนี้นางกำลังปักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่ในมือ ดวงตาคู่งามทอประกายวูบไหวไปมา นางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายลอบชำเลืองมองเจ้านายอย่างหวาดหวั่น
"องค์หญิงเพคะ เรื่องนั้นพระองค์คิดจะกราบทูลฝ่าบาท.."
"หุบปาก! จำไว้ว่าพวกเราไม่เคยรู้เห็นเรื่องใดทั้งสิ้น หากยังไม่อยากตายก็อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาส่งเดชอีก จำเอาไว้"
นางกำนัลที่ได้ยินเจิ้งหมี่เอ่ยเช่นนั้นก็รีบก้มหน้างุดไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาอีก เจิ้งหมี่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นต่อไปโดยไม่คิดถึงเรื่องเก่าหนหลังอีก
