บทที่ 5 เริ่มต้นสืบหาเบาะแส
เพราะความฝันในวันนั้นทำให้เสิ่นลี่จูรู้สึกว่าภายในใจไม่ค่อยจะสงบเท่าใดนัก การเข้ามาในนิยายเรื่องนี้มีภารกิจที่นางต้องทำมากมาย ทั้งเรื่องของเจิ้งจิ่งเหอ และอาจจะต้องช่วยหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่ที่ยังคงเป็นปริศนา ดูเหมือนว่าวิญญาณของสตรีนางนั้นจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและต้องการให้นางช่วยทวงคืนความเป็นธรรมให้
แต่จะเริ่มจากตรงที่ใดก่อนดีเล่า
การหาตัวฆาตรกรไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาอย่างยิ่งนางไม่ใช่คนในยุคนี้ ไม่ได้รู้จักใครที่จะพอช่วยได้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่นางจะทำได้ก็คือ การไปเยือนจวนตระกูลเสิ่นสักครั้ง อย่างไรคงต้องเริ่มจากที่นั่น
แต่ว่าการจะออกจากวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เสิ่นลี่จูครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร่างเดิมทีมีวรยุทธ์สูงส่ง เสิ่นลี่จูจึงลองฝึกฝนอย่างง่ายๆโดยการใช้มีดสั้นและฝึกยิงธนู เหาะเหินขึ้นต้นไม้ ก่อนที่นางจะต้องร้องว้าวด้วยความดีใจ เพราะร่างนี้ช่างมีความสามรถเป็นอย่างมาก
นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ยามเช้าของวันนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมากแล้ว เพราะเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาว อีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่ ทุกๆที่ในเมืองหลวงล้วนจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่กันอย่างครื้นเครง แม้แต่ในวังหลวงยังประดับประดาโคมไฟอย่างงดงามหลายที่ เสิ่นลี่จูพาเมี่ยวเถียนและนางกำนัลไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักของนางเท่าใดนัก ที่นี่มีดอกเหมยที่ออกดอกบานสะพรั่งดูงดงามเป็นอย่างมาก หิมะที่ตกโปรยปรายอาบย้อมทั่วทุกพื้นที่จนกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์สะอาดตา
เดินเล่นอยู่นาน เสิ่นลี่จูก็ได้พบกับสตรีน้อยนางหนึ่ง เมื่อสอบถามจากนางกำนัลก็ได้ทราบว่าสตรีใบหน้าพริ้มเพรานางนั้นมีนามว่าเจิ้งหมี่ เป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในวังหลวง และยังเป็นน้องสาวที่เจิ้งจิ่งเหอทรงรักใคร่มากที่สุด เสิ่นลี่จูพินิจมองสตรีน้อยตรงหน้าที่มีอายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปีคราหนึ่ง พบว่ามีใบหน้าของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับเจิ้งจิ่งเหอถึงแปดในสิบส่วน พี่ชายหล่อเหลาเช่นไร น้องสางก็งดงามหยาดเยิ้มไม่ต่างกัน
เจิ้งหมี่เองก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองนางอยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้ามาก่อนจะสบสายตาเข้ากับเสิ่นลี่จู
ก่อนหน้านี้นางพอจะทราบเรื่องที่พี่ชายรับสนมเข้าวังหลวงมาบ้างแล้ว เดิมทีพี่ชายของนางมีใจรักใคร่ในตัวเสิ่นอ้ายเยว่ บุตรสาวที่เกิดจากอนุของจวนตระกูลเสิ่น แต่นางกลับโชคร้ายต้องตกตายจากไปอีกทั้งยังทรยศพี่ชายของนางด้วยการลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่นจนตั้งครรภ์ พี่ชายของนางจึงมีรับสั่งให้เรียกตัวเสิ่นลี่จูเข้าวังหลวงมาแทนพี่สาวของตน เรื่องนี้นางไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก และไม่ได้อยากสนทนาพาทีกับเสิ่นลี่จูเท่าไหร่
แต่เมื่อยามนี้ได้พบเจอกันแล้วย่อมหลีกเลี่ยงไม่สนทนาคงไม่ได้ หากนับกันตามศักดิ์ฐานะแล้ว เสิ่นลี่จูก็คือพี่สะใภ้ของนาง
"พี่สะใภ้"
เจิ้งหมี่เดินเข้ามาทักทายเสิ่นลี่จูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร เสิ่นลี่จูเองก็ยิ้มตอบเช่นเดียวกัน
"พี่สะใภ้เข้าวังหลวงมาหลายวันแล้ว แต่เรายังไม่เคยได้สนทนากันเสียที น้องเพียงเคยเห็นท่านในระยะไกลๆ วันนี้ได้เจอหน้ากันแล้ว พี่สะใภ้ช่างงดงามยิ่งนัก"
เสิ่นลี่จูยิ้มให้เจิ้งหมี่ นางไม่ได้รู้สึกหลงใหลได้ปลื้มหรืออยากยกยอตนเองเพียงเพราะคำชมเล็กน้อยเหล่านี้
"องค์หญิงทรงตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงนางสนมเล็กๆไม่คู่ควรให้พระองค์ต้องเอ่ยชมถึงเพียงนี้"
"พี่สะใภ้อย่าได้ถ่อมตนน้องชมท่านจากใจจริง พี่สะใภ้มาเดินเล่นหรือ เช่นนั้นก็ตามสบายเถิด น้องกำยังจะกลับตำหนักพอดีเพคะ"
"น้อมส่งองค์หญิง"
เสิ่นลี่จูเอ่ยตอบด้วยท่าทีไม่ห่างเหินและไม่สนิทสนม แต่ทว่าแววตาคู่งามกลับจับจ้องแผ่นหลังของเจิ้งหมี่อย่างไม่ลดละ เมื่อคนจากไปแล้วนางก็มีท่าทีครุ่นคิด
องค์หญิงผู้นี้ภายนอกดูงดงามนอ่อนหวาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแววตาและรอยยิ้มของเจิ้งหมี่ยามมองมาที่นางนั้นดูแข็งกระด้างชอบกล ราวกับรอยยิ้มเหล่านั้นซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
หรือว่านางอ่านนิยายเกี่ยวกับวังหลวงมากเกินไปจนเก็บเอามาหวาดระแวงกันนะ
แต่นางรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ การที่นางระแวดระวังตนเองไว้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ
บางทีนางอาจจะคิดมาเกินไป นางและเจิ้งหมี่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน อีกทั้งนางยังเป็นสนมของเจิ้งจิ่งเหอ ย่อมไม่มีเหตุผลที่เจิ้งหมี่จะไม่ชอบใจในตัวนาง นอกเสียจากว่าเจิ้งจิ่งเหอจะเป่าหูน้องสาวตนให้ชิงชังนาง หากเป็นเช่นนั้นก็ดูจะสมเหตุสมผลเสียมากว่า
เมื่อเดิินเล่นจนเบื่อแล้ว เสิ่นลี่จูจึงกลับตำหนักมาพักผ่อน นางวางแผนว่าคืนนี้จะหาทางออกจากวังหลวงอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเสิ่นเผื่อจะได้เบาะแสใดบ้าง ก่อนหน้านี้นางลองถามเมี่ยวเถียนถึงเรื่องของของเสิ่นอ้ายเยว่แล้ว แต่กลับไม่ได้ความอันใดมากนัก มิสู้นางลงแรงสืบหาความจริงเองจะดีกว่า เผื่อจะได้เรื่องได้ราวมากกว่านี้
ตกดึกคืนนั้น ในขณะที่บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด เสิ่นลี่จูก็ปลอมตัวออกมาจากวังหลวง นางสวมชุดสีดำและใช้ผ้าปิดบังใหน้า หญิงสาวกระโดดลัดเลาะมาตามกำแพงวังหลวงหลบสายตาของเหล่าทหารองค์รักษ์จนสามารถออกมาจากวังหลวงได้ แต่ก็ค่อนข้างทุลักทุเลเป็นอย่างมาก
จวนตระกูลเสิ่นตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ก่อนถึงตลาดใหญ่
เสิ่นลี่จูมีสีหน้าครุ่นคิด หลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็ไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเท่าใดนัก แต่นางจำได้จากการอ่านนิยายว่าจวนตระกูลเสิ่นตั้งอยู่ทางใดจึงเดินลัดเลาะมาตามเส้นทางที่พอจะจำได้ จนพบกับป้ายหน้าจวนที่เขียนว่าจวนตระกูลเสิ่น นางจึงพรูลมหายใจออกมากด้วยความโล่งอก
ถึงเสียที!
ไม่รอช้า นางรีบกระโดดทะยานเข้าไปในจวนตระกูลเสิ่นอย่างเงียบเชียบ ใช้ความรู้ที่ได้อ่านมาจากนิยายจับทิศทางภายในจวนเพื่อหาทางหนีทีไล่ เดิมทีที่นี่ก็คือบ้านของนาง หากถูกจับได้อย่างไรก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่นางอยากสืบเรื่องนี้อย่างเงียบๆ
เสิ่นลี่จูเดินไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นดอกเหมยซึ่งยังเป็นสถานที่ที่เสิ่นอ้ายเยว่ใช้เชือกแขวนคอเพื่อปลิดชีพตน เมื่อเสิ่นลี่จูเงยขึ้นไปมองบนต้นดอกเหมยก็ให้รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงละสายตาจากต้นดอกเหมย ก่อนจะตรงไปที่เรือนของอนุซ่ง มารดาของเสิ่นอ้ายเยว่ในทันที
เรือนของอนุซ่งตอนนี้มืดสนิทคาดว่ายามนี้เจ้าของเรือนคงจะหลับไปแล้ว มีเพียงสาวใช้เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนเพียงคนเดียว อย่างไรก็เป็นเพียงอนุความเป็นอยู่จึงไม่ได้ดีเท่าใดนัก เสิ่ี่นลี่จูมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินเข้ามาไปในเรือนของอนุซ่งอย่างเงียบเชียบ
นางไม่แน่ใจว่าห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่นั้นอยู่ตรงไหน จึงลองสำรวจดูทุกห้องอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งมาถึงห้องหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆของกำยานกลิ่นสาลี่ นางจำได้ว่าเสิ่นอ้ายเยว่ชื่นชอบกำยานกลิ่นนี้มาก นางจึงคาดเดาได้ว่าห้องนี้่คงจะเป็นห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่ บางทีอาจเพราอนุซ่งคิดถึงบุตรสาวจึงจุดกำยานนี้เอาไว้ภายในห้อง เสมือนว่าเสิ่นอ้ายเยว่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ตายจากไปที่ใด เพื่อหลอกตนเองไปวันต่อวัน
เสิ่นลี่จูรู้สึกเวทนาในชะตาชีวิตของสองแม่ลูกคู่นี้ยิ่งนัก
บางครา เบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่อาจจะอยู่ในห้องนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเสิ่นลี่จูจึงเข้าไปในห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่อย่างเงียบเชียบ ในขณะที่นางกำลังเดินเข้ามาและกำลังจะปิดประตู ก็ถูกใครบางคนกระชากตัวจากทางด้านหลัง ก่อนที่เขาจะล็อคคอนางและใช้มีดสั้นจ่อเอาไว้ที่ลำคอขาวเนียนของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระซิบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงแฝงตัวเข้ามาในห้องของเสิ่นอ้ายเยว่ยามวิกาลเช่นนี้ หรือว่าเจ้าคือฆาตรกรที่สังหารนาง!"
เสิ่นลี่จูตัวแข็งทื่อพลางชำเลืองมองปลายมีดสีเงินแวววาวที่จ่อคอตนคราหนึ่ง นางพยายามตั้งสติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสลัดตัวจนหลุดออกจากการเกาะกุมของชายปริศนา แต่เพราะไม่ทันระวังทำให้ผ้าปิดหน้าของนางร่วงหล่น แสงจันทร์จากด้านนอกหน้าต่างส่องเข้ามาสลัวราง ทำให้ชายปริศนามองเห็นใบหน้าสวยหวานของสตรีตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
"เสิ่นลี่จู สตรีชั่ว เจ้าถึงกับกล้าหนีออกจากวังหลวงยามวิกาลเชียวหรือ"
เสิ่นลี่จูขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่นางยกมือขึ้นปิดปากตนด้วยความตกใจ เสียงนี่มัน
"ฝ่าบาทหรือเพคะ!"
