Chapter 1 ชะนีหนีคาน
งานเลี้ยงรุ่นประจำปี เป็นอีกวันที่สร้างความเบื่อหน่ายสุดแสนให้ ‘ป่านฝัน’ เธอเบื่อกับการฉายเดี่ยวตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่เพื่อนสาวแต่ละคนต่างควงคู่มากับคนรัก จากนั้นก็ทยอยแต่งงานกันออกไป เหลือเพียงไม่กี่คนในวัยสามสิบอย่างเธอที่ยัง ‘โสด!!’
ทุกงาน... เธอมักตกเป็นหัวข้อสนทนา ต้องทนยืนฟังคำหยามหยันของเพื่อน หลายงานที่เธอต้องทำใจฝืนยิ้มและแกล้งเมา ครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นอีหรอบเดิม ทั้งที่ประสาทสัมผัสทางหูสามารถรับรู้ทุกอย่างที่เพื่อนพูดได้ดี ในใจปวดปร่าเหมือนเหล็กแหลมทิ่มแทง แต่เธอกลับฝืนยิ้มทำตัวร่าเริงให้จบงานเหมือนเคย
บนถนนกลางกรุง มหานครที่รถติดยาวเหยียดในช่วงเวลารีบเร่ง กว่าป่านฝันจะหลุดออกมาจากลูกค้าจอมเขี้ยวก็กินเวลานัดเพื่อนไปนานโข จากที่ต้องไปแต่งหน้าทำผมที่ร้านตามนัดกับพราวลดา เธอกลับต้องตรงดิ่งมาพร้อมชุดทำงาน งานที่เธอรับผิดชอบก็แสนจะหนักหนาและวุ่นวาย จนเกือบมาไม่ทันเวลา
พราวลดาเองก็โทร. มาเร่งยิกๆ
‘แกอยู่ไหนแล้วป่าน ฉันถึงโรงแรมตั้งนานแล้วนะ นี่มันก็เลยเวลานัดมากแล้ว หรือแกจะเบี้ยวแบบลาสมินิทเหมือนงานก่อน บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าถ้าแกไม่มา ฉันโกรธจนลูกบวชแน่ มีอย่างที่ไหน นัดที่ร้านทำผมสี่โมงเย็น ไปไม่ทันยังพอทน แต่ที่บอกว่าจะมารอหน้างาน จะทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่เห็นโผล่หัวมาอีก’ ทันทีที่ป่านฝันกดรับสาย พราวลดาก็บ่นเพื่อนยืดยาว ตามแบบฉบับของเลขา เธออินกับบทบาทนี้มากจนเลยเถิดมาใช้จัดการชีวิตของเพื่อนแต่ละคนด้วย
แม้อยากยกให้เป็นเลขาแม่แบบ ทว่าบางครั้งก็อยากบอกเหมือนกันว่าเธอไม่ได้จัดตารางนักธุรกิจอยู่ ถึงพลาดเรื่องเวลาไม่ได้สักนาที
“อือ! ฉันไม่เบี้ยวหรอกน่า เพิ่งเสร็จประชุมกับลูกค้า นี่ฉันก็ขับรถอยู่ ใกล้จะถึงโรงแรมแล้วแหละ อือ! ฉันจะเหยียบมิดคันเร่งเลยเป็นไง”
ป่านฝันเย้าเพื่อน สลับกับปลายสายที่ยังบ่นไม่หยุด แต่พอเธอบอกจะเหยียบมิดคันเร่ง ปลายสายถึงกลับขนลุกซู่ กลืนน้ำลายฝืดลงคอ เพราะรู้จักวีรกรรมแม่สาวตีนผีอย่างป่านฝันเป็นอย่างดี
‘เอ่อ เธอไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้นะ เรารอกันได้’ ปลายสายเปลี่ยนสถานะจากเร่ง เป็นไม่รีบทันที
“เออน่า! แกเข้างานไปก่อนก็ได้ รับรองว่าป่านฝันจะค่อยๆ ขับอย่างระมัดระวังตามคำสั่งคุณเลขาทุกอย่างเลย ”
ป่านฝันเย้าคนปลายสาย แต่เท้าข้างขวาไม่วายเพิ่มแรงเหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายขึ้นถนนไปตามความเคยชินในการขับรถของเธอ จนเพื่อนทุกคนต่างให้ฉายาเจ้าแม่ขาวีน นักซิ่งตีนผี จังหวะที่เธอหักเลี้ยวขึ้นถนนและกดวางสายโทรศัพท์ หญิงสาวไม่ทันสังเกตว่าทางตรงเป็นจังหวะไฟเขียวพอดี เธอปาดหน้ารถคันที่เพิ่งเร่งหลุดจากไฟแดง
เจ้าของชีอาร์วีสีดำเหยียบเบรกตัวโก่ง “เอี๊ยด!!!” ชายหนุ่มเหลือบมองกระจกหลัง ยังดีที่รถคันหลังเบรกตามได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยาวแน่นอน
“บ้าเอ๊ย!! ใบขับขี่ซื้อมาหรือไงวะ” ชายหนุ่มเจ้าของรถสบถออกมาอย่างหัวเสีย มองตามรถนักซิ่งตีนผีไม่วางตา แล้วเขาก็รีบบึ่งรถตามไปทันที
ด้วยความโมโหเดือดพล่าน
ในขณะที่เจ้าของเบนซ์สปอร์ตเลื่อนมือไปกดเพิ่มเสียงเพลง หลังจากวางโทรศัพท์เสร็จ เสียงเพลงในรถกระหึ่มดังลั่น เจ้าของรถเองก็ขยับโยกตัวไปตามท่วงทำนอง พร้อมกับระเบิดเสียงตามอย่างมีความสุข นิ้วมือยาวเรียวเคาะพวงมาลัยตามจังหวะเสียงดนตรี ไม่รับรู้เรื่องราวโลกภายนอกรถโดยสิ้นเชิง
พอถึงโรงแรมที่นัดหมาย ป่านฝันเห็นมีที่ว่างสำหรับจอด เธอยิ้ม อย่างน้อยโชคของเธอก็ยังดี หญิงสาวกะพริบไฟเลี้ยวเตรียมจะถอยเข้าจอด พลันรถอีกคันกลับเลี้ยวปราดเข้าจอดตัดหน้าแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“เอี๊ยด!” ป่านฝันเหยียบเบรกตัวโก่ง โกรธแทบกลายเป็นมังกรพ่นไฟ อารมณ์สุนทรีเมื่อครู่ดับมอดกลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตา ทว่าถูกแทนที่ด้วยภูเขาไฟที่พร้อมปะทุปล่อยลาวา ยากที่จะหาอะไรมาดับความร้อนให้เย็นลงได้ง่าย เพราะหากสมรรถนะรถเธอไม่ดีพอ เหตุการณ์คงไม่หยุดอยู่เท่านั้นแน่
‘ฮึ่ม! ไม่รู้จักป่านฝันซะแล้ว ฉันเคยยอมใครที่ไหน’
หญิงสาวเปิดประตูลง ก้าวเท้าเดินลงจากรถราวพายุหมุน อารมณ์เดือดปุดเมื่อครู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อเหลือบเห็นรอยยิ้มของเขาเต็มตา มันเป็นยิ้มหยามหยันที่ย้ำชัดมุมปากหยัก
“นี่นาย! นายเสียมารยาทจอดรถตัดหน้าฉันอย่างนี้ได้ไง นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังจะจอดตรงนี้ รู้กฎจราจรมั้ย! มารยาทในการขับรถมีหรือเปล่า ฮะ!”
“ฮึ!”
‘ทวิช’ ยักไหล่ไม่ใส่ใจหญิงสาวตรงหน้า เขาเองก็เกลียดคนไร้มารยาทในการขับรถอย่างเธอไม่แพ้กัน
“ขับช้าเป็นเต่ากัดล้อ แต่ก็ว่าแหละ ผู้หญิงขับรถก็เป็นอย่างนี้ทุกคน และก็ยังโวยวายน่าเบื่อทุกคนเหมือนกัน” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ ใบหน้าคมบ่งบอกได้ดีว่าเขาไม่แยแสอารมณ์เดือดพล่านของสาวเจ้าสักนิด
เห็นอย่างนั้นแม่สาวขาวีนก็ยิ่งเดือด ยกมือชี้หน้า ไม่ได้ใส่ใจต่อคำว่ามารยาทเช่นกัน ก่อนจะฮึดฮัดกำมือแน่น ริมฝีปากสั่นโต้กลับเสียงสะบัด
“ประโยคที่นายใช้มันแปลว่าอะไร นาย! นายกำลังจะบอกว่าผู้หญิง
ไร้ประสิทธิภาพในการขับรถอย่างนั้นใช่มั้ย หนอย... รู้จักฉันน้อยไปแล้ว”
คนโดนต่อว่ากลับยืนยิ้มมองเฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้ แต่คนเดือดเพราะโดนแย่งที่จอดรถกลับไม่ยอมลดลาวาศอก
“ใช่! ฉันอาจจะผิดที่จอดช้า แต่นายมันก็... ก็... ไอ้คนไม่มีมารยาท ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ บุพการีไม่สั่งสอน ขาดจรรยาบรรณ สงสารสถาบันที่นายจบมาจริงๆ”
หญิงสาวพ่นคำต่อว่าไฟแลบ แต่แทนที่ชายหนุ่มจะโกรธ เขากลับพยักหน้าหงึกๆ กับคำกล่าวหา ถึงแม้ว่าเขาเพิ่งกลับมาเมืองไทยก็ใช่ว่าจะไม่รู้กฎจราจรและมารยาทในการใช้ถนน
“นี่นาย! นายไม่คิดจะเถียงฉันสักคำเลยหรือไง อ๋อ... ผิดเต็มประตูจนเถียงไม่ออกสินะ”
หญิงสาวคิดเองเข้าใจเองตอบเองเสร็จสรรพ จนชายหนุ่มผ่อนลมหายใจระบายลมออกมา
“เฮ้อ!! พล่ามจบหรือยัง ผมจะได้พูดบ้าง” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองคนโกรธหน้าดำหน้าแดง เว้นระยะคำพูดเล็กน้อย ขยับขาเดินเข้าหาหญิงสาวทีละก้าว
“ถ้าคนมีมารยาทในการขับรถคือผู้หญิงอย่างคุณละก็ ทุกคนคงมารยาทดีกันหมด ถ้าจำไม่ผิดรถคันนี้ ทะเบียนนี้ เพิ่งจะถูกคนขับมารยาทแย่ ขับปาดหน้ารถผมบนถนนสายหลัก จนรถคันอื่นเกือบชนกันหลายคัน แล้วก็ขับซิ่งหนีออกมา เพราะฉะนั้นถ้าจะนับคนมารยาทแย่ที่สุด คนคนนั้นต้องเป็นคุณ และคุณต้องเป็นฝ่ายขอโทษผมถึงจะถูก!”
ชายหนุ่มบอกพร้อมกับก้าวเท้าเข้าหา จ้องหน้าเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง จนป่านฝันต้องถอยร่นออกทีละก้าวเช่นกัน
หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอรีบจนไม่สามารถจำอะไรได้หมด อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่าก็ได้ แต่ไม่มีวันที่เธอจะยอมรับเด็ดขาด ‘มันจะมากไปแล้วนะ ให้ฉันขอโทษงั้นรึ! ไม่มีทางเสียล่ะ’
หญิงสาวพยายามกดความโกรธให้ลดลง สูดลมหายใจเข้าแล้วพ่นออกมา ก่อนจะบอกคนตรงหน้า น้ำเสียงเรียบนิ่งกลบเกลื่อนเรื่องที่เขาบอกเมื่อครู่
“ถอยรถของนายออกมาเดี๋ยวนี้ ตรงนี้มันเป็นที่ของฉัน”
ชายหนุ่มยิ้มกวน แบมือพร้อมยักไหล่พลางสอดสายตามองไปรอบๆ “มีป้ายตรงไหนบอกไม่ทราบว่าเป็นที่ของผู้หญิงวัยทอง สมองเป็นอัลไซเมอร์อย่างคุณ ถ้าไม่มี ผมจะจอดตรงนี้ ไม่มีทางถอยออกเด็ดขาด”
ยิ่งรีบป่านฝันก็ยิ่งโมโหมากขึ้น อาการกวนโทสะของเขาเพิ่มเชื้อไฟ เธอเท้าสะเอวโต้กลับไม่ห่วงสวย
“นายหมายความว่ายังไง”
“เมื่อกี้คุณขับรถปาดหน้าผม จนเกือบเบรกกันไม่ทัน คุณก็ต้องขอโทษ เพราะผมจำทะเบียนรถคันนั้นได้แม่น แล้วมันก็คือคันนี้แน่นอน” ชายหนุ่มชี้มือไปที่รถของหญิงสาว
“แต่ฉันไม่! อย่ามาพูดพล่อยๆ และก็อย่าหวังว่าจะได้รับคำขอโทษจากฉัน เพราะผู้ชายอย่างนายต่อมสุภาพบุรุษและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีคงฝ่อไปแล้ว ถึงจะเป็นฉันจริงก็เถอะ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษให้เสียปาก”
“ผมก็ไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างคุณจะมีมารยาทพอหรอก ผมก็ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทและรักษาความเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงไร้มารยาทอย่างคุณใช่มั้ย ผมไปละ หวังว่าเราคงไม่เจอกันอีก ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหน” ชายหนุ่มหรี่ตายิ้มยั่ว เดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
ป่านฝันโกรธจนหน้าแดง ริมฝีปากสั่นระริก ทั้งที่เธอพยายามใช้ฟันขบเม้มเอาไว้ พลันเสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้นเสียก่อน พราวลดานั่นเองที่โทร. มาเร่งอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะไม่รับสายเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด ประจวบกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมมาบอกว่ารถของเธอจอดขวางทาง ป่านฝันได้แต่ฮึดฮัดเพราะทำอะไรไม่ได้ จำต้องถอยรถไปจอดที่อื่นและเดินบ่นอย่างหัวเสีย
“เพราะนายคนเดียว! ฉันถึงได้ต้องมาเดินไกลอย่างนี้ ทั้งรีบ ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน เหงื่อท่วมเลย ไม่รู้เมืองไทยจะร้อนทำไมนักหนา อย่าให้ฉันเจอนายอีกนะ แม่จะด่าให้บ้านแตกสาแหรกขาดทีเดียว”
เธอพาลไปถึงดินฟ้าอากาศของเมืองไทย เดินกระแทกส้นเท้ามาถึงห้องน้ำ ไม่ลืมแวะเข้าไปซับหน้า หลังจากนั้น ป่านฝันคนเดิมก็เดินคอรั้งหน้าเชิดออกมา ท่วงท่าสง่างาม ก้าวย่างอย่างมาดมั่น
พราวลดากับเพื่อนอีกกลุ่มยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่อีกโซนของงาน หญิงสาวละสายตาจากคู่สนทนาหันมองเพื่อนสาวที่เดินปั้นปึงเข้ามา เพราะเพื่อนทุกคนกำลังมีความสุขแต่นั่นไม่ได้ทำให้คนร้างคู่อย่างป่านฝันมีอารมณ์ร่วมสักนิดเดียว
“เป็นอะไรอีกละ หน้าหงิกมาเชียว โทร. ไปทำไมไม่รับสายยะ”
พราวลดาทักเพื่อนที่หน้าบอกบุญไม่รับ แต่ป่านฝันไม่สนใจที่จะตอบคำถามเพื่อน เธอกลับตั้งคำถามใหม่เสียเอง เพราะตั้งแต่เดินเข้างานมาเธอยังไม่เห็นเจ้าของงานเลย
“นี่ยัยรินนี่ยังไม่มาอีกหรือ” รินนี่คือเพื่อนสาวเพศที่สาม ที่ผู้ชายต้องมองเหลียวหลัง เพราะเธอสวยกว่าผู้หญิงอีกหลายคน
“ยังเลย”
ป่านฝันเพียงพยักหน้ารับรู้แกนๆ กับสิ่งที่พราวลดาบอก โดยไม่ได้พูดอะไร เพราะความหงุดหงิดเมื่อครู่ยังไม่จางหาย ความหงุดหงิดระลอกใหม่ก็ก่อตัวขึ้นมาซ้อนทับ เมื่อเพื่อนเดินเข้ามาหาพร้อมกล่าวทักทายในประโยคเดิมๆ ที่เธอแสนเกลียด
“ป่าน ฉายเดี่ยวอีกงานแล้วหรือ”
คนถูกทักเพียงยิ้มให้เพื่อน แต่ยังไม่ทันข้ามนาที เพื่อนอีกคนก็รัวกระสุนระลอกใหม่มาที่เธอไม่ยั้ง
“ชักไม่อยากเชื่อคำพูดของเธอแล้วนะป่าน บอกว่ามีแฟน แต่ไปงานในรอบปี ฉายเดี่ยวทุกครั้งเลย” เพื่อนอีกคนก็เสริมขึ้น
“เนอะๆ”
“ยังไงกันป่าน ได้ข่าวว่าเธอจะแต่งงานตั้งแต่สามปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“อินทุอรก็ถามตรงเกินไป ฉันอยากรู้ยังไม่กล้าถามเลย” กิ่งกมลแกล้งเย้าอินทุอร แต่ก็ไม่วายหันมาถามป่านฝัน
“เมื่อไหร่จะมีข่าวดีจ๊ะ”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละน่า ผู้หญิงวัยนี้กำลังแซบ เป็นโสดและทำงาน มีความสุขจะตาย” พราวลดาเป็นคนตอบแทน
“อย่างเธอ ยังไม่แต่งงานก็ไม่เป็นไร เพราะได้ทำงานกับสุดที่รักทุกวัน แต่ป่านนี่สิ” อินทุอรทิ้งประโยคอ้อล้อถาม
หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาก็เป็นเรื่องของป่านฝันทั้งสิ้น เจ้าของเรื่องเพียงยิ้มรับและพยักหน้าแกนๆ คนที่ออกรับแก้ตัวแทนคือพราวลดา จนในที่สุดป่านฝันก็ทนต่อไปไม่ไหว
ป่านฝันชักสีหน้า เธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งเรื่องอารมณ์บูดเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา อากาศอุดอู้จากข้างนอก แล้วยังต้องมาเจอคำถามเดิมๆ เป็นชนวนพาอารมณ์บูดเพิ่มขึ้น
“ฉันออกไปเข้าห้องน้ำนะพราว เดี๋ยวฉันมานะ” ป่านฝันตัดบทบอกพราวลดาและผละออกไปทันที ไม่แยแสที่จะสนทนากับเพื่อนคนอื่นสักนิด
ก็จริงอย่างที่พวกเขาพูด เธอเองก็มีแฟน เขาเป็นถึงกัปตันของสายการบินชื่อดังแห่งหนึ่งของโลก แต่ด้วยเวลาทำงานของเธอกับเขาที่แตกต่าง ทำให้เขาและเธอเริ่มถอยห่างออกไปทุกที แม้เธอจะบอกทุกคนว่าเขาคือแฟน แต่ในใจของเธอกลับแอบคิดและเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอ
‘ตอนนี้เขายังคงสถานะแฟนของเธออยู่หรือเปล่า’
