บทที่ 1 ความเย็นชา
บทที่ 1 ความเย็นชา
ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาด
หยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็น
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้ว
หัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับ
เมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้
หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆ
นางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา
นางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนหายใจ
“คุณชายอยู่ที่เรือนอักษรตั้งแต่เช้า และสั่งให้ข้ามาแจ้งฮูหยินว่าให้ฮูหยินทานอาหารเช้าเลยมิต้องรอ คุณชายจะรับประทานอาหารเช้าที่นั่นเลย”
หยางมี่ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เพราะนางทานอาหารเช้าเช่นนี้คนเดียวมาร่วมอาทิตย์แล้ว อย่าว่าแต่ช่วงเช้าเลย แม้แต่ช่วงเย็นเขาก็กลับมาไม่ทันอาหารเย็นหรือบางวันก็นอนที่ค่ายทหาร หากกลับมาจากค่ายทหารก็อาบน้ำขึ้นเตียงนอน และหายไปจากเตียงในยามเช้า
นางรู้อยู่แล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับหน้าที่ ยิ่งตั้งแต่ท่านแม่ทัพขอลาราชกิจเพราะฮูหยินตั้งครรภ์และแพ้ท้องหนัก กุนซือของแม่ทัพอย่างจางกุนเหยาสามีของนางจึงกลายเป็นคนที่รับหน้าที่ดูแลในส่วนของแม่ทัพอี้หยางเฉิงทั้งหมด
แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะเลือกนอนค้างที่นั่นโดยไม่บอกกล่าว
เมื่อมาถึงหน้าประตูเรือนอักษร หยางมี่หยุดยืนสูดลมหายใจลึกก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ในห้องมีเพียงแสงจากตะเกียงริบหรี่ จางกุนเหยานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ กองฎีกาวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย ราวกับว่านางไม่มีตัวตน
“ท่านพี่…” หยางมี่เอ่ยเสียงเบา แต่เขาไม่ได้ตอบ
นางก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น สายตาสำรวจไปรอบห้อง ที่มุมหนึ่งมีผ้าห่มที่ถูกพับเก็บลวก ๆ พร้อมหมอนใบหนึ่ง ทุกอย่างบ่งบอกว่าเขาตั้งใจนอนที่นี่จริง ๆ ไม่ใช่แค่เผลอหลับไปหรือมาตอนรุ่งสาง
“เหตุใดท่านจึงไม่นอนที่เรือน” นางถามออกไปในที่สุด
ครั้งนี้เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเข้มลึกสบกับนางเพียงครู่เดียว ก่อนจะละไปทางอื่น “ข้ายังมีงานต้องทำ”
เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่หยางมี่รู้ดีว่าไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
“หรืองานที่ว่าคือการหลีกเลี่ยงการพบหน้าข้า” นางถามอย่างตรงไปตรงมาในที่สุด
จางกุนเหยาเงียบ ไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ นั่นกลับยิ่งตอกย้ำความจริงที่อยู่ในใจของหยางมี่
“ข้ามีงานด่วนต้องจัดการ หากมาเพื่อถามแค่นี้ เอาไว้คุยยามอื่นได้หรือไม่”
เขาก้มหน้ามองกระดาษตรงหน้า โดยไม่สนใจภรรยาที่ยืนอยู่ด้านข้างเลยสักนิด เมื่อคำเอ่ยปากไล่กลาย ๆ ออกมาจากปากผู้เป็นสามี ต่อให้นางจะสมองช้ามิทันคน อย่างที่เขาเคยปรามาสนางตั้งแต่วัยเยาว์ แต่นางก็ไม่ได้โง่จนทำให้เขาต้องเอ่ยปากไล่ออกมาตรง ๆ อีกครั้ง หยางมี่จึงวางถาดน้ำชาลงและเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
ความรู้สึกที่ถูกสามีเย็นชาใส่ และแม่สามีไม่ชอบหน้าเพราะไม่มีบุตร ประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน แม่สามีไม่ชอบนาง เอ่ยว่าดูแคลนนางเพียงใด ขอเพียงเขารักและปกป้องนาง หยางมี่ก็คิดว่าตนจะสามารถทนอยู่ที่จวนสกุลจางได้ไม่ยาก
หยางมี่เคยเชื่อว่าการแต่งงานคือจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่มั่นคง นางฝันถึงครอบครัวที่อบอุ่น สามีที่รักใคร่ และวันคืนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
แต่ความจริงช่างแตกต่างจากสิ่งที่นางวาดฝันไว้มากนัก
สามีของนาง บุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก บัดนี้กลับเย็นชา ดวงตาที่เคยมองนางด้วยความอ่อนโยน บัดนี้เหลือเพียงความเฉยเมย คำพูดที่เคยปลอบโยนกลับสั้นกระชับ ราวกับว่าการพูดคุยกับนางเป็นเพียงเรื่องจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และยิ่งไปกว่านั้น การที่นางยังไม่มีบุตรทำให้สถานะของนางในจวนนี้ยิ่งเลือนราง
แม่สามีมองนางราวกับเป็นตัวไร้ค่า ทุกครั้งที่สบตากัน มีแต่แววตำหนิและความผิดหวัง
เดิมทีจางหลันไม่ต้องการให้หยางมี่เป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่แรก แต่เพราะบุตรชายคนเดียวมาคุกเข่าอ้อนวอนนางจึงยอมถอยให้โดยมีเงื่อนไข และเมื่อเวลาผ่านไปครรภ์ของหยางมี่ยังคงว่างเปล่า ความไม่พอใจของนางก็ยิ่งทวีขึ้น
“เจ้าทำอะไรบ้างทั้งวัน”
คำพูดแดกดันดังขึ้นในเรือนนอนของสะใภ้ การมาเยือนของแม่สามีทำเอาหยางมี่มวนท้องทุกครั้ง นางนั่งตัวตรง มือกำกระโปรงแน่น
“แต่งเข้าจวนมาเป็นปีแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวดี เจ้ายังกล้าบอกว่าเจ้าทำหน้าที่ภรรยาดีแล้วอย่างนั้นหรือ”
หยางมี่ก้มหน้ารับฟังคำตำหนิจากอีกฝ่าย น้ำเสียงที่ตำหนิราวกับคมมีดกรีดลงกลางใจ นางพยายามแล้ว พยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ กินยาบำรุง ทำพิธีบูชา ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้างนางเลย
“หรือว่าร่างกายของเจ้ามีปัญหากันแน่”
คำพูดนั้นทำให้นางชาไปทั้งร่าง มือที่กำอยู่สั่นเล็กน้อย นางรู้ว่าความเงียบของนางไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่นางไม่มีคำใดจะโต้ตอบ
“แล้วข้าวของนี่อะไร” จางหลันมองห่อผ้ามากมายบนโต๊ะจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ไก่ตุ๋นมะนาวดองเจ้าค่ะ เว่ยเว่ย…ฮูหยินท่านแม่ทัพแพ้ท้องหนักมาก คราก่อนที่ไปเยี่ยม นางบ่นว่าอยากกิน ข้าเลยทำเพื่อนำไปเยี่ยม”
หยางมี่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย คำที่ออกจากปากลูกสะใภ้ดึงความสนใจของจางหลันได้ไม่น้อย นางมัวแต่โกรธที่หยางมี่ไม่มีหลานให้ตนสักที จนลืมไปว่าหยางมี่สนิทสนมกับฮูหยินแม่ทัพเจ้านายของบุตรชายของนางอย่างมาก นอกจากบุตรชายของนางจะเป็นสหายแม่ทัพแล้ว ลูกสะใภ้ของนางยังเป็นสหายสนิทของฮูหยินแม่ทัพ หน้าที่การงานย่อมมั่นคงมากกว่าเดิม
“ดี ๆ รีบไปจะได้ทันมื้อกลางวัน อย่าลืมพูดให้ฮูหยินท่านแม่ทัพฟังด้วยว่า กุนเหยาทำหน้าที่แทนระหว่างที่ท่านแม่ทัพลาเฝ้านางที่จวนอย่างหนักด้วยล่ะ อะไรที่เอ่ยชมได้ก็เอ่ย เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
หยางมี่แทบจะรีบอุ้มห่อผ้าและหายตัวไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีคำเหน็บแนมอย่างอื่นออกมาจากปากแม่สามี
“เฮ้อ มันก็น่าแปลกจริง ๆ ผืนดินได้รับการหว่านปุ๋ยก่อนแท้ ๆ แต่กลับไม่มีผลผลิตใดให้ชื่นชม ต่างจากผืนดินแปลงข้าง ๆ กลับออกดอกผลในทันทีจนผู้คนอิจฉา”
เสียงของจางหลันยังแว่วตามหลังมา เหตุใดหยางมี่จะไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำเหล่านั้น นางแต่งกับจางกุนเหยาก่อนที่ท่านแม่ทัพอี้หยางเฉิงจะแต่งกับเจียงซีเว่ย แต่จวนท่านแม่ทัพกลับมีข่าวดีก่อน
