ภาค 2 ตอนที่ 7 เบาะแสจากอดีต
ภาค 2 ตอนที่ 7 เบาะแสจากอดีต
"ไอ้อาจารย์ลีตัวแสบ! ย๊ากกกกก!! จะสปอย์เนื้อเรื่องแล้วทำไมไม่ยอมสปอยให้จบฟร้ะ!!!!!! "
ลู่หลินสบทด่าขึ้นอย่างหัวเสียแล้วขว้างตำราลับราชวงศ์ฉินที่อาจารย์ลีให้มาในมือทิ้งยามที่อ่านมาได้ถึงหน้าสุดท้ายแล้วพบว่าเรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะยังไม่จบสิ้นดี ดันมาขาดในใจความสำคัญไปซะได้…
คล้ายคนกำลังอินกับละครมากๆ แล้วโดนแม่เรียกไปล้างจานอย่างไรอย่างนั้น…
ท่าทีเหล่านี้ทำให้เทียนหยางที่นั่งเฝ้ามองและตั้งใจฟังลู่หลินอ่านบันทึกให้ฟังอยู่ถึงกับต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
ด้วยสำหรับตัวเขาแล้วนั้น บันทึกลับฉบับนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวสำคัญของราชวงศ์ฉินของเขาไว้อย่างมากมายนับตั้งแต่ก่อนเขาจะเกิดเลยด้วยซ้ำ ความละเอียดลออของเรื่องราวที่เล่าขานนับว่าครบถ้วนมากจนต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะอ่านได้จนจบจึงนับว่าได้รับรู้ข้อมูลและเบาะแสสำคัญมามากมาย เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วเทียนหยางถือว่าบันทึกลับเล่มนี้มีประโยชน์มิใช่น้อย แต่ดูเหมือนว่าลู่หลินจะมิได้พอใจแค่นั้น…
“แม้จะน่าเสียดายอยู่บ้างที่ไม่อาจทราบเรื่องราวได้จนครบถ้วนทุกกระบวนความ แต่ก็นับว่าได้ข้อมูลที่มีประโยชน์และเบาะแสสำคัญไม่น้อยนะ… ดูเหมือนจะขาดไปก็เพียงแค่คำกล่าวสุดท้ายของฮ่องเต้หวงเทียนจินเพียงเท่านั้น เช่นนั้นเจ้าอย่าได้หงุดหงิดใจไปเลย อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าสาเหตุที่พี่ใหญ่ต้องโทษประหารเป็นเพราะเรื่องการเพิกเฉยต่อเหตุการณ์เมืองโจว จากนี้ก็ค่อยๆ สืบสาวหาความกันต่อไปเถอะ…"
เพราะเห็นลู่หลินยังมีสีหน้ายุ่งยากใจดูอารมณ์ไม่ดีนักเทียนหยางจึงได้รีบเอ่ยปลอบออกมา
“หูยยย จะไม่ให้ข้าอารมณ์เสียได้อย่างไร ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะต้องตายเพราะตำรานี้ไปกี่ครั้ง ใจข้าก็คาดหวังมิใช่น้อยว่าจะต้องได้รู้ทุกเรื่องจนจบ การที่หน้าสุดท้ายหายไปพร้อมกับคำกล่าวสุดท้ายของฮ่องเต้หวงเทียนจินย่อมต้องหมายถึงสิ่งที่ชายผู้นี้พูดทิ้งท้ายไว้นั้นสำคัญมาก… บางที่มันอาจจะเป็นคำสารภาพแนวๆ ว่าเขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด หรือไม่ก็อาจจะบอกว่าแท้จริงคนบงการทุกเรื่องราวจนทำให้อาณาจักรฉินต้องสูญสิ้นเป็นใครก็ได้ ใครจะไปรู้ หน้าสุดท้ายมาหายไปแบบนี้มันเหมือนดูละครมาทั้งเรื่องแล้วดันไม่ได้ดูตอนจบ ใครเล่าจะไม่หงุดหงิด!”
คำตอบรับด้วยสีหน้ามุ่ยๆ ของลู่หลินทำให้เทียนหยางได้แต่อมยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่ลู่หลินจะไม่พอใจหรือคิดว่าตนยังได้รับรู้ข้อมูลไม่มากพอเนื่องด้วยลู่หลินมีความรู้จากโลกอนาคตมามากแล้ว ความคาดหวังจากบันทึกลับจึงดูจะเป็นไปในทิศทางที่ต้องการข้อมูลใหม่ๆ มากกว่าหรือมองว่าบันทึกลับราชวงศ์ฉินนี้มิได้ให้ข้อมูลใดๆ ที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม เพราะไม่ใช่คนที่อยู่ในราชวงศ์และไม่สนใจในที่มาที่ไปเชิงลึกของเหตุการณ์ต่างๆ
แต่กับเขาที่เติบโตขึ้นมาในราชวงศ์นี้ เรื่องราวละเอียดยิบย่อยพวกนี้นับว่ามีประโยชน์มิใช่น้อย ยิ่งเมื่อรวมกับเรื่องชะตาชีวิตของป๋ายอี้หลินที่ลู่หลินได้รับถ่ายทอดความทรงจำมาแล้วเล่าขานให้เขาฟังแล้ว ก็นับว่าได้เบาะแสเพิ่มเติมอีกหลายอย่างทีเดียว
“แม้จะคล้ายดูละครไม่จบ แต่ก็นับว่าได้เบาะแสมากมายถึงหลายๆ เหตุการณ์ในอดีต…”
“เบาะแสรึ? …”
“ใช่… เบาะแส… ประการแรก โทษกบฏ นั้นร้ายแรงก็จริง แต่ตามกฎและความเชื่อของราชวงศ์ข้าแล้ว เชื้อสายทุกคนยามสิ้นชีพต้องถูกฝังร่างที่สุสานราชวงศ์ไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำผิดร้ายแรงขนาดไหนก็ตามนั่นเพราะเชื่อว่าตายไปแล้ววิญญาณของสายตระกูลที่นอกคอกเหล่านั้นจำเป็นต้องไปรายงานตัวแก่บรรพชนรับผิดและรับการสอนสั่งเสียใหม่เพื่อให้เกิดมาในชาติภพหน้าจะได้มิทำผิดเช่นเดิมอีก ซึ่งเรื่องนี้จะละเลยมิได้เด็ดขาด แต่พระศพของท่านพี่กลับถูกฝังในที่ห่างไกลราวกับสามัญชนทั่วไป มิใช่คนในตระกูลหวง เรื่องนี้จึงนับว่าน่าสงสัย…”
“เห? … น่าสงสัยหรือ? ….”
"อืม… นานมาแล้วตั้งแต่ข้ายังเด็ก ท่านอาจารย์ข้า จอมพลหวังเจี้ยนเคยมีเรื่องเบาะแว้งอย่างลับๆ กับเสด็จพ่อเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสด็จพี่ว่าอาจไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แท้ เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ท่านอาจารย์เลือกที่จะรับข้าเป็นศิษย์แทนที่จะเป็นท่านพี่และออกแรงสนับสนุนข้าในตอนเริ่มต้น มิใช่เพียงแค่ความถูกใจกันในอัธยาศัยใจคออย่างที่ทุกคนร่ำลือ
ครั้งหนึ่งหลังจากข้าเสร็จจากการฝึกฝนร่างกายและได้เข้าไปหาท่านอาจารย์เพื่อรายงานการฝึก กลับได้พบว่าท่านกำลังสนทนาเรื่องลับๆ กับเสด็จพ่ออยู่… ตอนนั้นข้ายังมีความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก จึงได้ตัดสินใจแอบฟังอย่างเสียมารยาท…
เรื่องที่พวกเขาคุยกันเป็นเรื่องในอดีต ที่ท่านพ่อกับฮองเฮาเคยบาดหมางกันใหญ่โตด้วยเรื่องบางอย่างตั้งแต่สมัยที่ฮองเฮาเป็นเพียงแค่สนมเอก จนฮองเฮาตัดสินใจปลงผมไปบวชเป็นชีอยู่ที่อารามนอกเมืองฉินอยู่หลายปี ก่อนที่ท่านพ่อจะไปตามเสด็จกลับมาเพื่อมารับตำแหน่งเป็นฮองเฮา ยามที่ฮองเฮากลับมานั้นได้อุ้มเสด็จพี่ในวัยขวบเศษกลับมาด้วย… นับเป็นราชโอรสคนแรกนับตั้งแต่เสด็จพ่อได้ขึ้นครองราชย์….
ท่ามกลางข่าวน่ายินดีนี้ ท่านอาจารย์หวังเจี้ยนกลับมีความรู้สึกสงสัยบางอย่าง….
ในฐานะที่จอมพลหวังเจี้ยนคุมกองกำลังรักษาดินแดนและรักษาพระองค์เสร็จสรรพโดยผู้เดียว ทุกการเดินทางของฮ่องเต้ย่อมต้องอยู่ในภาระหน้าที่การอารักขาของจอมพล…
ตลอดเวลาหลายปีที่ฮองเฮาไปบวชชีที่อารามนอกเมืองฉิน แม้ท่านพ่อจะได้เสด็จออกไปเยี่ยมเยียนราษฎรอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะได้เฉียดกายเข้าไปใกล้ที่อารามนั้น… เช่นนั้นแล้วฮองเฮาตั้งท้องได้อย่างไร? … นั่นเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ข้าตั้งคำถามกับเสด็จพ่ออยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบกลับมา กลับบอกเพียงแค่ให้เชื่อมั่นว่าเสด็จพี่เป็นบุตรของพระองค์แน่นอนและอย่าได้สงสัยอีก
แต่แน่นอนว่าท่านอาจารย์ยังเก็บงำความสงสัยไว้อยู่… จนเมื่อพี่ใหญ่ยิ่งเติบโตยิ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงท่านพ่อมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง ความคลางแคลงใจทั้งหลายจึงได้สลายหายไปในที่สุด… มาถึงยามนั้นแม้ท่านอาจารย์จะยอมรับในตัวเสด็จพี่มากขึ้นแล้ว แต่เพราะได้เลี้ยงดูอุ้มชูข้ามาเป็นเวลานาน ความผูกพันในฐานะศิษย์อาจารย์ย่อมมีมากกว่า ทำให้สุดท้ายแล้วท่านก็เลือกที่จะเดินหน้าสนับสนุนข้าต่อไป แม่ความจริงแล้วผู้ที่มีสายเลือดเข้มข้นคู่ควรกับบัลลังก์มากที่สุดจะเป็นท่านพี่ก็ตาม…
เมื่อมาเจอว่าบันทึกลับของราชวงศ์เล่าขานถึงสถานที่ฝังศพของท่านพี่ข้าจึงนึกขึ้นมาได้ว่ามีบางอย่างน่าสงสัย… คนอย่างฮองเฮาที่ถือในยศศักดิ์ยิ่งกว่าใครย่อมไม่มีทางปล่อยให้พระศพของท่านพี่ต้องถูกฝังเยี่ยงสามัญชนแน่ ดูท่าแล้วเรื่องชาติกำเนิดของเสด็จพี่อาจจะมีเงื่อนงำมากกว่าที่คิด….."
คำบอกเล่าของเทียนหยางทำให้ลู่หลินถึงกับอ้าปากค้างอย่างตกใจเพราะไม่เคยรู้ว่าเบื้องลึกในราชวงศ์ฉินจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ด้วย การที่ฮองเฮาอุ้มลูกกลับมาทั้งที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กับฮ่องเต้อยู่หลายปีนั้นสามารถจินตนาการเรื่องราวได้หลายอย่างมิใช่เล่นล่ะ…
กับผู้อื่นเรื่องนี้อาจมิได้สำคัญมาก แต่เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของฮองเฮาที่อาจอยู่เบื้องหลังการต่อสู้เพื่อบัลลังก์ขององค์ชายคนใดคนหนึ่งแล้ว การได้รู้ชัดเจนว่าแท้จริงฮองเฮาผู้นี้เลือกจะสนับสนุนองค์ชายคนใดขึ้นครองราชย์ย่อมเป็นเรื่องที่จะช่วยให้หาทางเฝ้าระวังได้ง่ายดายกว่า…
เมื่อรัชทายาทเป็นผู้ที่ฮองเฮาอุ้มกลับมาจากนอกวัง เรื่องที่ว่าจะไม่ใช่ลูกฮองเฮาย่อมไม่น่าเป็นไปได้เท่าเรื่องที่อาจจะไม่ใช่ลูกฮ่องเต้มากกว่า เช่นนั้นแล้วในฐานะแม่ที่ต้องปกป้องลูกสุดใจตามลำพัง ฮองเฮาคงไม่พ้นต้องทำทุกอย่างเพื่อบุตรชายที่อาภัพผู้นี้ เมื่อเทียบกับองค์ชายสามที่ชาติกำเนิดชัดเจนและได้รับความรักมากกว่า?
เทียนหยางเห็นลู่หลินทำตาโตแสดงอาการตั้งใจฟังและตื่นเต้นอย่างชัดเจนก็เริ่มชี้แจงข้อสงสัยในประเด็นต่อไป
“ประการที่สอง เรื่องการรุกรานเผ่าหยวนของเจ้าในอดีตนั้น เดิมทีตัวข้าและท่านอาจารย์มิได้เห็นด้วยนัก แต่เพราะมีขุนนางผู้หนึ่งเข้ามาเบิกความในท้องพระโรงว่าการศึกกับเผ่าหยวนจำเป็นต้องก่อ เพราะว่าพวกเขาเป็นพวกชนเผ่าที่ใช้วิชามารเลวร้ายไม่ต่างจากพรรคเบญจพิษและกำลังคิดจะก่อการใหญ่ต่อต้านราชวงศ์ฉินของเรา คนผู้นั้นคือเสนาตู๋เจ้ากรมคลัง ทำให้สุดท้ายแล้วศึกนี้ก็เกิดขึ้นและจบลงอย่างน่าเศร้า ซ้ำแล้วเมื่อจบศึกก็มิได้ค้นพบหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าเผ่าหยวนใช้วิชามารและกำลังคิดการใหญ่ด้วย การศึกคราวนั้นจึงนับว่าเป็นเรื่องอัปยศที่ผิดพลาดโดยแท้ ทำให้หลังจากนั้นท่านอาจารย์ของข้าจอมพลหวังเจี้ยนตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบเพื่อสำนึกผิดในบาปกรรมครั้งนี้…”
คำบอกเล่าเรื่องราวที่สองอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวอดีตของป๋ายอี้หลินทำให้ลู่หลินสนใจมาก ยิ่งยามนี้ตัวเขาก็นับว่ามีจิตใจครึ่งหนึ่งเป็นป๋ายอี้หลินแล้ว ความรู้สึกในเรื่องนี้จึงเข้มข้นขึ้นตามประสาคนใส่ใจเรื่องราวของตัวเอง
ชัดเจนว่านิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นจากป๋ายอี้หลินคนเก่าได้ถ่ายทอดมาที่ลู่หลินคนคิดบวกเช่นกัน ปฏิกิริยาตอบโต้จึงรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้การแสดงออกเป็นไปในแบบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทั้งที่ไม่ใช่นิสัย
“ตอนที่เจ้าอ่านความจากบันทึกลับว่าผู้ที่เป็นผู้นำการสอบสวนคดีของพี่ใหญ่นั้นเป็นท่านเสนาบดีตู๋เจ้ากรมคลังข้าจึงพบพิรุธที่น่าสงสัย ประการแรกเสนาตู๋ผู้นี้ไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องทางการทหารและอำนาจตุลาการ เหตุใดถึงได้เข้ามาเกี่ยวพันกับการสอบสวนความผิดสองเรื่องนี้ได้…จนข้ามาทบทวนเกี่ยวกับตัวเสนาผู้นี้ จากที่เห็นดูคล้ายว่าเขาจะออกหน้าสนับสนุนน้องสามเป็นกษัตริย์ในช่วงนี้ อีกทั้งองครักษ์เจิ้งเพิ่งจะรีดข้อมูลมาได้ว่าคนที่ว่าจ้างให้นักบวชหลอกลวงชาวบ้านให้งมงายเป็นขุนนางกู่เจี้ยน บุตรของเสนาตู๋ผู้นี้เอง… หากเขาเป็นผู้ที่เปิดโปงความผิดรัชทายาทตามบันทึกจริงคงมิแคล้วว่าเป็นการใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามซึ่งก็คือน้องสาม… แต่น้องสามที่ข้ารู้จักมิใช่คนที่จะทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ได้เลย….”
“เช่นนั้นท่านคิดว่าบันทึกลับนี้เขียนเรื่องราวไม่จริงงั้นหรือ? ….”
“เป็นได้ทั้งจริงและไม่จริง ไม่อาจฟันธง นั่นคือความน่าฉงนในประการที่สาม… เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าอาจารย์ลีผู้นั้นกล่าวไว้ว่าเรื่องราวในบันทึกราชวงศ์เป็นมุมมองของคนเพียงผู้เดียวไม่จริงแท้เท่าพิสูจน์ด้วยตา เช่นนั้นแล้วความสำคัญคือผู้บันทึกเรื่องราวในบันทึกลับผู้นี้เป็นผู้ใด…"
“…??? …"
จากเรื่องราวทุกอย่างที่กล่าวใส่ไคล้ไปที่เสด็จพี่ทั้งยังได้รู้เห็นเรื่องราวจนถึงจุดจบของอาณาจักรฉิน ข้าจึงคิดว่าผู้เขียนบันทึกอาจเป็นคนของน้องสาม หรือบางทีอาจเป็นตัวน้องสามเอง…”
“!!!!!”
“ประกอบกับที่บันทึกลับนี้ได้มอบสู่เจ้าผ่านทางอาจารย์ลี… เจ้าบอกว่าอาจารย์ลีผู้นี้ใบหน้าคล้ายข้ามิใช่รึ? อาณาจักรนี้คนที่ใบหน้าคล้ายข้าก็มีไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็เป็นเสด็จพี่และน้องสาม….”
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า? …..”
“ใช่แล้ว… จากบริบททั้งหมดที่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เขียนบันทึกลับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ดูแล้วคงไม่พ้นเป็นน้องสาม… เช่นนั้นแล้ว… อาจารย์ลีของเจ้าก็คงจะเป็นน้องสามเช่นกัน…."
“!!!!!!!!”
________________
Talk#ขอบคุณคอมเมนต์ค่า
E-Book ที่ Meb ภาค 1 มี 80 ตอน เพิ่มตอนพิเศษ 5 ตอน ราคา 299 บาท
E-Book ที่ Meb ภาค 2 มี 67 ตอน เพิ่มตอนพิเศษ 3 ตอน ราคา 299 บาท
