ภาค 2 ตอนที่ 10 เข้าสู่เมืองหุ้ยโจว
ภาค 2 ตอนที่ 10 เข้าสู่เมืองหุ้ยโจว
หลังจากการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องในอดีตและลู่ทางต่อไปในอนาคตจบลง ทั้งคู่ก็ไม่มีใครหยิบยกเรื่องแผนการผลักดันเทียนหยางขึ้นสู่บัลลังก์มาถกอีก เหลือเพียงเรื่องปริศนาต่างๆ ที่ยังต้องขบคิดเพื่อการป้องกันตัวเท่านั้นที่ยังเหลือให้ต้องมักหยิบยกขึ้นมาปรึกษาหารือกันอยู่
วันเวลาแห่งการเตรียมการเดินทางสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ถึงเวลาแห่งการออกเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง
ขบวนเรืออพยพห้าสิบลำถูกปรับแต่งอย่างเร่งรีบให้กลายเป็นเรือที่พร้อมเดินทางไกล เป็นเพราะตอนแรกเรือถูกจัดเตรียมไว้สำหรับขนคนให้ได้ถึงสามร้อยคน พื้นที่ของเรือจึงได้ดูกว้างขวางขึ้นมาทันตายามที่แต่ละลำเรือเหลือคนเพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น รองแม่ทัพหุยและองครักษ์เจิ้งที่ได้รับคำสั่งเรื่องจัดเตรียมกำลังพลและเรือให้พร้อมจึงได้เตรียมขนอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นใส่เรือไว้ด้วยเพื่อเตรียมรับมือในสภาวะฉุกเฉินเท่าที่ระยะเวลาจะเอื้ออำนวย ทำให้ยามนี้เรืออพยพดูคล้ายเป็นเรือรบที่พรั่งพร้อมเข้าร่วมศึกเต็มที่
แน่นอนว่าตอนที่เทียนหยางรู้เรื่องนี้นั้นเขาโกรธมาก ด้วยการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับการทำตัวเป็นสายล่อฟ้า รอวันที่จะถูกฟ้าผ่า… ขนาดมิได้มีกองทัพเรือหนุนหลัง ผู้คนก็หวาดกลัวว่าเขาจะนำกำลังก่อการกบฏจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งมายามนี้มีคลังแสงเคลื่อนที่คอยติดตามไปทุกที่ คนจะไม่ยิ่งหวาดระแวงหรือ?
“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง ที่คิดการทำอะไรโดยพลการ… แต่การกลับเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ของท่านแม้ความจริงแล้วจะนับว่ามีความดีความชอบ แต่กับคนที่จ้องจะริษยาคิดว่าท่านจะเป็นภัย คนพวกนั้นย่อมต้องคอยหาทางป้ายสีใส่ร้ายกลับถูกให้เป็นผิดได้ ครั้นจะตามไปปกป้องพระองค์ก็ติดว่าต้องอยู่ช่วยเหลือราษฎรเมืองโจวตามรับสั่ง เช่นนั้นแล้วให้กระหม่อมได้เตรียมการนี้ไว้เพื่อความอุ่นใจเถิด….”
คำกล่าวเช่นนี้บ่งบอกว่าตัวการเรื่องปรับแต่งเรือรบนี้คือรองแม่ทัพหุยผู้นี้นี่เอง อีกทั้งเหตุผลหลักๆ ยังทำไปด้วยความเป็นห่วง เทียนหยางจึงต้องจำใจยอมรับ ทำแค่เพียงตักเตือนไปว่าคราวหน้าหากคิดอ่านการใดอีกให้บอกกล่าวกันก่อนเพียงเท่านั้น…
เมื่อขบวนเรือปรับสภาพเป็นกองเรือรบแล้วก็ทำให้การเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในครั้งนี้ทำได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่ถึงสิบราตรีตามที่คาด บัดนี้ขบวนเรือห้าสิบลำของเทียนหยางจึงได้มาจอดเทียบท่าอยู่ที่เมืองหุ้ยโจว เมืองท่าใกล้เคียงติดกับเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความจริงตามเส้นทางการเดินทางที่ถูกต้อง เขาควรจะต้องนำขบวนเรือไปจอดที่เขตท่าเรือปริมณฑลของเมืองหลวง จากที่นั่นเดินทางโดยม้าเพียงแค่สี่ชั่วยามก็จะสามารถเข้าสู่ประตูเมืองหลวงตรงสู่พระราชวังได้แล้ว แต่เพราะรูปการขบวนเรือของเขาเปลี่ยนไปทั้งยังเดินทางได้เร็วกว่าที่คาดไว้มาก เทียนหยางจึงได้ออกคำสั่งให้ขบวนเรือของเขาหันหัวไปที่เมืองหุ้ยโจวอันเป็นเมืองที่อดีตจอมพลหวังเจี้ยนท่านอาจารย์ของเขาพำนักอยู่ ตั้งใจว่าจะพักผ่อนอยู่ที่นี่สักสองวันและจะออกเดินทางด้วยม้าต่อกับกำลังทหารพันนายอีกหนึ่งวันเพื่อเข้าสู่เมืองหลวงแทน
ประการแรกเพื่อไม่ให้ภาพการเดินทางของขบวนเรือรบนี้ดูเป็นที่เอิกเกริกจนไปสะกิดใจผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย
ประการที่สองคือเขาต้องการไปพบปะท่านอาจารย์หวังเจี้ยนที่พำนักอยู่ที่เมืองนี้เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญจากข้อมูลในบันทึกลับด้วย
แน่นอนว่าการเดินทางด้วยกำลังทหารหนึ่งพันนายจากเมืองหุ้ยโจวไปสู่เมืองหลวงย่อมเป็นที่น่าสงสัย แต่ในขณะเดียวกันก็นับเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลด้วยเช่นกันในฐานะศิษย์ที่มีความกตัญญูรู้คุณจนอยากแวะไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ของตนก่อนในระหว่างที่ผ่านทางก่อนเข้าเมืองหลวง
“เทียนหยาง อาจารย์ของท่านจะอยู่ที่เมืองเล็กๆ นี้แน่หรือ? จอมทัพยิ่งใหญ่เช่นเขา มิน่ามาอยู่ในเมืองเช่นนี้ได้นา…”
“ในอดีตอาจเคยเป็นจอมทัพอันเกรียงไกร แต่ในปัจจุบันก็นับเป็นชายแก่วัยเกษียณคนหนึ่ง… โดยปกติท่านอาจารย์มักจะออกไปท่องเที่ยวทั่วอาณาจักรเสียมากกว่า แถมช่วงที่ประจำการในตำแหน่งก็เดินทางคุมทัพตรวจพลตามชายแดนตลอดจึงไม่ได้สร้างจวนพำนักไว้ที่ใดเป็นเรื่องเป็นราว ไปอยู่ที่ไหนก็เพียงสร้างจวนเล็กๆ ชั่วคราวอยู่ที่นั่น สมบัติพัสถานมิได้มีมากมายเทียบเท่าอิทธิพลทางการทหาร แต่ช่วงหนึ่งปีมานี้เห็นว่าร่างกายของท่านมิได้แข็งแกร่งดุจเดิมแล้ว จึงเริ่มคิดที่จะตั้งรกรากลงหลักปักฐานสักที่หนึ่ง ข้าเคยออกปากเชิญชวนให้เขาไปอยู่ที่เมืองโจวกับข้าแล้ว แต่ท่านอาจารย์ปฏิเสธเพราะอยากเลือกที่พำนักเอง ข้าเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเลือกเมืองหุ้ยโจวนี้…”
ลู่หลินเห็นเทียนหยางเอ่ยปากเกริ่นออกมาในทิศทางเดียวกันกับที่คิดก็ยิ่งอารมณ์ดีที่ตัวเองคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องจึงได้รีบต่อความไปด้วยท่าทีแข็งขัน เจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่มั้ยล่า ข้าว่าเมืองนี้มันค่อนข้างจะเล็กและคับแคบเกินไปหน่อย ท่านพาข้าขี่ม้ามาได้ไม่นานก็ข้ามฝั่งจากริมหาดมาสู่อีกฝั่งของเมืองได้แล้ว ช่างไม่สมกับเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงเอาซะเลย เมืองโจวของท่านที่ว่าห่างไกลยังดูยิ่งใหญ่และเจริญหูเจริญตากว่าเสียอีกนะ ท่านว่ามั้ย ท่านลูกพี่เจิ้ง!”
ประโยคยืดยาวประโยคแรกกล่าวกับเทียนหยาง แต่ดันหันไปเนอะนะกับองครักษ์เจิ้งที่ขี่ม้าตามมาทางด้านหลัง ทำเอาเทียนหยางถึงกับหางคิ้วกระตุกต้องปลายสายตาไปมองคนที่ถูกเอ่ยนามด้วยสายตาข่มขู่อย่างไร้เหตุผลราวกับต้องการให้เขาทำอะไรสักอย่าง
“เอ่อ… พระชายาป๋าย ท่านอย่าเรียกขานข้าว่าท่านพี่เจิ้งเลย… ข้าไม่อยากอายุสั้นน่ะพ่ะย่ะค่ะ….”
เป็นความแสบของลู่หลินเองที่ตั้งใจหาเรื่องแกล้งแหย่เทียนหยางเล่นระบายอารมณ์ รู้ดีว่าชายผู้นี้มักออกอาการหึงหวงอย่างน่าเอ็นดูยามที่เขาเอ่ยชื่นชมคนสนิทอย่างองครักษ์ของตัวเอง พักหลังมานี้จึงหมั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้งจนองครักษ์เจิ้งยังขยาดไป วันนี้คงหวาดเกรงภัยมืดจนถึงที่สุดแล้วจึงได้กลั้นใจเอ่ยปากห้ามปรามออกมา ทำเอาลู่หลินถึงกับต้องหัวเราะคิกคักเพราะถูกใจที่กลั่นแกล้งรังแกคนได้ถึงสองคน
เทียนหยางเฝ้ามองภาพป๋ายลู่หลินแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาจากความขี้เล่นขี้แกล้งนี้ เริ่มแอบคิดว่าบางที่หากลู่หลินผู้นี้ได้นิสัยของป๋ายอี้หลินมาเพิ่มอีกสักหน่อย กิริยามารยาทอาจเรียบร้อยขึ้นบ้าง… ไม่เอะอะเป็นม้าดีดกะโหลกเยี่ยงนี้…
“เจ้าตัวดี… เที่ยวไปเรียกขานผู้อื่นเช่นนั้น ด้วยฐานะชายาของข้าแล้ว ผู้อื่นจะคิดเช่นไร? …"
เทียนหยางไม่พูดเตือนเปล่าๆ ฝ่ามือหนายังยกขึ้นมายีหัวเจ้าตัวแสบที่นั่งซ้อนตักบนหลังม้าด้านหน้าไปด้วยเพื่อระบายอารมณ์จนได้เสียงร้องเสียงบ่นแง้วๆ กลับมานั่นแหละ จึงพอจะอารมณ์ดีขึ้นและคลายความโกรธเคืองไปได้บ้าง…
“ที่ว่าไม่คิดว่าเขาจะเลือกเมืองนี้เป็นเพราะว่าเมืองนี้อยู่ใกล้เมืองหลวงมากเกินไปต่างหาก… ท่านอาจารย์ลาออกจากราชการมานานร่วมสิบปีแล้วเพราะความเบื่อหน่ายในราชสำนักและความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ของเผ่าหยวน ข้าคิดมาตลอดว่าเขาคงจะไปตั้งรกรากที่เมืองห่างไกลสักเมืองหนึ่ง ยามที่ได้รู้ว่าเขาเลือกที่จะอยู่ที่เมืองหุ้ยโจวที่แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความยุ่งยากจากเมืองหลวงก็ยังเข้ามารบกวนได้รวดเร็วเพียงแค่หนึ่งวันเดินทางเท่านั้นข้าจึงคิดว่าน่าแปลก…”
“อืม… ก่อนหน้านี้ท่านว่าท่านอาจารย์ของท่านสุขภาพมิได้แข็งแรงเช่นเก่าก่อนมิใช่รึ เช่นนั้นแล้วข้าคิดว่าหากเขาคิดอยากอยู่ใกล้เมืองหลวงที่มีความเจริญ มีหมอหลวงหรือหมอยาชาวบ้านมีความรู้ฝีมือเก่งกาจอยู่เยอะก็น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกนะท่าน ตัวท่านอาจารย์หวังเจี้ยนเข้าสู่วัยชราแล้วย่อมต้องอยากอยู่ใกล้ความสะดวกสบายมากกว่า…”
คำกล่าววิเคราะห์ของลู่หลิน เมื่อคิดตามแล้วก็พบว่ามีความเป็นไปได้ เทียนหยางจึงได้พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยตามนั้น
เดินทางควบม้ามาถึงหน้าจวนท่านอาจารย์อันเป็นเป้าหมายแล้วเทียนหยางก็รีบโดดลงมาจากหลังม้าพร้อมกับอุ้มลู่หลินลงมาแล้วเตรียมเดินไปที่ประตูหน้าจวน เตรียมเคาะบอกแจ้งความว่ามีแขกมาเยือน ในขณะที่ปากก็หันมาตอบคำกับคนช่างพูด
“ที่เจ้ากล่าวมาก็เป็นไปได้… เช่นนั้นแล้วตัวข้าในฐานะศิษย์เพียงคนเดียวของท่านก็นับว่ามีความผิดไม่น้อยที่ไม่ได้คอยอยู่ใกล้ชิดดูแลท่านให้ดี… ท่านอาจารย์ข้าทั้งชีวิตมุ่งแต่การรบทัพจับศึก ยามแก่ชราก็มิได้มีลูกหลานมาคอยอยู่ดูแล หน้าที่นี้จึงควรเป็นข้าที่ต้องจัดการ…”
ลู่หลินได้ฟังเทียนหยางเอ่ยคำกล่าวโทษเรื่องใหม่เป็นความผิดของตนเองอีกแล้วก็ให้ขัดใจนัก จำใจต้องเอ่ยขัดออกไป
“นี่… พ่อพระเอ้กพระเอก… ท่านจะทำตัวเป็นคนดี รู้สึกผิดต่อผู้อื่นมากมายถึงไหนกันฮะ? ท่านเอ่ยเชิญเขาไปอยู่ด้วยแล้ว แต่เขาไม่ไปย่อมต้องมีเหตุผลหรือความต้องการบางอย่างของตนเอง ชีวิตของใคร คนผู้นั้นก็ต้องจัดการเอาเอง จะต้องให้ท่านนำมาใส่บ่ามาแบกหามไปเสียทุกเรื่องได้อย่างไรกัน… ข้าว่านะ ต่อไปนี้ท่ะ…"
“หึๆ พระชายาป๋ายนับว่าพูดจาถูกต้องแล้ว เทียนหยาง จงเชื่อฟังชายาของเจ้าให้ดีเถิด…”
ยังไม่ทันที่ลู่หลินจะได้กล่าวคำจนจบ เสียงของชายชราท่านหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะสนทนา ทำให้ทั้งลู่หลินและเทียนหยางต้องหันไปมองอย่างตกใจ
ภาพตรงหน้า ปรากฏร่างของชายชราผู้หนึ่งในเสื้อผ้าลำลองคล้ายชาวบ้านธรรมดาที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ กำลังถือคันเบ็ดคันใหญ่พร้อมตะกร้าใส่เหยื่อเตรียมจะออกไปตกปลาจนดูเผินๆ คล้ายชายชาวประมงธรรมดาคนหนึ่ง แต่กระนั้นท่าทางก็ยังดูองอาจมากด้วยบารมีที่แผ่ซ่านออกมาเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญได้
ดูท่าแล้วชายผู้นี้คงมิพ้นเป็นท่านอดีตจอมทัพหวังเจี้ยน ท่านอาจารย์ของเทียนหยางเป็นแน่…
“คารวะท่านอาจารย์… ศิษย์หายหน้าไปนาน ไม่ได้แวะมาเยี่ยมเยียน นับว่าอกตัญญูแล้ว…”
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คาดยามที่ลู่หลินได้เห็นเทียนหยางทรุดกายลงคุกเข่าคารวะชายตรงหน้าทันทีที่ได้พบหน้า ทำให้ลู่หลินที่ยืนอยู่ข้างกันต้องรีบทรุดกายลงคุกเข่าไปด้วย
เมื่อผู้เป็นใหญ่ระดับท่านอ๋องของอาณาจักรยังย่อตัวลงคุกเข่าเสียแล้ว ทหารผู้ติดตามคนอื่นๆ มีหรือจะยืนค้ำหัวอยู่ได้ ยามนี้จึงเกิดเป็นภาพที่กองทหารราชองครักษ์ที่ติดตามมากว่าร้อยนายคุกเข่าอยู่ที่หน้าจวนนั้นจนพวกชาวบ้านและผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างชี้ชวนกันมองเป็นทิวแถว
เป็นเพราะท่านอดีตจอมพลมาปลูกเรือนอยู่เงียบๆ มีบ่าวไพร่อยู่ช่วยเหลือทำงานทั่วไปเพียงไม่กี่คน เรือนพักก็ไม่ได้ใหญ่โตเอิกเกริกสมฐานะเช่นที่อดีตขุนนางผู้อื่นทำกัน ทั้งยังใช้ชีวิตประจำวันราบเรียบเยี่ยงชาวบ้านธรรมดามาตลอด ผู้คนละแวกนี้จึงมิได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วคนที่พำนักอยู่ที่บ้านนี้เป็นผู้สูงศักดิ์ท่านใด มาวันนี้ได้เห็นทหารมากมายมาคุกเข่าคำนับก็ให้แปลกใจนัก
“ชิชะ! เจ้าลูกเต่านี่! ดูสิเจ้ามาเพียงครู่เดียวก็เอิกเกริกถึงเพียงนี้ แล้วต่อไปข้าจะตอบคำถามพวกชาวบ้านว่าอย่างไรกัน… แต่เอาเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถือเป็นโอกาสดี.. มาช่วยข้าตกปลาเสียหน่อยก็แล้วกัน…”
“หา ตกปลารึ? …” ลู่หลินถึงกับงงหนัก….
“…? ….” เทียนหยางเองก็งุนงงไม่แพ้กัน….
ดูท่าว่าท่านอาจารย์ของเทียนหยางผู้นี้จะมิใช่คนที่รับมือได้ง่ายเสียแล้วกระมั้ง…
_____________________________
ติดตามอ่านต่อเวอร์ชั่นเต็มใน E-Book ที่ Meb https://publisher.mebmarket.com กดค้นหาชื่อนักเขียน Giffyguf
E-Book ที่ Meb ภาค 1 มี 80 ตอน เพิ่มตอนพิเศษ 5 ตอน ราคา 299 บาท
E-Book ที่ Meb ภาค 2 มี 67 ตอน เพิ่มตอนพิเศษ 3 ตอน ราคา 299 บาท
