ภาค 2 ตอนที่ 1 เจ็ดวันเจ็ดคืน
เริ่มภาค 2
ป๋ายลู่หลิน กับศึกชิงบัลลังก์อาณาจักรฉิน
ภาค 2 ตอนที่ 1 เจ็ดวันเจ็ดคืน
หลังจากที่ผ่านไปถึงสามวันสามคืนเต็มๆ ในที่สุดการปะทุอันรุนแรงของภูเขาไฟเจียฮว๋าซานก็เริ่มสงบลง การระเบิดครั้งนี้ส่งผลให้เมืองโจวทั้งเมืองจมอยู่ใต้เถ้าถ่านของหินภูเขาไฟและร่องรอยการเผาไหม้สูงท่วมหลายเมตร ลาวาบางส่วนยังคงความร้อนไว้ได้อยู่และปกคลุมไปทั่วใช้เวลาอีกนานหลายวันกว่าจะเย็นสนิทดี พื้นแผ่นดินแตกระแหงตามรอยแยกแผ่นดินไปทั่วทุกจุดของเมืองจนยากที่จะกลับเข้าไปฟื้นฟูหรือก่อตั้งเมืองได้อีกในช่วงหลายสิบปีจากนี้
ไม่เพียงเมืองโจวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แม้แต่เมืองใกล้เคียงที่มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองโจวก็พลอยรับอานิสงส์ความเดือดร้อนนี้ไปด้วยจากการที่มีอากาศพิษปกคลุมไปไกลและสะเก็ดภูเขาไฟที่กระเด็นไปไกลสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
จนเมื่อการปะทุของภูเขาไฟเจียฮว๋าซานหยุดลง ภัยร้ายระลอกใหม่ก็ตามมา
นั่นก็คือการที่น้ำฝนสีดำอันเต็มไปด้วยสารพิษตกลงมาอย่างยาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนอันสืบเนื่องมาจากการระเบิดของภูเขาไฟปล่อยความร้อนมากมายพวยพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศจนกลั่นตัวเกิดเป็นก้อนเมฆและน้ำฝน ที่น่ากลัวกว่านั้นคือฝนนี้มันเป็นฝนพิษที่คนไม่สามารถสัมผัสถูกหรือดื่มกินได้เช่นน้ำฝนทั่วไป เพราะเกิดจากการรวมตัวของก๊าซพิษมากมายหลายชนิดมันจึงทำให้ผู้ที่สัมผัสโดนต้องล้มป่วยหรือเป็นผื่นพิษขึ้นทั่วกาย ใครที่ดื่มกินเข้าไปก็ต้องอาหารเป็นพิษนอนซมไปหลายวัน
ในโลกอดีตนี้ผู้คนยังไม่รู้จักกับพิษภัยของสารพิษตกค้างหรือโรคมะเร็งที่เกิดจากการสูดดมควันไฟเข้าไปมากๆ ทำให้มองเผินๆ แล้วร่างกายของทุกคนจะยังดูแข็งแรงดี แต่ลู่หลินรู้ดีว่าแท้จริงแล้วสุขภาพร่างกายของคนในเมืองโจวและเมืองใกล้เคียงทั้งหมดจะไม่ได้สดใสแข็งแรงดังเดิมด้วยเชื้อร้ายบ่อนทำลายสุขภาพคงจะกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในร่างกายของทุกคน หลังจากนี้คงต้องบอกให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพอาหารการกินและออกกำลังกายกันให้มากขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ต้องอายุสั้นจากไปเร็วด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง
‘ขนาดโลกปัจจุบันของเขามีวิทยาการล้ำหน้ายังไม่สามารถหาวิธีรักษาโรคนี้ได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้ามาเจ็บป่วยในโลกอดีตนี้ ชีวิตจะอนาถสักแค่ไหน… ว่าแต่… คนโบราณนี่เขาออกกำลังกายกันยังไงนะ? …’
ฝนพิษนี้ตกต่อเนื่องยาวนานตีวงกว้างไปหลายเมืองรอบๆ ภูเขาไฟเจียฮว๋าซานและเมืองโจว ส่งผลให้กิจกรรมความเคลื่อนไหวค้าขายดำรงชีวิตอย่างปกติภายในทุกเมืองเป็นอัมพาตหยุดชะงักไป ไม่อาจใช้ชีวิตเฉกเช่นเดิมได้เหมือนที่เคยเป็น เพราะต้องพากันเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านห้ามออกมาต้องน้ำฝนถึงเจ็ดวันเต็ม
วันแรกที่ฝนตก น้ำฝนที่ตกลงมาเจอกับเถ้าถ่านที่ยังคุกรุ่นกลายเป็นโคลนภูเขาไฟร้อนจัดไหลทะลักลงมากลบซากเมืองที่ถูกทำลายและไหลบ่าไปสู่เมืองข้างเคียงรอบบริเวณเขตเมืองชั้นนอกของภูเขาไฟ ในตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่แนวใกล้เขตเมืองโจวพากันอพยพลี้ภัยกันไปหมดแล้วความสูญเสียชีวิตคนจึงไม่ได้เกิดขึ้นมากนัก แต่ก็ทำเอาหมู่บ้านรอบนอกกลายเป็นหมู่บ้านร้างจมอยู่ใต้เศษซากไม่ต่างจากเมืองโจว
มาจนถึงตอนนี้เมื่อเหตุภัยพิบัติได้เกิดขึ้นประจักษ์ต่อสายตาทุกผู้คนในเมื่องโจวและเมืองข้างเคียง จึงไม่มีใครกล้าคิดตำหนิหรือสงสัยในการกระทำของโจวหยางอ๋องหวงเทียนหยางอีก สารพัดความช่วยเหลือทุกๆ ด้านจึงแห่แหนมาให้เหล่าผู้อพยพที่ก่อตั้งเขตที่พักชั่วคราวอยู่ที่ท่าเรือเมืองเสวี่ยอย่างไม่ขาดสาย ติดก็แต่ว่าในเวลานี้มีฝนพิษตกต่อเนื่องอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน การทยอยให้ความช่วยเหลือจึงมาถึงได้อย่างล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้มาก
แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ดีแก่โจวหยางอ๋องหวงเทียนหยางและกองกำลังมังกรทมิฬเพราะเวลานี้ทุกผู้คนได้ถือโอกาสหลบพักผ่อนอยู่ในเรืออพยพ คล้ายเป็นช่วงเวลาพักร้อนดีๆ หลังจากที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักช่วยเหลือชาวเมืองโจวหลายหมื่นชีวิตมาร่วมเดือนก่อนที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเรื่องหนักอกหนักใจในเมืองหลวงอีกครั้ง เพราะมีข่าวแว่วๆ มาว่าราชครูเกาได้เร่งรุดไปรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างพร้อมกับช่วยแก้ต่างให้โจวหยางอ๋องล่วงหน้าไว้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าแค่นั้นจะไม่พอเพียง เพราะสุดท้ายแล้วองค์ฮ่องเต้ก็มีราชโองการเร่งรัดให้โจวหยางอ๋องต้องรีบเร่งรุดเดินทางไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงอยู่ดีในทันทีที่ฝนหยุดตก
โชคดีที่ตั้งแต่วันแรกที่อพยพมาถึงที่เมืองเสวี่ยแห่งนี้ กำลังทหารและชาวบ้านก็รีบช่วยกันก่อสร้างที่พักชั่วคราวให้ราษฎรเมืองโจวไว้ตั้งแต่ในช่วงที่ภูเขาไฟยังปะทุอยู่แล้ว เมื่อฝนพิษเริ่มตก ทุกคนจึงได้มีที่พักที่ปลอดภัยช่วยป้องกันการได้รับพิษจากฝนได้อย่างดี
เมื่อถึงวันที่เจ็ดที่ฝนเริ่มหยุดตก เทียนหยางและลู่หลินจึงได้โอกาสพากันจูงมือออกมาเดินสำรวจตรวจตราความเป็นอยู่ของราษฎรแล้วพบว่าที่เขตที่พักชั่วคราวแห่งนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นต้องสร้างขึ้นหากอยากให้ประชาชนทุกคนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้เหมือนเก่า แต่เพราะรู้ดีว่าที่ชายหาดเมืองเสวี่ยนี้สามารถเป็นได้เพียงแค่ที่พักชั่วคราวเท่านั้น เรื่องที่อยู่ถาวรที่ใหม่จะได้ไปอยู่ที่ไหนก็สุดแล้วแต่ฮ่องเต้จะบัญชาซึ่งกว่าจะรู้ชัดก็คงเป็นช่วงหลังจากที่เทียนหยางเข้าไปเบิกความถึงท้องพระโรงแล้ว เรื่องสร้างสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมจึงจำเป็นต้องพักเอาไว้ก่อน…
“เรื่องความเป็นอยู่ของราษฎรเหล่านี้ ท่านอ๋องอย่าได้กังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำชับพวกขุนนางและเจ้าหน้าที่ราชการในเมืองเสวี่ยทั้งหมดไว้แล้ว ว่าให้รีบประสานจัดหาข้าวของที่จำเป็นมาให้ ทั้งฝ่าบาทยังมีพระบัญชาเปิดท้องพระคลังส่งเงินทองมาให้ใช้ช่วยเหลือราษฎรเป็นจำนวนมากจึงพร้อมเต็มที่ทั้งกำลังเงินและกำลังคน จะไม่ให้มีใครต้องลำบากเป็นอันขาด ขอท่านอ๋องและพระชายาป๋ายอิ้งซื่อโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ…"
ลู่หลินฟังท่านเจ้าเมืองเสวี่ยที่เดินติดตามมากล่าวรายงานกึ่งให้ความมั่นใจก็ได้แต่เหลือบไปมองหน้าเทียนหยางเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายยังทำหน้านิ่งๆ ไม่บอกอารมณ์ใดๆ ในระหว่างที่จูงมือเขาเดินไปทั่วหาดก็ให้สงสัยนักว่าชายผู้นี้กำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องความห่วงใยที่มีต่อชาวเมืองทุกคนเป็นแน่
ตาอ๋องก็ยังเป็นตาอ๋องที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎรก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ยิ่งนึกก็ยิ่งแปลกใจนักว่าในยามนั้นที่ตัดสินใจกระโดดตามเขาลงไปในน้ำ ชายผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่ ถึงได้ยอมละทิ้งทุกอย่างง่ายๆ แม้กระทั่งชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือชีวิตเขาไว้ถึงเพียงนี้…
หากเป็นในอดีตที่เขาและป๋ายอี้หลินยังเป็นคนละคนกัน ลู่หลินคงคิดง่ายๆ ว่าเป็นเพราะตาอ๋องอยากช่วยชีวิตป๋ายอี้หลินคนที่ตนเองแอบรักแน่ๆ แต่ยามนี้ที่เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายหมดแล้ว อีกทั้งตัวเขาบัดนี้ก็เป็นทั้งป๋ายอี้หลินและลู่หลิน ไม่ว่าตาอ๋องจะโดดไปเพราะใครก็ล้วนเป็นตัวเขาไม่ต่างกัน จะมามัวแต่คิดว่ารักใครชังใครก็ดูจะเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าและมิได้เกิดประโยชน์อันใด ยามนี้ลู่หลินจึงให้ความสนใจในสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่นว่าความรู้สึกยามที่ต้องการลงไปช่วยเขานั้นเป็นอย่างไร มากมายถึงเพียงไหนกัน มากพอจะเป็นความรักแท้ให้ตัวเขานั้นตกลงปลงใจได้อย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ได้หรือไม่
ลู่หลินก็ยังคงเป็นลู่หลิน เมื่อตัดสินใจว่าจะอยู่ที่โลกอดีตนี้แล้วก็ต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจน ก่อนจะไปจัดการคนอื่นก็ต้องจัดการสถานะตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน ตกลงปลงใจไปแล้วว่าจะมาอยู่เป็นชายาของตาอ๋องวัตถุโบราณนี่ แม้จะยังไม่ได้พูดจาตกลงปลงใจเป็นคนรักและมีสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งต่อกันแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นชายาเพียงคนเดียวของตาอ๋องสุดฮอต กลับไปเมืองหลวงก็คงจะมีบุตรสาวขุนนางมาหมายตามากมาย จะรักษาที่มั่นของตนเองไว้ให้ได้ก็ต้องขอตำแหน่งการันตีหรือคำมั่นว่าจะผัวเดียวเมียเดียวไว้สักหน่อย ชีวิตภายภาคหน้าของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากเกินไป…
‘เอาล่ะ! ไว้หลังจากนี้ต้องหาโอกาสซักฟอกชายผู้นี้! ทำตัวผิดผีล่วงเกินข้ามาก็ตั้งหลายครั้งแล้ว ความชัดเจนก็ยังไม่ให้ ใช้ได้ที่ไหนกัน! มาถึงขนาดนี้ไม่ได้เป็นหวางเฟยก็ต้องได้เป็นหรู่เหรินแล้วมั้ย จะให้เป็นป๋ายอิ้งซื่อตำแหน่งเล็กๆ ใช้ได้ที่ไหนกัน!’
เทียนหยางที่ยืนนิ่งคิดอะไรอยู่ได้ครู่ใหญ่เห็นเจ้าตัวดียืนจ้องหน้าตนเองอยู่ก็ให้สงสัยนักว่ามีสิ่งใดในใจกัน แต่จะถามความกันตอนนี้ก็ใช่ที่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยจึงจำเป็นต้องหันไปตอบความกับท่านเจ้าเมืองเสวี่ยเสียก่อน
“เรื่องความเป็นอยู่ของราษฎรที่จุดนี้ยังไม่นับเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเทียบกับปัญหาที่จะตามมาอีกมาก… เดิมทีเมืองเสวี่ยแห่งนี้มิใช่เมืองใหญ่ ชาวเมืองดั้งเดิมเพียงเจ็ดพันชีวิตก็นับว่าแน่นขนัดแล้ว มายามนี้ยังต้องรับรองผู้อพยพอีกร่วมสองหมื่นคนนับว่าไม่น้อย เกรงว่าจะเกินกำลังทรัพยากรของเมืองท่านแล้ว…”
“ทูลท่านอ๋อง ความจริงแล้วเรื่องนี้กระหม่อมก็กังวลอยู่ แต่เพราะยามนี้ทุกเมืองรอบข้างได้ประจักษ์เภทภัยของเจียฮว๋าซานแล้ว พวกเขาจึงได้เร่งส่งความช่วยเหลือมามากมาย เรื่องอาหารการกินนับว่าไม่ลำบากอะไรพ่ะย่ะค่ะ…”
“เช่นนั้นก็ดี ตัดเรื่องปากท้องไม่ให้เบียดเบียนกันไปได้บ้าง ปัญหาความคับใจคงเบาบางลง แต่ปัญหาเรื่องความคับที่ก็ยังนับว่ามีอยู่ไม่น้อย… ทางที่ดีท่านควรลองมองหาที่ทางไว้บ้าง ช่วยขยับขยายที่อยู่ที่กินชั่วคราวให้พวกเขาเสียหน่อย กว่าข้าจะเดินทางไปถึงเมืองหลวงและเบิกความเรื่องนี้จนครบถ้วนจบกระบวนความคงกินเวลาร่วมเดือน…ถึงตอนนั้นคงได้รู้ว่าจะมีรับสั่งเคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่ใดต่อไป แต่ระหว่างนี้เรื่องการดูแลผู้อพยพเมืองโจว คงต้องฝากฝังท่านแล้ว…”
เจ้าเมืองเสวี่ยฟังทุกถ้อยความจากโจวหยางอ๋องก็ให้นับถือนัก แม้ในสถานการณ์ที่ความเป็นตายของตนเองยังไม่แน่นอน จะต้องรับโทษหนักเบาประการใดหรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ ท่านอ๋องผู้นี้ก็ยังมีใจคิดห่วงราษฎรก่อนตนเองได้อีกนับว่ามีจิตใจที่ประเสริฐโดยแท้ เมื่อได้เจอเชื้อพระวงศ์ที่น่าชื่นชมเช่นนี้ จึงตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะถวายงานให้อย่างเต็มที่และได้เอ่ยตอบรับไปอย่างแข็งขัน
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
________________
Talk#ขอบคุณคอมเมนต์ค่า
E-Book ที่ Meb ภาค 1 มี 80 ตอน เพิ่มตอนพิเศษ 5 ตอน ราคา 299 บาท
E-Book ที่ Meb ภาค 2 มี 67 ตอน เพิ่มตอนพิเศษ 3 ตอน ราคา 299 บาท
