บทที่9. คนใจร้าย
9.
ริมฝีปากดุจกลีบกุหลาบเม้มจนเรียบตึงกลายเป็นเส้นตรง ทำให้ราเฟย์ยิ้มได้ใจ อารยาอ้าปากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พอดีที่บริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ แล้วเธอก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะมองกุ้งตัวเท่าท่อนแขน ขาหมูชิ้นมหึมา แล้วปลาอะไรไม่รู้บนจานสวยงาม แต่...
‘คนใจร้าย แล้วจะกินยังไงนี่!’
โธ่! อารยาหลงคิดไปว่าเขาคงสั่งอะไรง่ายๆที่กินได้สะดวกๆ ไม่ใช่ชุดใหญ่อย่างนี้ แล้วนั่งกันแค่สองคนใครจะกินหมด หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างฝืนคอรู้สึกว่ากำลังตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าตอนโดนเชิญให้ออกจากงานที่โรงพยาบาลเสียอีก
“พี่ราเฟย์!”
ชายหนุ่มหันไปตามเสียเรียกที่คุ้นเคย ร่างเพรียวของน้องสาวต่างมารดาโบกมืออย่างดีใจแล้วเดินตรงไปหา จัสมินมองเก้าอี้ว่างและใช้สายตาถามพี่ชาย เมื่อใบหน้าคมเข้มพยักหน้าเธอก็เลื่อนเก้าอี้นั่งลงอย่างไม่รอบริกรมาเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง
อารยายิ้มกว้างเหมือนได้เจอนางฟ้ามาช่วยตอนกำลังเดือดร้อน แน่ซิ!สภาวการณ์นี้เธอต้องการคนช่วยอย่างที่สุด
“ดีใจจังที่ได้เจอพี่ราเฟย์ พี่ก็มาทานอาหารที่นี่เหรอคะ น้องต้องจองคิวตั้งแต่เดือนที่แล้วกว่าจะได้ที่นั่ง”
จัสมินยิ้มทะเล้น ผมยาวหยักสวยถูกรวบเป็นหางม้า เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางกางยีนรองเท้าบู๊ตหุ้มข้อ คงไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวผมแดงคนนี้มีเลือดของชาวบาฮาเนียถึงครึ่งหนึ่ง
“จองคิว” เขาเลิกคิ้วอย่างฉงน “ถ้าอยากมาทานอาหารที่นี่ก็ใช้ชื่อพี่ก็ได้มาแล้ว”
“แบบนั้นมันง่ายไป แล้วอีกอย่างใครจะเชื่อว่าสาวฝรั่งผมแดงคนนี้เป็นน้องสาวพี่ราเฟย์ละคะ”
จัสมินยิ้มทะเล้นแล้วหันมาทักทายกับเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร ตอนแรกที่เห็นแต่ด้านหลังนึกว่าอยู่ว่าเป็นคู่ควงลำดับที่เท่าไหร่ของพี่ชาย แต่พอเห็นว่าเป็นอารยา ไม่ใช่สาวๆ ที่ตกเป็นข่าวคราว (คาว) กับพี่ชายต่างมารดาของตนก็อดแปลกใจปนดีใจไม่ได้
“มาเที่ยวหรือคะ คุณอารยา”
“เอ่อ...จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” อารยายิ้มแหย “แล้วองค์จัสมินละเพะคะ”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้พูดแบบเป็นกันเอง” จัสมินหัวเราะ “ฉันมาซื้อหนังสือไปเตรียมตัวสอน อย่าบอกใครว่าฉันเห่อนะคะ”
เธอยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง ราเฟย์ส่ายหน้าที่ได้ยินน้องสาวพูดออกมา พลันสายตาเขาเหลือบไปเห็นที่มุมหนึ่งของร้าน เพียงเขาสบตากับฝ่ายตรงข้าม ร่างอ้วนเตี้ยก็สะดุ้งและลุกขึ้นเดินมาทางเขา
“ไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะมาถึงที่นี่พระเจ้าข้า”
“อย่ามากพิธีเลยเสด็จอา” ราเฟย์ลุกขึ้นยืนและทักทาย
“นี่หลานจัสมินซินะไม่เจอกันหลายปี ตอนนั้นเจ้ายังตัวเล็กนิดเดียว” ชายร่างเตี้ยอ้วนทักพร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตรนัก
“แต่หม่อมฉันจำเสด็จอานาวาทได้เป็นอย่างดีเพคะ”
จัสมินลุกขึ้นและย่ออย่างงดงามราวกับเธอเองก็ถูกฝึกสอนมาให้เป็นกุลสตรีที่เหมาะสมกับเป็นเชื้อพระวงค์ แต่ทำให้อารยาลุกขึ้นและทำตาม นาวาทมองร่างบอบบางสมส่วนของอารยาแล้วรู้สึกน้ำลายสอนาน ๆ จะมีหญิงสาวชาวเอเชียมาให้ยลโฉม แต่เมื่อเห็นว่ามากับราเฟย์เขาจึงต้องพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเอง
“ได้ข่าวว่ากลับมาจากลอนดอนนานแล้ว น่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ คนอื่นจะได้รู้ว่าเจ้ายังมีตัวตน” นาวาทพูดยิ้ม ๆ แบบมีเลศนัย
“ไหนๆ เราได้เจอกันทั้งที กระหม่อมขอเชิญไปสนทนาที่โต๊ะของกระหม่อมเถิดพระเจ้าข้า” นาวาทเชิญ
“หม่อมฉันขอนั่งคุยกับเพื่อนตรงนี้ดีกว่าเพคะ”
จัสมินขอตัวเพราะถ้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนแบบนั้น การที่เธอต้องจองคิวเพื่อมารับประทานอาหารที่นี้ อาจไร้ความหมาย และต่อให้อาหารเลิศรสแค่ไหน ก็อาจสู้อาหารข้างถนนไม่ได้ก็เป็นได้
“งั้นพี่ไปคุยกับเสด็จอา แล้วฝากเจ้าดูแลอารยาด้วย พี่อาจจะเลยกลับไปจัดการงานต่อ”
‘ดีไปเลย’
อารยาแอบว่าในใจแต่ยิ้มหวาน ราเฟย์กลั้นหัวเราะ แต่ใช้สายตาบอกเธอไปว่า
‘อย่าคิดว่าจะลามือเพียงแค่นี้’
ชายหนุ่มเปลี่ยนโต๊ะมานั่งร่วมวงกับเสด็จอาลำดับที่สี่ของเขา เสด็จปู่มีลูกมากมายจนเขาเองก็นับญาติไม่หวาดไหวมีเพียงแค่ไม่กี่พระองค์เท่านั่นเขารู้จัก เพราะทำงานในราชการด้วยกัน
“ผู้หญิงคนนั้น...” นาวาทถามอย่างไม่เกรงใจ
“พยาบาลพิเศษของเสด็จพ่อ ท่านคาร์ดัลจัดหามาให้”
“ชิ!”
‘เสียดายจริง สวยแปลกตาแบบนี้หายากนัก’ นาวาทสบถในใจแต่ฝืนยิ้มออกมา และแสร้งทำหน้าวิตกจนราเฟย์ต้องเอ่ยถาม
“อย่าไปไว้ใจไอ้คนที่ชื่อคาร์ดัลมากนักนะหลาน คนของอาสืบมาว่าเจ้างูพิษนี่แอบซ่องสุ่มคนไว้จำนวนหนึ่งพร้อมอาวุธ”
ราเฟย์พยักหน้ารับรู้ เขาเองก็ได้ข่าวเช่นนั้นเหมือนกัน มันยิ่งทำให้เขาไม่ไว้ใจหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีนิลและเรือนผมยาวสลวยดุจแพรไหมคนนั้นยิ่งขึ้น!
จัสมินถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าทั้งพี่ชายและอาเดินออกจากภัตตาคารไปแล้ว เธอหันกลับมามองอาหารบนโต๊ะที่สามารถเลี้ยงคนได้ถึงสี่คนให้อิ่มอย่างสบาย ๆ
“สงสัยพี่ราเฟย์อยากให้เธอได้กินของดีๆ” จัสมินยิ้มกว้าง หญิงสาวทั้งสองไม่สามารถจัดการอาหารบนโต๊ะได้หมด “ใจจริงฉันอยากกินของหวานที่นี่มากกว่า เห็นลงข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าอร่อยมาก แต่คงต้องเป็นงวดหน้าแล้ว”
จัสมินสารภาพพลางดื่มน้ำผลไม้
“มาชอปปิ้งเหรอคะ ทำไมไม่เห็นได้อะไรเลย”
“คือ...” อารยาอึกอักไม่รู้จะพูดยังไงดี ถึงยังไงจัสมินก็เป็นน้องสาวของราเฟย์
“นี่ถึงฉันจะมีศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่ฉันอยู่นอกวังมากกว่าในวังนะจ๊ะ”
“ค่ะ...องค์รัชทายาทพามา” อารยาตอบเสียแผ่ว
“ไม่ชอบเหรอ หรือว่ายังไม่เจอของถูกใจ วันนี้ฉันว่างจะพาเที่ยวต่อก็ได้นะหรือมีที่ไหนที่อยากไปละ”
“ตอนที่นั่งฉันนั่งรถมาจากสนามบิน รู้สึกว่าเคยเห็นถนนเส้นหนึ่งน่ารักมาก มีข้าวของของพื้นเมืองขายแต่ไม่รู้ว่าที่นั่นเรียกว่าอะไรแล้วก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหนด้วย”
“ของพื้นเมืองเหรอ” นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิดเหมือนชื่อนั้นมันติดอยู่ที่ปาก
“อ้อ! ฉันนึกออกแล้ว แต่เธออยากไปที่นั่นจริงๆเหรออารยา”
“จริงเพคะ เอ๊ย! ค่ะ ฉันชอบสินค้าพื้นเมืองมันดูมีเอกลักษณ์และจิตวิญญาณของชนพื้นเมืองอยู่ ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ฉันก็ไม่ได้ไปไหนเลย”
ดวงตาสีนิลเปล่งประกายระยับอย่างตื่นเต้น
“ดีใจจังเธอนี่ชอบอะไรเหมือนฉันเลย ฉันก็คิดเหมือนเธอนะ แต่เพื่อนฉันไม่มีใครชอบเหมือนฉันเลย เวลาไปเที่ยวก็ต้องไปคนเดียว”
จัสมินหันไปเรียกบริกรมาเช็คบิลพลันสายตาก็ไปเห็นร่างคุ้นตาขององครักษ์ประจำตัวราเฟย์ เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนยกมือเรียกเขาให้มาใกล้ๆ
“เรียกหม่อมฉันหรือพระเจ้าข้า”
