ตอนที่สอง ความขัดแย้งที่ทบทวี 2
เมื่อหมอตรวจเสร็จพ่อเลี้ยงปุญญาพัทแจ้งความต้องการว่าให้ตติยาภานั้นมาช่วยดูแลลูกสาวเป็นกรณีพิเศษและยินดีจ่ายมากกว่าเดิมไม่จำกัดงบประมาณเพื่อให้ลูกสาวได้มีคนที่อยากคุยด้วยแวะมาดูแล
“แหม ไม่รู้ว่าพ่อน้องน้ำหวานจะอยากได้คนมาดูแลลูกสาว หรือว่าอยากหาเพื่อนคุยกันแน่นะ ดูสิมองน้องตาลตาเชื่อมเชียว เห็นว่ากำพร้าแม่เด็กก็คงชอบคนสวยเพราะอยากได้เป็นแม่ ถ้าป้ายังสาวยังสวยเหมือนน้องตาลนะ ป้าคงเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว “ นางเย็นใจพยาบาลวัยใกล้เกษียณเอ่ยเล่นๆ กับพวกหมอเรสสิเดนท์พอได้ยินกันไม่กี่คน พวกหมอหนุ่มๆ ยิ้มรับเห็นด้วยกับป้าเย็นใจ อย่าว่าอย่างนี้อย่างนั้นเลย
ไม่แค่พ่อของเด็กหรอกที่ต้องตาตติยาภา พวกเขาเองยังอยากชวนหมอสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโรงพยาบาลไปทานข้าวหลังเลิกงานเพื่อสานสัมพันธ์เลย...
เสียงกระแอมจากนายแพทย์สหภพทำอาทุกคนเงียบกริบไปตามๆ กัน เพราะทุกคนรู้ว่าเขานั้นไม่ค่อยล้อเล่นอะไรกับใครมากนัก เวลางานนั้นเขาจริงจังและเครียดเคร่งจนคนที่ร่วมงานด้วยกลัวว่าเขาจะเครียดจนเส้นสมองแตกตายสักวัน...
ดูอย่างตอนนี้สิ หน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่มีความรู้สึกอะไรกับใครเขา จนนักศึกษาแพทย์ที่ตามเขาอยู่นั้นพลอยเครียดไปตามๆ กัน
จังหวะก่อนที่จะออกจากห้องตรวจน้องน้ำหวานไป สหภพส่งชาร์ตของคนไข้ให้ตติยาภาดูแลต่อ จังหวะที่เธอยื่นมารับนิ้วมือเรียวของเขาแตะกับเธอโดยบังเอิญ แต่แค่นั้นมันก็มีอิทธิพลพอที่จะทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงซ่านขึ้นมา
“คืนนี้ อย่าลืมล่ะ ไม่ต้องล็อคห้อง” เขากระซิบบอกเธอ... เสียงนุ่มทุ้มลอยมากับสายลม
แล้วเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้เธอยื่นหน้าแดงร้อนยามเมื่อเผลอนึกถึงว่าทั้งที่เธอตั้งใจว่าจะไม่ให้เขาเข้าที่ห้องได้ แต่เขาก็ยังเข้ามาเพราะใช้กุญแจสำรอง ไล่เขาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออกไป เธอเหนื่อยก็เลยหลับไปพร้อมกับตอนที่ยังยื้อยุดไล่เขานั้นแหล่ะ ตื่นเช้ามาเลยได้ตื่นมาพบว่าเธอกับเขาอยู่ด้วยกันแบบใกล้ชิดกันเหลือเกิน และครั้งนี้ก็ใกล้จนอยู่ในระยะอันตรายแบบที่คิดถึงก็ต้องส่ายหัว... คนที่ทำบ้าๆ กับเธอเมื่อเช้านี้กับคนที่ตีหน้าซื่อหลอกลวงประชาชนอยู่ก็คนคนเดียวกันนี่แหล่ะ
ก็เห็นไหมล่ะ ขนาดอยู่ที่ทำงานเขายังตอกย้ำให้เธอนึกถึงความใกล้ชิดบ้าๆ นั่นจนได้
นิ้วมือเรียวของเธอเผลอยกขึ้นมาแตะริมฝีปากพลางนึกถึงเหตุการณ์ลุ้นระทึกยามเช้าที่อยากจะลืมแต่มันยังดันมาวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา...
เมื่อเช้าตติยาภาตื่นก่อนเขา ร่างกายเธอรู้สึกได้ถึงการมีคนร่างสูงตัวอุ่นอยู่เคียงข้าง ไออุ่นนั้นแผ่ร้อนกระจายมาสู่เธอจนแก้มเธอร้อนยามเมื่อรู้สึกตัว...
“โอย นี่กะจะนอนจนเช้าไม่กลับห้องหรือไงนะ” เธอบ่นเขาในใจ ก่อนจะค่อยๆ ยกแขนอันหนักอึ้งของเขาออกจากเอว วันนี้แม้เธอจะไม่ต้องไปขึ้นเวรแต่เช้า เธอก็ไม่อาจนอนแช่อยู่บนที่นอนจนสายได้อย่างที่นึกอยากจะทำเพราะคนร่างสูงนี่แหล่ะ
“อืม” เสียงเขาร้องเหมือนจะขัดใจเมื่อเธอขยับตัวนั้นทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยง แล้วเธอก็เป่าลมหายใจออกมาจากปากที่ได้รู้ว่าเขาแค่ละเมอเท่านั้น...
“เชอะ อยากนอนเตียงนี้นัก ก็เชิญนอนไปตามสบาย ฉันไปนอนที่ห้องพี่ตาร์ก็ได้” เธอนึกถึงเตียงห้องพี่สาวที่ว่างเนื่องจากเจ้าตัวไปต่างประเทศแล้วก็ตัดสินใจจะปล่อยผู้บุกรุกเอาไว้...
แต่มันก็ไม่ง่ายนักเนื่องจากมือเหนียวเป็นกาวกับแขนที่หนักราวกับหินยกจากตัวเธอไม่ได้ง่ายนัก ทั้งเธอยังกลัวเขาตื่นจึงไม่กล้าทำอะไรมากนัก การที่จะแกะมือเหนียวอย่างกับตีนตุ๊กแกออกจากตัวเธอได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย นอกนั้นยังไม่พอยังมีขายาวๆ ของเขาที่พาดอยู่กับช่วงขาเธออีก...
ตติยาภาแทบอยากจะบ้าตายกับความใกล้ชิดสนิทสนมนี้เหลือเกิน ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเขากับเธอแทบไม่มองหน้ากันจะได้พูดหรือเกี่ยวข้องกันก็ต่อเมื่อมีธุระจริงๆ เท่านั้น... แต่ตอนนี้เขากับเธอกลับนอนกอดกันกลม ไม่ใช่สิ เขาต่างหากที่หน้าด้านมากอดเธอคนเดียว อยากรู้นักถ้าบอกคนอื่นว่าเขาทำอย่างนี้กับเธอจะมีสักคนไหมที่เชื่อ
เธอยกแขนเขาออกสำเร็จยังดีใจไม่เท่าไหร่ เขาก็เอื้อมมากอดเธอใหม่ พร้อมกับกระชับร่างบางที่เขาคงคิดในฝันว่าเป็นหมอนข้างแนบแน่นจนเธอแทบจมหายไปกับอกกว้างของเขา... ตติยาภาแทบกรี๊ด
เขากอดเธออยู่อย่างนี้มันทำให้หน้าอกของเธอเบียดแน่นกับเขาจนเธอขนลุกไปหมด เรือนกายมีแค่ชุดนอนบางๆ ของเขาและเธอกางกั้นแทบจะสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน... หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะจนเธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“คุณ ตื่นเลยนะ ตื่น” เธอดิ้นอึกอักล้มเลิกแผนการที่จะหลอกเขาหลับแล้วหนีไปนอนที่อื่นเปลี่ยนเป็นปลุกเขาแล้วไล่เขาไปนอนที่ห้องเขาแทนดีกว่า
“ตื่นนานแล้ว” เขาพูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ เรียวปากเขากดอยู่ที่หน้าผากเธอนี่เอง... ดวงตาของตติยาภาเบิกกว้างขึ้นมาเมื่อได้รับรู้ความจริง...
“นี่ตื่นแล้วก็ลุกกลับห้องสิ คนบ้า มาแกล้งทำไม”
“แกล้งที่ไหน แค่กอดเมีย”
“บ้าหรือไง ใครเป็นเมียคุณ อย่ามามั่วนะ” เธอบอกอย่างเข่นเขี้ยว
“ก็ไหนบอกอยากเป็นเมียผมไง” เขาบอกเสียงเหมือนคนนอนไม่ตื่น ทำให้เธอขัดใจแทบกระอัก ร่างเล็กที่ดิ้นขลุกขลักนั้นสู้เรี่ยวแรงของเขาไม่ได้เอาเสียเลย เหมือนว่ายิ่งดิ้นยิ่งนำพาร่างไปเบียดเสียดเขาให้เสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น...
“ใครพูด ไม่มีทางหรอกที่ฉันจะทำอย่างนั้น บ้า ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”
“ร้องดังๆ สิ เขาจะได้รู้ว่าเราอยู่ด้วยกันสองคนในห้อง” เสียงบอกครางผ่านลำคอนั้นทำเอาตติยาภาหุบปากฉับ เธอมีแรงฮึดอยากเอาชนะจนดิ้นแรงขึ้นจนเขาเหนื่อยที่จะยื้อยุดกับเธอแล้วกลิ้งมาคร่อมร่างเธอเอาไว้แทน ริมฝีปากที่กำลังจะกรีดร้องสาดผุรุสวาจาใส่เขาถูกประกบปิดก่อนที่มันจะเปล่งเสียงมาเพราะความตกใจของเธอ...
ลิ้นอุ่นไล้เลียริมฝีปากที่เม้มหนีเขา... ดวงหน้างามพยายามสะบัดหนีเรียวปากอุ่นร้อน หากแต่มือของเขานั้นก็ประคองแก้มเธอเอาไว้ทั้งสองข้างล็อคไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหน เพื่อที่จะรับจูบเขาได้อย่างเต็มที่...
เสียงครางฮือฮาในลำคออย่างต่อต้านของหญิงสาวค่อยๆ เงียบสงบลง เหลือแต่เพียงความเงียบงัน... เรียวลิ้นที่กระหวัดเกี่ยวผ่านโพรงปากฉ่ำหวานของเธอไล้หยอกเอินไปทั่ว... แม้ไร้ซึ่งการตอบสนองแต่ความหวานล้ำก็ทำให้เขาเพลินกับการจูบเธอจนแทบไม่อยากถ่ายถอนจุมพิตนี้จากเธอเลย...
แต่เขาก็ต้องหยุดเพราะถ้าเขาสานต่อมันจะต้องไม่จบแค่นี้ การที่ตั้งใจจะแกล้งอาจจะแปรจากเจตนาเดิมจนกู่ไม่กลับ... เขายุติทุกอย่างก่อนที่จะผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าตติยาภาเจ้าของดวงหน้าฉ่ำเยิ้มและดวงตาเย้ายวน... สติของหญิงสาวเริ่มกลับคืนมา... เธอมองหน้าเขา แล้วประมวลผล ดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้นมาก่อนจะผลักคนที่ไม่ทันตั้งตัวออกจนกลิ้งไปนอนหงายหลังอยู่บนเตียง แล้วเธอก็กระเด้งลุกขึ้นไปยืนข้างเตียงเต้นเร่าๆ ชี้หน้าด่าคนที่นอนทำตากรุ้มกริ่มและยักคิ้วให้ตนเอง...
“คะ คุณ จูบฉันอีก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคุณจูบฉันอีก ฉันจะ ฆ่าคุณ”
“รสชาติใช้ได้ แต่ลีลาต้องปรับปรุง” เขาพูดขึ้นมา... มันไม่ได้หมายความถึงอะไรมากมายหรอก ก็เรื่องจูบเธอนี่แหล่ะ... “จูบครั้งที่สองห่างจากครั้งแรกตั้งนาน ฝีมือไม่พัฒนาเล้ยยย” เขาแกล้งลากเสียงยาว เมื่อเธอคิดทันเขาก็แทบกรี๊ดแต่กรี๊ดไม่ได้ ร่างบางตัวสั่นเทิ้มคว้าได้หมอนก็จับมาฟาดเขาตุบตับๆ จนขนนกในหมอนกระจุยออกมา...
“เฮ้ย ทำร้ายร่างกายกันเหรอ อย่างนี้ต้องสั่งสอน” เขาดึงหมอนกระชากมา ร่างที่ยืนฟาดเขาอยู่นั้นจึงล้มตามหมอนมาเกยอยู่บนตัวเขา... เพียงแค่เขาจับเอวเธอยกมานิดเดียวเธอก็นอนคว่ำบนตัวเขาเต็มๆ
“ปล่อยนะ ไอ้คนบ้า... เลว รังแกคนไม่มีทางสู้”
“ตาลหยุดดิ้น” เขากระซิบบอก น้ำเสียงแสนทรมานนั้นทำให้เธอหยุดแล้วทำหน้างงใส่เขา
“ลุกแล้วรีบออกไปก่อนที่ผมจะ... ข่มขืนคุณ” เขาปล่อยมือเธอ ไม่รอให้เขาบอกซ้ำสองร่างบางก็ดีดตัวขึ้นแล้ววิ่งตื๋อไปในห้องพี่สาวตนเองแล้วไปหลับต่อในนั้น... ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบหกไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะใกล้ชิดผู้ชายและโดนจาบจ้วงขนาดนี้...
เธอสะบัดหัวไล่ภาพบ้าๆ ที่เขาก่อขึ้นจนคอจะเคล็ดแต่เธอก็นึกถึงมันขึ้นมาจนได้ สมาธิตอนทำงานแทบไม่มีเอาเสียเลย
“คุณหมอครับ” เสียงเรียกซ้ำๆ กันหลายครั้งทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดสะดุ้งขึ้นมา เธอหันไปหาบิดาของน้องน้ำหวานแล้วยิ้มแหยๆ ที่เผลอเหม่อในที่ทำงาน
แต่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย มันผิดที่คนที่ทำให้เธอเสียสมาธิต่างหากเล่า...
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ... หรือว่าคุณไม่สะดวกที่จะดูแลลูกสาวผม”
“เอ่อ เปล่าค่ะ ดิฉันยินดี แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ... ไม่ต้องคิดมากนะคะดิฉันจะดูแลน้องน้ำหวานอย่างดีที่สุดจนกว่าแกจะออกจากโรงพยาบาลเลยค่ะ “
พ่อเลี้ยงหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เจ้าตัวมาดูแลลูกสาวนานกว่านี้ ถ้าคนตรงหน้าจะยอม... เขาจะตะล่อมเธอไปเรื่อยๆ เสียก็แล้วกัน
ในขณะที่ฝ่ายชายคิดอย่างหนึ่งแต่ตติยาภากลับย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องยามเช้าเสียไม่ได้ เธอตั้งมั่นในใจแล้วว่าคืนนี้เธอจะไม่ยอมเผลอลืมล็อคห้องแล้วปล่อยให้เขาเข้ามาที่ห้องเธอได้อีกเด็ดขาด เขาจะขู่จะเข็ญอะไรเธอก็ตามใจ เธอเชื่อว่าเขาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก
