บทที่ 1: ผู้จัดการคนใหม่【1】
เป็นครั้งแรกของการนัดหมายที่ประธานใหญ่นั่งรอไม่เป็นสุข เดินวนไปมาในห้อง รอการมาถึงของแขกที่นัดไว้อย่างกระสับกระส่าย ปกติแล้วเขาค่อนข้างจะเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง แต่ในครั้งนี้การลุ้นว่าคนที่นัดหมายจะมาหรือไม่มันสำคัญกว่าการวางมาดให้ดูน่าเกรงขามหลายเท่าตัว เพราะหลังจากที่เขาบอกความจำนงกับผู้จัดการควอนให้ติดต่อผู้จัดการคนใหม่มาให้ก่อนจะออกจากงาน เพียงข้ามวัน ผู้จัดการที่เขาหมายตาก็ติดต่อกลับมาทันทีโดยคิมแฮซูไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับการเลือกจากผู้จัดการรายนั้นทั้งๆ ที่บริษัทอื่นๆ ก็จ่อคิวแย่งตัวเป็นทิวแถว
ไม่นานนัก เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงใสของเลขาสาว
“ท่านประธานคะ มาถึงแล้วค่ะ”
คิมแฮซูสะดุ้งเล็กน้อย รีบเดินมากดปุ่มตอบรับพลางกรอกเสียงกลับ
“ให้เข้ามาได้เลย”
สิ้นเสียง เขาก็ตรงไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวม วางท่าราวกับว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว อึดใจเดียว คนที่เขานัดหมายไว้ก็เดินเข้ามาในห้องก่อนที่จะโค้งทักทายเขาตามทำเนียมของชาวเกาหลี
“สวัสดีครับท่านประธานคิม”
“สวัสดีครับคุณผู้จัดการ นั่งก่อนสิ” คิมแฮซูทักทายตอบ ผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
คนมาใหม่พยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ คิมแฮซูปราดตามองสำรวจคนตรงหน้า ตัวจริงของชายหนุ่มไม่ค่อยเหมือนกับในรูปที่เขาเอาให้ผู้จัดการควอนสักเท่าไหร่นักเพราะตัวจริงดูเด็กกว่ามากโข ถึงจะบอกให้ผู้จัดการควอนไปติดต่อผู้จัดการคนนี้มาให้ได้ แต่เอาเข้าจริงเขาเองก็ยังไม่เคยเจอตัวจริงของผู้จัดการชื่อดังคนนี้มาก่อนเหมือนกัน
“คุณคงรู้แล้วสินะว่าที่ผมขอให้คุณมานี่เพราะอะไร” คิมแฮซูไม่รอช้า รีบเข้าเรื่อง
“คุณควอนบอกผมหมดแล้วครับ”
“แล้วตกลงว่าที่ผมเสนอให้คุณดูแลนักร้องในสังกัดเนี่ย คุณคิดว่ายังไงครับ”
คนฟังจ้องหน้าผู้พูดก่อนถามกลับ “ไลเกอร์น่ะเหรอครับ”
คิมแฮซูพยักหน้า ในใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวคำตอบของชายหนุ่มจะเป็นการปฏิเสธเสียเหลือเกิน
และยิ่งอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา คิมแฮซูก็ชักจะอึดอัด รีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“งานนี้ผมจ่ายค่าจ้างไม่อั้นนะครับคุณผู้จัดการ ยิ่งถ้าคุณทำให้ไอ้เด็กนั่น...เอ่อ...ไลเกอร์อยู่ในระเบียบของบริษัทได้ ผมจะจ่ายคุณเท่าที่คุณเรียกมาเลย งานนี้ผมยอมทุ่มเต็มที่”
“ผมรู้ครับ ผู้จัดการควอนบอกหมดแล้ว” ชายหนุ่มตอบรับ
ความเงียบเข้ามาครอบงำทั้งคู่อึดใจหนึ่งด้วยประธานใหญ่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี ยิ่งมองหน้าคนตรงหน้าก็ยิ่งอับจนคำพูดเพราะสีหน้านิ่งๆ ของเขานั้น ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ จากคำร่ำลือที่ว่าผู้จัดการสุดเฮี้ยบคนนี้เป็นเจ้าชายน้ำแข็งท่าทางจะจริง เพราะนอกจากจะไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรแล้ว ยังพูดคำตอบคำและทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั่นก็เหมือนกับว่าเขารู้ทันคิมแฮซูอีก ถึงจะทำให้ประธานใหญ่เสียเซลฟ์เล็กน้อยที่ต้องมาง้อคนให้ทำงานให้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจนักเพราะสิ่งที่เขากลัวอย่างเดียวตอนนี้ก็คือกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่ยอมรับงานเป็นผู้จัดการใหม่ให้นักร้องตัวร้ายนั่นมากกว่า
“แล้วตกลงว่าคุณผู้จัดการว่ายังไงครับ จะรับงานหรือไม่รับ”
คิมแฮซูตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้น เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วไร้ซึ่งความมั่นใจโดยสิ้นเชิง
ใบหน้านิ่งเรียบของอีกฝ่ายค่อยๆ เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาสั้นๆ เพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ขอที่อยู่ของไลเกอร์ด้วยครับ”
ติ๊งต่อง...
เสียงออดหน้าห้องพักสุดหรูของอพาร์ตเม้นต์ใจกลางย่านกังนัมของนักร้องหนุ่มชื่อดังอย่างลีแทจินดังขึ้นไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว และดูท่าจะดังต่อเนื่องเรื่อยๆ ถ้าคนในห้องไม่ยอมลุกมาเปิดให้เสียที แต่การกดออดรัวขนาดนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าของร่างใหญ่ที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นลุกขึ้นมาได้เลย เขาเพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยเท่านั้น พึมพำจนฟังไม่ได้ศัพท์เท่านั้นเมื่อถูกรบกวนอย่างหนัก
และดูเหมือนว่าเขาก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหวเหมือนกันเพราะนอกจากเสียงออดที่ดังรัวแล้ว ยังตามมาด้วยเสียงทุบประตูกระหน่ำอีก
“โอ๊ย... ใครวะ”
สุดท้ายเขาก็ยอมจำนนจนได้ ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มือไม้ปัดป่ายบรรดาขวดเหล้าโซจู[โซจู คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดจากการผสมของข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์และมันฝรั่ง ผ่านกระบวนการหมักบ่มแบบดั้งเดิมของชาวเอเชียกลางที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน ทำให้ได้เครื่องดื่มใสบริสุทธิ์ ปราศจากกลิ่นและสี รสชาติบางเบาดื่มได้ลื่นคอ ปัจจุบันเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของประเทศเกาหลีใต้]ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว ชายหนุ่มมองขวดพวกนั้นอย่างงุนงงก่อนจะมองเลยไปยังห้องสูทสุดหรูที่ไม่เหลือความหรูหราเลยสักนิดพลางลูบหน้าลูบตาตัวเองให้หายงัวเงีย พลันหันมองไปยังนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเที่ยงวัน
เขาจำไม่ได้สักเท่าไหร่นักว่าเมื่อคืนดื่มไปเยอะเท่าไหร่ แต่ก็คงจะมากพอที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างนี้ ที่พอจำได้เป็นภาพสุดท้ายก่อนสติสัมปชัญญะจะหายไปคือเขาตั๊นหน้าพวกกุ๊ยในร้านเนื้อย่างที่ส่งเสียงโวยวายหาเรื่อง ก่อนจะตามมาด้วยผู้จัดการควอนที่ดันเสนอหน้าเข้ามาขวางหมัดของเขาที่ตั้งใจจะประเคนให้กุ๊ยคนหนึ่ง
เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งวันนี้เขาถึงไม่เห็นผู้จัดการควอนโผล่หน้ามาส่งเสียงปลุกและก็พล่ามเรื่องข่าวหลังจากวีรกรรมที่เขาก่อไว้แต่เช้าเหมือนคราวก่อนๆ แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็โล่งหูดีไม่ใช่น้อย ยกเว้นแต่ไอ้เสียงปึงปังข้างหน้าห้องที่ดังไม่หยุดหย่อนนี่แหละ
ปึงๆๆๆๆ!
“อะไรกันนักกันหนา!”
ร่างใหญ่ลุกขึ้นยืน พาร่างไม่เต็มสติดีเดินโสลเสลไปยังประตูห้อง เขาค่อยๆ เอนกายไปพิงประตู หมายจะมองลอดผ่านช่องตาแมวก่อนว่าใครกันที่มารบกวนเวลานอนของเขา เพราะถ้าเป็นผู้จัดการควอนที่จะมาโอดครวญเรื่องฤทธิ์เดชที่เขาแผลงไว้เมื่อคืน เขาจะได้แกล้งทำเป็นไม่อยู่แล้วหนีไปนอนต่อ
ทว่าในจังหวะที่ลีแทจินกำลังจะวางมือทาบลงบนบานประตูนั้น เสียงกดรหัสจากเครื่องล็อคประตูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ก่อนจะตามมาด้วยประตูตรงหน้าที่เปิดผางเข้ามา ทำให้เขาเสียหลัก เซไปชนกับตู้ที่อยู่ข้างๆ ประตูทันใด
“ผู้จัดการควอน! ถือดียังไงมาไปเอารหัสมาเปิดประตูห้องผมอย่างนี้!”
พอตั้งหลักได้ ชายหนุ่มก็โวยวายทันใดโดยไม่ทันได้หันไปมองว่าคนมาใหม่นั้นไม่ใช่ผู้จัดการควอน แต่เป็นชายหนุ่มไม่คุ้นหน้าในชุดสูทสีน้ำตาลลายสก็อต แต่งตัวนำสมัยที่ตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
