ตอนที่ 4
ยายพิศมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พลางอมยิ้ม เพราะทันทีที่กลับมาจากสอนหนังสือในโรงเรียนประถมประจำชุมชน ความร้อนใจที่อยากรู้คำตอบทำให้ปานใจไม่แม้แต่จะแวะเอากระเป๋าที่มีเอกสารเตรียมการสอนและหนังสือหลากหลายเล่มที่หอบกลับมาจากโรงเรียนไปเก็บในห้องอย่างเคย ก่อนจะออกมาพูดคุยกันตามประสาแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังใหญ่นี้
“เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ” ปานใจเอ่ยถามขณะทรุดกายลงนั่งพับเพียบด้านหน้าผู้เป็นแม่
“มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชใจจริง หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ ฉลาดเอาเรื่องเลยละ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่ และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ”
คนพูดอมยิ้มด้วยความปรานีและภูมิใจในตัวลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อย และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาน่าเอ็นดูพร้อมคำพูดส่อแววฉลาดนั้น
“ยังไงกันคะแม่” ปานใจถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่แม่มีต่อเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น
หญิงสาวยกฝ่าเท้าผู้เป็นแม่มาไว้บนตักและเริ่มบีบนวดเบาๆ คลายเส้นและความเมื่อยล้าซึ่งนับเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอเมื่อกลับถึงบ้าน เพราะแม่อายุมากแล้วจะให้ไปออกกำลังกายหักโหมก็คงไม่ได้ การบีบนวดจึงเป็นการยืดเส้นยืดสายที่ดีที่สุด
“ก็หนูปานคิดดูสิลูก พอแม่ถามว่าอยากไปโรงเรียนไหม เด็กนั่นหันไปมองหน้าพี่เล็กแล้วตอบแม่ว่า หนูแล้วแต่ยาย พอพี่เล็กแกพูดเรื่องค่าขนมไปโรงเรียน หนูหล้าแกก็บอกว่า หนูจะไม่กินอะไรเลย แม่งี้น้ำตาจะไหล อยากจะรู้นักว่าหนูฟ้าใจคอทำด้วยอะไร ทำไมปล่อยให้ลูกลำบากอย่างนี้”
“ฟ้าเขาคงมีเหตุผลของเขาน่ะค่ะแม่”
เสียงสั่นเครือของแม่ทำให้ปานใจสะท้านเข้าไปถึงหัวอก ขนาดแม่ของเธอเป็นคนอื่นยังรู้สึกสงสารเด็กที่ขาดโอกาสสำหรับทุกอย่างที่ควรจะมีจะเป็น แล้วทำไมคนบ้านนั้นจึงมองข้ามในสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เธอเห็นหอบตะกร้าข้าวต้มมัดเข้าไปในตรอกนายชัยซึ่งเป็นบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ความสงสัยใคร่รู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เป็นลูกหลานใครกัน ทำไมถึงได้ปล่อยให้เด็กเข้าไปในที่อันตรายอย่างนั้นและจะปล่อยไว้ก็ไม่ได้จึงต้องเดินตามเข้าไปดู
‘อ้าว! ครูปานมาทำอะไรในนี้ อย่าบอกนะว่าจะมาเล่น’ เสียงร้องทักจากแม่ค้าในบ่อนทำให้ครูปานใจหันไปยิ้มเพราะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
‘โธ่ พี่อิ่ม ปานเล่นเป็นที่ไหนกันจ๊ะ แค่จะตามมาดูเด็กน่ะ’
‘เด็ก อ้อ อีหล้าเรอะ’
‘ชื่อหล้าหรือจ๊ะ’
‘อ้าว ครูปานไม่รู้จักเด็กมันหรอกเรอะ ก็หลานยายเล็กลูกนังฟ้ามันไง นี่แม่มันมาทิ้งไว้สามเดือนแล้ว ยายเล็กบ่นทุกวัน แต่เด็กมันดีนะ เห็นมันตัวแค่นี้แต่มันช่วยงานยายมันทุกอย่างนั่นแหละ นี่มันก็เอาขนมมาขายทุกวัน’
‘แล้วเขาคิดตังค์ถูกหรือจ๊ะ ตัวเล็กกระเปี๊ยกเดียว’
‘ฮ่าๆ... มันจะถูกอาไร้ หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียน นี่ก็อาศัยแค่ว่าคนซื้อไม่โกงเท่านั้นแหละ จ่ายเงินเอง ทอนเงินเอง ถ้าเป็นร้านพี่นะ คงได้เจ๊งไปนานแล้ว’
ใบหน้าเศร้าๆ รอยยิ้ม และคำขอบคุณที่เด็กหญิงที่มีให้แก่คนซื้อทำให้เธอรู้สึกตื้อขึ้นมาในอก เพราะไม่คิดว่า ฟ้ารุ่ง เพื่อนสนิทในวัยเด็กที่แสนจะอ่อนหวานและมองเห็นแต่ความสวยงามของโลกใบนี้จะทอดทิ้งลูกน้อยไปอย่างไม่ไยดี ยิ่งเห็นเด็กน้อยมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่มาก เธอก็ยิ่งสะท้อนใจจนไม่สามารถสลัดความไม่สบายใจนี้ออกไปได้เลยสักวัน จนต้องคิดหาหนทางให้เด็กได้เรียนหนังสือและแม่ของเธอก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นยายพิศเสียอย่าง ไม่ว่าใครในพื้นที่ก็ต้องเกรงใจ
“คุยอะไรกันครับคุณแม่ คุณลูก”
“คุณย่า คุณอา”
เสียงทุ้มเจือความสุภาพและเสียงใสของเด็กชายที่กำลังจะกลายเป็นหนุ่มน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวต่างวัยทั้งสองต้องหันมองและยิ้มด้วยความสุข
“ตาธาน! โถ...พ่อรบหลานย่า”
ผู้เป็นย่าอ้าแขนรอรับร่างเด็กชายตัวน้อยที่โตขึ้นคงจะหล่อไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ส่วนคนที่มีศักดิ์เป็นอาก็อ้าแขนรอหลานชายที่จะโผเข้ามาหาด้วยความคิดถึงเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ได้ยินเปรียบเหมือนปลายเข็มที่ทิ่มตำหัวใจอยู่ตลอดเวลา และถูกกดให้จมลึกมากยิ่งขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความเอื้ออารีที่แม่มีให้แก่ลูกของฟ้ารุ่งอีกครั้ง ทั้งที่พี่สาวของเธอทำให้แม่ช้ำใจจนกลายเป็นแบบนี้ แม่ที่เคยใจดีกับลูกเสมอกลับกลายเป็นคนแก่ที่เป็นโรคซึมเศร้าและอมทุกข์เพราะความรักลูกมาก เมื่อเสียใจมากก็ทำให้ไม่มีแรงกายแรงใจจะทำอะไรต่อได้ ลูกอีกสามคนที่เหลือจึงถูกทิ้งขว้างไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนดังเคย แต่เมื่อทำใจได้แม่ก็กลายเป็นคนเย็นชาไม่เคยคุยเล่นหัวกับลูกคนใดอีกเลย จนกลายเป็นว่าความสัมพันธ์ของทุกคนในบ้านไม่ต่างไปจากสนิมเหล็กที่รอวันผุกร่อน และก็คงใกล้เวลาเต็มที เมื่อแม่มีทีท่าว่าจะยอมรับความเจ็บปวดที่คาดว่าจะเกิดซ้ำอีกครั้ง
