บทที่5 เงาสลักใจ
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่า
ศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา
ที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม
อัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญา
อัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เดินผ่านไปมา ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า อัมมาวดีถึงกับชะงักไปเพราะไม่คิดว่าอดีตคนรักจะมางานนี้
" ศิวะ ไม่คิดว่าคุณจะมานะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ" น้ำเสียงจืดชืดถูกมอบให้กับอดีตคนรัก รอยยิ้มที่ฝืดเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตรงข้ามกับอดีตคนรักอย่างศิวะที่กำลังยิ้มบางๆให้พวกเธอ
" พวกเรารู้จักกันมานาน ทำไมผมจะมาไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างพ่อของทุกคนเป็นคนเชิญผมเอง ผมก็ต้องให้เกียรติมางานนี้" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ติดขัด พลางต้องมองใบหน้าสละสวยของอดีตคนรัก ดวงตาคมวูบไหวชั่วขณะหนึ่ง ในใจของเขาก็รู้สึกคะนึงหา เจ็บปวดและเคียดแค้น ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ข้างใน
สายตาของแขกในงานต่างจ้องมองมายังทั้งสองพลางซุบซิบกันอย่างออกรถ
" นี่ ได้ข่าวว่าลูกสาวคนโตบ้านนี้หักอกคุณศิวะ แล้วไม่มีคนอื่นนะเธอ "
" จริงหรอ คบกันมาตั้ง 5 ปี คิดว่าจะมีข่าวดีกันแล้วนะเนี่ย "
" จริงเธอ " เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบด้านของทั้งสามคน แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างเลยสักนิด
" คุณดูเปลี่ยนไปมากนะคะ ศิวะ " เสียงของอัมมาวดีกล่าวขึ้นอย่างเคร่งเครียด เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นข้างของเธอจนหญิงสาวแทบมุดดินหนี
" เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน การจมอยู่กับอดีตมันไม่ได้ช่วยอะไร เธอไม่คิดแบบนั้นหรออามู " ชายหนุ่มต้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ คำพูดและรอยยิ้มของชายหนุ่มกรีดลึกเข้าไปในใจ หญิงสาวพยายามรักษาท่าทีเรียบเฉยเอาไว้ ทว่าในใจกลับร้อนรุ่ม ท่าทางของอดีตคนรักผิดแปลกไปทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
" อ้าว...คุณศิวะ " เสียงของราฟี เชค ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มเดินเข้ามาจากทางด้านหลังของสองสาว พลางใช้มือโอบไหล่ของคนรักเอาไว้อย่างอ่อนโยน
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานครับ ไม่คิดว่าคุณจะมานะ" ศิวะแสยะยิ้มออกมา แววตาคมกริบจ้องมองการกระทำนั้นด้วยสายตาดุดัน ยิ่งเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าเขาก็ยิ่งรู้สึกแค้นเคืองมากขึ้น ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินผ่านสองคู่รักไปอย่างไม่แยแสทว่าในใจของเขากลับเดือดพล่านด้วยเพลิงแค้นที่สุมอยู่ในใจ
อัมพิกาหันมองตามร่างสูงของศิวะไปด้วยความไม่สบายใจ ดวงตาคู่สวยฉายแววความกังวล เธอมองพี่สาวสลับกับแผ่นหลังของร่างสูง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามคนพี่ไปด้วยความเป็นห่วงคนที่เธอเคารพดุจดั่งพี่ชาย
" อามิ! จะไปไหนน่ะ! " เสียงร้องเรียกของพี่สาวไล่ตามหลังเธอ ทว่าอัมพิกากลับไม่สนใจเลยสักนิด เธอเป็นห่วงชายหนุ่มตรงหน้ามากกว่า
ศิวะเดินออกมาไกลถึงระเบียงด้านนอก เขายืนมองวิวทะเลนิ่ง ภาพทั้งสองโอบกอดกันทำเอาหัวใจเขาบีบรัดด้วยความเจ็บปวด ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน พวกเขาดูมีความสุขกันมากขณะที่เขาต้องอยู่กับความเจ็บปวดทุกวี่ทุกวัน
ยิ่งคิด...ก็ยิ่งแค้นเคือง..
"พี่คะ! " หญิงสาววิ่งตามหลังชายหนุ่มมายังระเบียงด้านนอก ร่างสูงใหญ่ยืนมองวิวทะเล สายลมอ่อนๆพัดผ่านร่างกายทว่าหัวใจเธอกลับร้อนรนราวกับโดนเผา อัมพิกาเดินเข้ามาหาชายหนุ่มจากทางด้านหลัง แผ่นหลังกว้างดูทระนง อ้างว้าง โดดเดี่ยวจนเธอรู้สึกเจ็บที่เขาต้องเจ็บปวดเพราะการกระทำของพี่สาวเธอ
" พี่คะ เป็นอะไรไหมคะ" หญิงสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงพลางเอามือแตะแขนอีกฝ่ายเบาๆ ทว่าฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกลับรวบข้อมือเธอเอาไว้ สายตาดุดันมองหญิงสาวด้วยความเดือดดาล ใบหน้าสวยที่ละม้ายคล้ายคลึงพี่สาว ยกเว้นดวงตาสีน้ำผึ้งสวยกำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง
" เป็นอะไรไหมหรอ หึ!.. " ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยหยันในลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่า...แววตาสีนิลกลับสั่นไหวราวกับซ่อนอะไรไว้ ศิวะปล่อยมือเธออย่างแรง
" กลับไปซะ ฉันอยากอยู่คนเดียว" ข้อมือบางขึ้นรอยแดงจากการบีบ แต่เธอกลับเจ็บปวดในใจมากกว่า เพราะท่าทาง คำพูด และน้ำเสียงของชายหนุ่มช่างดูห่างเหิน เขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
" แต่ฉันเป็นห่วงพี่นะคะ "
"เป็นห่วง ? เธอนะหรอ? อยากปลอบใจฉันงั้นสิ" ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามก่อนจะใช้สายตากวาดมองทั่วเรือนร่างของหญิงสาวอย่างหยาบโลน ฝ่ามือปัดปอยผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออก ก่อนจะเลื่อนมือไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัวเองอย่างแรง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วโน้มหน้าเข้าใกล้เธอ ใบหน้าของเขาห่างกับใบหน้าของเธอเพียงคืบเดียว
"พี่จะทำอะไรคะ.?" อัมพิกาในเวลานี้หวาดกลัวชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ฝ่ามือบางพยายามดันหน้าอกของอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะร่างกายสูงใหญ่ของศิวะต่างจากร่างกายของเธอมาก
" ปล่อยนะคะ " หญิงสาวพยายามดันร่างกายของอีกฝ่ายออกไปอย่างสุดแรง แต่เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย
" ทำไม อยากปลอบไม่ใช้หรอ" น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบลงข้างหู ฝ่ามือบีบเอวบางอย่างหยอกล้อ แต่เธอไม่สนุกด้วย!
" พี่เป็นอะไรไปคะ " คนตรงหน้าเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก จากคนที่อ่อนโยนแสนดีเป็นคนหยาบคาย แข็งกระด้าง พี่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จัก
" ปล่อยนะคะ " หญิงสาวดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนตรงหน้า จนเขาต้องกระชับอ้อมกอดแน่น
" อย่าเข้าใกล้ฉันอีก ถ้าเธอไม่อยากเจ็บปวดไปชั่วชีวิต " ชายหนุ่มกล่าวเตือน ตามแผนเดิมเขาจะต้องทำให้อัมมาวดีเจ็บปวดโดยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน แต่หญิงสาวตรงหน้าคือคนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ฝ่ามือร้อนไล้ใบหน้าสวยมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาสีนิลสว่างวาบก่อนจะผลักคนตัวเล็กออกเล็กน้อย ผมที่ถูกเซตมาอย่างดีถูกเสยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ภาพของอดีตคนรักซ้อนทับอัมพิกาจนเขาเสียการควบคุม แววตาเย็นชาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดบาดลึกลงในใจ ความรู้สึกปวดหน่วงคอยบีบรัดหัวใจจนแทบจะบ้าเมื่อได้เห็นน้ำตาที่คลออยู่บนดวงตาคู่สวย
" ทำไหมพี่ถึงเป็นแบบนี้ " ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เขาเคยเป็นคนที่อ่อนโยน ใส่ใจ คอยดูแลเธอเหมือนเธอเป็นน้องสาวของเขา ตอนนี้เขาเหมือนคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จัก น้ำตาเอ่อล้นออกมาเป็นสายด้วยความเสียใจที่เขาเปลี่ยนไป
ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้หรือพี่สาวของเธอทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องสร้างกำแพงขึ้นแบบนี้ขิ้นมา
"กลับไปซะ ! ฉันอยากอยู่คนเดียว " ชายหนุ่มหันหลังให้เธอ ยิ่งเขาเห็นเธอ ก็ยิ่งลังเล ไม่ได้อยากทำร้ายเธอ แต่ก็ไม่อาจปล่อยวางความแค้นในใจลงได้ จนกว่าอัมมาวดีและราฟีจะเจ็บปวดเหมือนที่เขาเคยเจ็บ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ในใจเขารู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก
อีกมุมนึงของงาน ภายในห้องนอนที่ประดับด้วยผ้าม่านสีทอง และเครื่องไม้สักสีเข้ม แสงจากโคมไฟระย้ากระทบบนพื้นกระเบื้องหินอ่อน ศิลปะรูปปั้นโบราณถูกวางไว้บนพื้นห้องทั้งสามชิ้น ริมหน้าต่างถูกเปิดออกเผยให้เห็นสวนดอกไม้อยู่ด้านนอก กลิ่นหอมจากดอกกุหลาบและดอกมะลิส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ปราโมทย์ เชาฮาน นั่งอยู่คนโซฟาตรงปลายเตียงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ตรงหน้าเขามีร่างของคุณหมอหนุ่มยืนอยู่
" ไหนลองบอกเหตุผลดีๆสักข้อได้ไหม ว่าทำไมนายถึงต้องทำร้ายเธอ" ศานนท์พูดเสียงเย็น ปรายตามองเจ้าของห้องอย่างโกรธเคือง
" ผู้ชายไม่ว่าจะโกรธสักแค่ไหน ต่อให้โกรธจะไม่มีสติก็ไม่ควรไปทำร้ายผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยาของตัวเอง " คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก พลางมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเชือดเฉือน ปราโมทย์ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาถูกเพื่อนสนิทอบรมบ่มนิสัยมาเกือบชั่วโมงแล้ว จนขี้หูออกมาเต้นระบำได้
" ฉันแค่โกรธ แค่..."
" แค่? เหอะ!" ศานนท์พูดแทรกเสียงแข็ง
" นายก็แค่โกรธจนขาดสติ จนทำร้ายเธอ...และความเจ็บปวดของกาญจีล่ะ ต้องให้เธอแบบรับคำว่า 'แค่โกรธ' ของนายไปจนถึงเมื่อไหร่นายถึงจะพอ ปราโมทย์" คุณหมอหนุ่มแทบจะพ่นไฟใส่เพื่อนสนิทได้อยู่แล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห
" ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง" หนุ่มใหญ่พูดเสียงแผ่ว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ดวงตาสีสวยหม่นหมองด้วยความรู้สึกผิดและโกรธตัวเอง
" ไม่รู้จะแก้ไขยังไง อยู่มาจนเกือบจะ 60 อยู่แล้ว นายยังไม่รู้อีกหรอว่าจะต้องทำยังไง แต่ก็เอาเถอะ นายมันเย็นชา เฉยชาอยู่แล้ว ปราโมทย์ ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ถึงนายจะไม่ได้รักเธอ แต่ก็ไม่ควรไปทำร้ายเธอแบบนั้น เธอเป็นภรรยา เป็นคู่ชีวิต แล้วก็เป็นแม่ของลูกนาย ได้โปรดให้เกียรติร่างกายและหัวใจของเธอ เข้าใจไหม "
บรรยากาศในห้องหนักอึ้ง ความตึงเครียดถาโถมใส่เจ้าของห้อง ปราโมทย์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา กดไปที่หมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคย ใช้เวลารอสายไม่นานเสียงจากปลายสายกระดังขึ้น
( ฮัลโหล)
(ทัช ช่วยมารับศานนท์หน่อย) หนุ่มใหญ่บอกปลายสายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
( เขาจะฆ่าฉันอยู่แล้ว) เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสายอย่างขบขัน
( เขาคงด่าคุณมากกว่าที่จะฆ่าคุณอีกนะ เอาเป็นว่าผมจะรีบไปก็แล้วกัน) เมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงปราโมทย์ก็วางสายไป สายตาเหลือบมองเพื่อนสนิทที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาอาฆาต
" เอาเป็นนายสอนฉันแค่นี้ก็แล้วกัน ทัชกำลังจะมารับนาย หวังว่านายคงไม่ด่าฉันจนเขามาถึงหรอกนะ"
" นายนี่มัน..." ศานนท์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าเขาตาบอด หรือว่าถูกมนต์สะกดถึงได้มาเป็นเพื่อนกับคนเย็นชาเหมือนน้ำแข็งพันปีอย่างปราโมทย์ แต่ก็เอาเถอะ อุตส่าห์คบกันมาตั้ง 40 ปีแล้ว จะเลิกคบตอนนี้ก็คงไม่ได้
" ฉันต้องไปแล้ว ส่วนนายก็นั่งทบทวนความผิดของตัวเองอยู่ในห้อง ฉันจะไปรอด้านนอก" พูดจบคุณหมอหนุ่มก็เดินออกไปพร้อมกับชายคนรัก เหลือเพียงเจ้าของห้องนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ปราโมทย์ เชาฮาน เกิดมาในตระกูลชนชั้นราชปุตที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย เป็นตระกูลชนชั้นสูง ต้นตระกูลเป็นถึงนักรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ มีทั้งเกียรติยศและประวัติอันยาวนาน เขาจึงทระนงตน เย่อหยิ่ง เย็นชา งั้นก็พอชายหนุ่มเกิดมาเป็นความหวังของพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตปราโมทย์ไม่เคยได้เที่ยวเล่นสนุกเหมือนคนอื่นๆ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ต้องฝึกมารยาทของชนชั้นสูง ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ไม่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอิสระ เมื่อพ่อยกทุกอย่างให้เขา เขาก็เลยต้องรับผิดชอบงานมากขึ้น ชีวิตหลายชีวิตอยู่ในกำมือของเขาเพียงแค่จรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษส่วนกาญจีในตอนนั้นเธอเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเขายังไม่มีทางเลือก ชีวิตคู่เริ่มขึ้นปราศจากความรัก พวกเขาใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันอยู่นับปี ก็มีลูกสาวคนแรกออกมา อัมมาวดี ที่หมายถึงแผ่นดินของแม่ ลูกสาวคนนี้พวกเขาคอยรักคอยทะนุถนอมเธอ แล้วค่อยประคับประคองดูแลภรรยา เวลาเธอเหนื่อยจากการเลี้ยงลูก และเหนื่อยจากการทำงานบ้าน ปราโมทย์ก็เลยสละเวลาจากการทำงานมาดูแลลูกสาวคนโตในช่วงเวลาที่ภรรยาพักผ่อน จนกระทั่งล่วงเลยเวลาไปหกปี ลูกสาวคนที่สองก็ถือกำเนิด อัมพิกา ชื่อนี้ปราโมทย์เป็นคนตั้งให้ หมายถึง หญิงแห่งสายน้ำ และ ผู้เป็นมารดา พวกเขาคอยประคับประคองลูกสาวทั้งสองจนเติบโตมาอย่างสวยงาม ในบางครั้งพวกเขาก็ขึ้นไปขอพรที่วิหารของมหาเทพเพื่อจะขอลูกชายสักคนให้มาสืบทอดธุรกิจของตระกูล แต่นานวันเข้าความหวังเขาก็เริ่มริบหรี่พร้อมทั้งอายุของภรรยาที่เพิ่มขึ้น จะล่วงเลยมายี่สิบแปดปี ปราโมทย์ก็เริ่มทำใจได้แล้วว่าธุรกิจของครอบครัวเขาจะเป็นคนบริหารมันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ส่วนลูกสาวทั้งสองเขาอยากให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรมากมาย ชายหนุ่มจึงเก็บทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว ทั้งปัญหาเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เขาไม่เคยบอกใคร มีก็เพียงแต่ภรรยาที่คอยสังเกต ใครนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจ คอยทำอาหารแสนอร่อย ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้คุยกันมากนักทว่าพวกเขากลับเข้าใจกันมากกว่าที่คิด ชีวิตคู่ที่แสนเรียบง่ายมาตลอดยี่สิบเก้าปีไม่อาจเรียกว่ารักดั่งคนรักทั่วไป หากแต่ผูกพันกันดั่งเช่นคนในครอบครัว
__________
เกร็ดน่าอ่าน
ราชปุต (จากสันสกฤต ราชบุตร) เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ หลายองค์ประกอบ ที่ประกอบด้วยชนชั้นวรรณะ, เครือสายคณาญาติ และกลุ่มท้องถิ่น ที่มีจุดร่วมคือสถานะทางสังคมและการเป็นผู้สืบเชื้อสายทางวงศ์วานมาจากอนุทวีปอินเดีย คำว่าราชปุตรวมถึงเผ่าวงศ์ตระกูลทางบิดา ที่ซึ่งในอดีตมีความเกี่ยวโยงกับความเป็นนักรบ
แหล่งข้อมูล : Google
