ตอนที่ 2
วาบบบบ..
ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขา
ขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี
“เฮ้ย!..”
ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส่องผ่านทำให้เขาได้เห็นในสิ่งที่ไม่น่าเลยจะเกิดจะมีได้ในใต้ท้องทะเล
“ชายซิ่น”
ค่อนข้างแน่ใจว่าตาไม่ฝาดแน่นอน มือกำตะกรุดแน่นจนรู้สึกเจ็บขณะฉายสปอร์ตไลท์ไปในบริเวณนั้นอีกครั้ง ชายผ้าซิ่นของผู้หญิง เขาไม่ได้ตาฝาดเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เคยอยู่ในความนึกคิดเลยสักนิด ชายซิ่นแบบนั้น.. ผ้าลวดลายโบราณ ดูทีสิ่งที่เธอรักษาคงมีค่ามากมายจริงๆ
ดวงตาหลุบมองตะกรุดที่มือ แม้ในขณะที่ใต้น้ำเย็นเยียบทว่าเขากลับรู้สึกได้ว่าภายในอุ้งมือนั้นเหมือนมีความร้อนแผ่ออกมา จะเป็นไปได้ไหมว่าเพราะโลหะสัมผัสกับความเย็นจึงทำให้เกิดในสิ่งที่ตรงกันข้ามคืออุ่นจัดขึ้นมา ดวงตามองตรงไปยังจุดหมายเมื่อตัดสินใจแล้วว่ายังไงเสียวันนี้ก็ต้องมีสิ่งติดมือเขากลับขึ้นฝั่งให้ได้
“หึหึหึ.. ปู่ครูท่านใดก็ช่วยมึงมิได้ หากมึงไม่ยึดอยู่ในศีลในธรรม”
ทว่าหากเจ้าเข้มจะมีญาณล่วงรู้คงจะทำให้มองเห็น.. สตรีหนึ่งที่กำลังมองมันด้วยความสมเพชในความโลภที่ไม่มีสิ้นสุด แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มกายจะเตือน ทว่าความโลภที่มากมีก็ไม่อาจทำให้มันยั้งคิด
เรือนกายสะโอดสะองสมส่วนในซิ่นภูษาโบราณ อกอวบอิ่มคาดทับด้วยผ้าสีพื้นเผยให้เห็นช่วงเอวคอด ไหล่เปล่าเปลือยรับกับต้นคองามระหง เส้นผมถูกมวยสูงเหนือกระหม่อมและล้อมไว้ด้วยพวงมาลัยดอกไม้งดงาม เรือนร่างนั้นกำลังก้าวตามมันไปในทุกที่ที่แหวกว่าย ทว่าไม่เพียงเรือนกายจะไม่แม้สัมผัสสายน้ำรายรอบ ตลอดเส้นทางที่นางเยื่องกายยังไม่มีแม้แต่น้ำจะกระเพื่อมละอองทรายให้เห็น
สุดเส้นแสงจันทร์ส่องผ่านกระทบบางสิ่งที่ชวนให้ค้นหาและคุ้มค่าแห่งความเสี่ยง “แจกันสังคโลก” ใบโต ลวดลายแม้จะมองเห็นเพียงรางเลือน ทว่าแค่สภาพที่คาดคิดว่าสมบูรณ์ก็ทำให้มันบวกลบคูณหารตัวเลขในใจได้ว่า มูลค่าของแจกันนี้คงขึ้นเจ็ดหลักอย่างแน่นอน
ขนาดที่ใหญ่โตราวเกือบ 2 ฟุตไม่ทำให้มันยั้งคิดว่าจะไม่สามารถแบกขึ้นไปได้ง่ายๆ และควรมองหาสมบัติของชาติชิ้นอื่นๆ ที่มีน้ำหนักเบาและขนาดเล็ก เช่น เหล่ากาน้ำชาหลายใบที่อยู่ไม่ไกลนั้น ดวงตาแฝงความโลภของมันมองเพียงแจกันใบโตที่ดูราวจะถูกห้อมล้อมด้วยแสงจันทร์เท่านั้น ก่อนจะตรงเข้าหาอย่างถูกมนต์แห่งความโลภสะกดไว้จนสิ้นสติยับยั้งใคร่ควรใดๆ อีกแล้ว
แม้อยู่ใต้น้ำทว่ายังรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่สั่นของตัวเองยามเอื้อมไปสัมผัสแจกันใบสวย ที่ไม่ว่าจะพินิจพิเคราะห์มุมไหนก็ไม่เห็นแม้แต่ตำหนิสักเล็กน้อยที่จะทำให้สมบัติสูงค่าดูด้อยไป ความโลภบังตามองเห็นแต่เพียงเงินทองมากองอยู่ตรงหน้าจนไม่เห็นว่าที่แห่งนี้ มิได้มีมันอยู่เพียงผู้เดียว ณ ใต้ท้องทะเลครวญอีกต่อไปแล้ว
เมื่อส่องไฟดูแล้วไม่พบว่าด้านในแจกันจะมีกรวดทรายทับถมอย่างที่ควรจะเป็น เข้มจึงเอื้อมมือสั่นๆ ของตัวเองออกไปวางทาบไว้แต่ละด้านของแจกันใบโตอย่างมาดหมาย มันไม่รอช้าที่จะโอบอุ้มเงินทองที่จะได้มาจากการซื้อขายสิ่งนี้ขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว
ทว่า.. เพียงแค่มันออกแรงยก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้างอย่างตื่นกลัวสุดขีดในชีวิต และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่มันจะได้เห็นบนโลกมนุษย์ที่ชั่วชีวิตของมันต้องการเพียงไขว่คว้าเอาเงินทอง โดยละทิ้งบาปบุญคุณโทษทั้งหลายทั้งปวง และก้าวข้ามผ่านโลกมนุษย์ไปสู่โลกวิญญาณที่ต้องวนเวียนว่ายเป็นนิรันดร์
แสงจันทร์นวลสาดกระทบท้องทะเลดูสว่างไสวระยิบระยับไปทั่ว ทว่าในความสว่างไสวนั้นกลับเป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าเจ้าของเรือนหวั่นเกรงเป็นหนักหนา เพราะยิ่งแสงจันทร์เจิดจ้ามากเพียงใด ผู้ที่หลงมัวเมาอยู่ในกิเลสตัณหาและความโลภยิ่งมากมี และเสียงครวญคร่ำที่ได้ยินตั้งแต่รุ่นเด็กยันวัยชรานั้นเล่า เสียงนี้ไม่ใช่หรือที่ดั่งจะร้องครวญถึงอีกชีวิตที่ต้องเซ่นสังเวย
“เสียงอะไรน่ะครับพ่อใหญ่”
