ยัยเฉิ่มแสนเชยมัดใจนายหล่อร้าย

114.0K · จบแล้ว
พิชามญธุ์
52
บท
47.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"พี่ขอโทษนะ รอบนี้พี่ขอก่อน พี่ไม่ไหวแล้ว รอบหน้าจะแก้ตัวให้" เขาพูดเสร็จก็สะบัดผ้าขนหนูออกจากเอวสอบทันที ฉันจึงมองเห็นเจสันน้อยของเขา มันทำให้ฉันตาโตขึ้นทันที เพราะมันกำลังชี้หน้าฉันอยู่

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันรักหวานๆดราม่ารักวัยรุ่นรักแรกพบโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกพระเอกเก่ง

บทที่ 1

ลูกน้ำ

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันมาเรียนตามปกติ เป็นอีกวันที่ชีวิตเธอเป็นแบบนี้อยู่ซ้ำๆ ก็คือเรียน ทำงาน มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ที่ฉันเริ่มไม่มีใคร และนี่ก็เป็นวิชาสุดท้ายของวันนี้ ซึ่งตอนนี้ฉันก็นั่งฟังอาจารย์บรรยายอย่างตั้งใจ

ฉันขอแนะนำตัวนะคะ ฉันชื่อนางสาว ปัทมา หรือจะเรียกว่า ลูกน้ำก็ได้ ฉันอายุ 21 ปี เรียนอยู่มหาลัยปีที่ 3 คณะศิลปกรรม อีกแค่นิดเดียวก็จะจบแล้วชีวิตของฉันไม่มีอะไรมาก ฉันเป็นเด็กกำพร้า เพราะพ่อแม่ เสียชีวิตตั้งแต่ฉันอายุ 16 และฉันไม่มีญาติที่ไหน ทำให้ฉันต้องอยู่คนเดียวมาตลอด

ฉันเคยท้อและโทษโชคชะตาทำไมถึงใจร้ายกับฉันนัก ทำไมถึงปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างฉันต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวแบบนี้ แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้จนถึงทุกวันนี้ ฉันทำงานทุกชนิดที่ได้เงิน ทั้งเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน พริตตี้ ทำทุกอย่างที่สามารถส่งตัวเองเรียนได้ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวที่ฉันไม่ทำก็คือขายตัว

แต่ตอนนี้ฉันได้ทำงานที่สบายขึ้นถึงแม้มันจะเป็นงานที่เสี่ยงแต่มันก็ได้เงินดี นั่นคือ ทำงานในผับ หน้าที่ของฉันคือดีเจ สุดแสนจะเซ็กซี่ ทั้งที่มันไม่ใช่ฉันสักนิด ฉันทำงานที่นั่นได้เดือนหนึ่งแล้วและฉันก็ทำที่นั่นที่เดียวแล้วด้วย เพราะงานที่นั่นมันทำให้ฉันได้เงินมากพอที่จะใช้จ่ายในแต่ล่ะเดือนได้

ตอนกลางคืนฉันเป็นสาวเซ็กซี่ ตอนกลางวันฉันจะเป็นยัยเฉิ่ม แสนเชย ที่ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้ และนั่นมันก็เป็นผลดีกับฉันเพราะฉันไม่อยากจะเป็นจุดสนใจของใคร ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ

ฉันมีความฝันว่าฉันเรียนจบจะหางานดีๆ ทำสักที่และเก็บเงินซื้อบ้านหลังเล็กๆ สักหลัง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เรื่องแฟนเหรอไม่เคยคิด ตอนทำงานเป็นดีเจก็มีคนมาจีบนะแต่ฉันก็ไม่สน เพราะยังไม่เจอคนที่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงได้

น้ำเน่าไหมล่ะ

“เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้” เสียงอาจารย์ดังขึ้นว่าได้หมดคาบเรียนแล้ว ฉันก็เก็บกระเป๋าเพื่อกลับหอพักและเตรียมตัวไปทำงานคืนนี้

แต่ในขณะที่ฉันเดินๆอยู่กำลังจะข้ามถนนก็มีรถวิ่งตัดหน้า แรมโบกินนี่สีแดงสุดหรู วิ่งตัดหน้าโดยที่ยังฉันไม่ทันได้ตั้งตัว

ฉันตกใจสุดขีดร้องกรีดออกมาเสียงดัง คิดว่าตัวเองต้องโดนชนแน่ๆ หัวใจเต้นแรงและรู้สึกหน้ามืดสติค่อยๆหายไป

“อือ......” ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ฉันก็รู้เลยว่าที่นี่เป็นห้องพยาบาล ฉันรู้สึกมึนๆหัว ส่ายหัวไปมา ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ ตอนนั้นฉันจำได้ว่ามีรถวิ่งตัดหน้าและฉันก็หน้ามืดแล้วเป็นลมไป แล้วใครพาฉันมาที่นี่นะ ฉันนวดขมับตัวเองแรงขมวดคิ้วครุ่นคิด

“เฮ้...เธอฟื้นแล้วเหรอยัยเฉิ่ม” ฉันได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ก็เลยหันไปหรี่ตามอง เขามาทำอะไรที่นี่ ผู้ชายคนนี้ ฉันเคยเห็นเขาแค่ผ่านๆ เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของเจ้าของมหาลัยนี่น่า

อ่อ ฉันลืมเล่าให้ฟังเจ้าของมหาลัยฉันยังเป็นนักเรียนอยู่ แถมหล่อมาก อีกต่างหากเขาเป็นนักศึกษาปีสี่คณะบริหาร

“เฮ้ เธอ เหม่ออะไรอยู่ ฉันเรียกเธอตั้งนาน หรือ ว่าตกใจจนเพี้ยนไปแล้ว” ฉันตกใจเพราะเสียงของนายนี่แหละ ฉันหลุดออกจากความคิด นายนี่ชื่อว่าอะไรนะ ถ้าฉันจำไม่ผิดน่าจะชื่อมาร์คนี้แหละ

“อะไร”

ฉันพูดออกไปเสียงเบาเพราะยังรู้สึกมึนๆหัวอยู่ และไม่รู้จะทำตัวยังไงต่อหน้าคนหล่อๆ แบบนี้ ที่จริงฉันเป็นคนมั่นใจในตัวเองนะ แต่เพราะภาพลักษณ์ของฉันเลยต้องทำตัวใสซื่อ (ฮ่าๆ ๆ แอ๊บซะไม่มี) ฉันเป็นคนตรงๆ คิดยังไงพูดอย่างนั้น ใครแรงมาแรงตอบ แต่ฉันไม่อยากทำตัวให้เป็นจุดสนใจเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย

“เธอเป็นอะไรมากรึเปล่า ดีขึ้นรึยัง แล้วทำไมถึงไปเดินเหม่ออยู่กลางถนน แล้วไม่ดูรถแบบนั้น” นายมาร์คถามฉันซะยาวเลย

“ไม่เป็นไรแล้ว แล้วใครพาฉันมาที่นี่” ฉันเลือกที่จะตอบแค่คำถามแรก และถามในสิ่งที่ฉันอยากรู้

"ก็เจ้าของรถที่ขับรถตัดหน้าเธอไง” นายมาร์คตอบคำถามของฉันด้วยสีหน้าเซ็งๆ แล้วทำไมต้องทำหน้าเซ็งด้วยอะ

“ใคร นายเหรอ”

“ไม่ใช่ฉัน เธอไม่ต้องรู้หรอก”

ฉันถามนายมาร์คว่าเจ้าของรถคันนั้นเป็นใครฉันก็ไม่ได้คิดติดใจเอาความหรอกเพราะฉันเองแหละที่ผิดไปเดินเหม่อกลางถนนแบบนั้น ฉันเพียงแค่อยากขอบคุณเขาที่พาฉันมาห้องพยาบาลไม่ปล่อยให้ฉันต้องนอนเป็นลมข้างถนนเท่านั้นเอง

“ทำไม” ฉันถามออกไปด้วยความสงสัยทำไมฉันถึงรู้ไม่ได้

“ไม่ทำไม หายแล้วใช่ไหม กลับบ้านไปไม่ต้องเรียนแล้ว” นายมาร์คไล่ฉันกลับบ้าน ฉันอยากจะบอกเขานะว่าก็ฉันกำลังจะกลับบ้านนั่นแหละแต่ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ซะก่อนเลยต้องมาติดแหง็กอยู่นี้ไง

“เออ ใช่ ฉันไปก่อนนะ” ฉันพูดจบแล้วหันซ้ายหันขวามองหากระเป๋าพอเจอแล้วก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไปทันทีฉันรีบตรงดิ่งกลับคอนโดรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบมาทำงานที่ผับทันที

"“สวัสดีค่ะพี่เจนนี่ “ฉันมาถึงก็เห็นพี่เจนนี่เดินคุมพนักงานจัดโต๊ะอยู่ พี่เจนนี่ก็คือผู้จัดการผับที่ฉันทำงานอยู่ พี่แกคือคนที่ฉันเคารพ คนที่รู้ความลับของฉัน คนที่ฉันไว้ใจ

พี่แกเก่งนะสามารถคุมผับใหญ่โตนี้ได้ พี่เจนนี่เป็นคนเด็ดขาด ลูกน้องเลยให้ความเคารพ ตั้งแต่ฉันมาทำงานที่นี่ฉันยังไม่เคยเห็นเจ้าของผับเลย ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนฉันเห็นแต่พี่เจนนี่ นี่แหละที่คอยทำนู่นทำนี่ตลอด แต่พี่แกบอกว่าก่อนที่ฉันจะเข้ามาทำงานเจ้าของผับเข้ามาที่นี่ประจำแต่พอดีช่วงนี้เขาติดธุระก็เลยไม่ได้เข้ามา

“ดีจ๊ะลูกน้ำ” พี่เจนนี่หันมาทักทายฉัน แล้วหันกลับไปสั่งงานลูกน้องต่อ ฉันจึงเดินเลี่ยงเข้าไปด้านหลังส่วนที่เป็นห้องแต่งตัวสำหรับพนักงาน เหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนที่ผับจะเปิด ฉันก็เลยจะมาเติมหน้าสักหน่อยเพราะตอนที่ออกมารีบมากเลยยังแต่งไม่สวยพอ

ฉันน่ะพอถอดแว่นออกแต่งหน้าทำผมนิดหน่อยก็สวยนะ ใสชุดสวยๆ รัดรูปเห็นทรวดทรงองค์เอวยิ่งสวย ไม่ได้อยากจะชมตัวเองหรอกนะยิ่งหน้าอกหน้าใจคัพดีนี่อีก แม่ให้มาเยอะพอตัวเลยล่ะ คนละคนเลยละกับตอนที่ไปเรียน

แต่ถึงจะอยู่ในลุคไหนฉันก็ไม่ซีฉันเป็นได้หมดถึงมันจะไม่ใช่ตัวฉันก็เถอะ ก็เพื่อความสงบสุขของตัวเองอะเนอะ

เมื่อได้เวลาทำงานฉันจึงเดินออกไปข้างนอกเพื่อเปิดเพลง

“สวัสดีค่ะพี่” ฉันเอ่ยทักพี่คนหนึ่งที่ทำงานด้วยกันที่นี่ฉันไม่ค่อยได้พูดคุยหรือสนิทกับใครที่นี่เป็นพิเศษหรอกนะ ฉันแค่ทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุดก็พอ พอเลิกงานก็กลับบ้าน

ฉันเดินขึ้นมาบนเวทีทางด้านขวาซึ่งช่วงนี้จะเป็นหน้าที่ดีเจอย่างฉันและดึกสักหน่อยก็จะมีนักร้องขึ้นร้องเพลง ซึ่งจะเป็นนักร้องประจำของผับ จะขึ้นร้องอยู่สองช่วง

ช่วงเวลาผับเปิดจะเป็นหน้าที่ของฉันไปจนถึงสามทุ่ม ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของนักร้องที่ขึ้นร้องสดจนถึงห้าทุ่ม นักร้องก็จะพักและเป็นหน้าที่ของฉันอีกทีจนถึงเที่ยงคืน นักร้องก็จะขึ้นร้องอีกที และฉันจะทำหน้าที่ช่วงสุดท้ายก่อนผับปิด สรุปคือฉันทำหน้าที่สามช่วงและระหว่างพักก็มีบ้างที่เดินไปทักทายลูกค้า

ส่วนเรื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉันไม่เกี่ยง ถ้าลูกค้ายื่นมาให้ก็ดื่มตามมารยาท เพราะก็ฉันคอแข็งพอสมควร ทำงานด้านนี้ก็ต้องหัดดื่มเป็นธรรมดา เพื่อป้องกันการถูกมอมเหล้า ฉันเริ่มเปิดเพลงช้าๆ ก่อนพอคนเริ่มเยอะขึ้นฉันก็เริ่มเปิดเพลงเด๊นซ์ให้พวกผีเสื้อราตรีได้วาดลวดลายกันสักหน่อยเปิด สักพักก็ได้เวลาพักของฉันแล้วถึงเวลาที่นักร้องจะขึ้นเวทีฉันกำลังจะเดินลงจากเวทีพี่เจนนี่ก็มาทักฉันซะก่อน

“ลูกน้ำจ๊ะ”

“ค่ะพี่เจนนี่”

“มากับพี่หน่อยสิ พอดีวันนี้คุณเจสันเข้ามาเขาเลยอยากเจอน้ำน่ะ” คุณเจสันก็คือเจ้าของผับที่นี่ไง เขาจะหน้าตาเป็นยังไงนะ แก่รึเปล่าเพราะฉันเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเห็นหน้าแต่วันนี้คงได้เห็น

“อ่อ ได้ค่ะ” ฉันเดินตามไป พี่เจนนี่พาฉันเดินขึ้นมาชั้นสองของผับซึ่งเป็นชั้นวีไอพีของที่นี่ สักพักก็มาถึงห้องห้องหนึ่ง พี่เจนนี่ก็เคาะประตูสามทีแล้วเปิดเข้าไปทันที

“มาแล้วค่ะ นี่ลูกน้ำดีเจสาวสวยประจำผับของเรา ลูกน้ำจ๊ะนั้นคุณเจสันเจ้าของผับ ส่วนนั้นคุณมาร์คหุ้นส่วน คุณบีมหุ้นส่วนอีกคน” พี่เจนนี่พูดแนะนำฉันกับผู้ชายที่นั่งอยู่สามคน โอ้มายก๊อดหล่อมากกก อย่างกับนายแบบ โดยเฉพาะเจสัน ใช่เจสันคนเดียวกันที่เป็นเจ้าของมหาลัยฉันนี่นา เขาเป็นเจ้าของผับที่นี่ด้วยงั้นเหรอฉันไม่ยักรู้มาก่อน

เขามองมาทางฉัน สายตาที่มองมามันทำให้ฉันอ่านไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่เพราะสีหน้าเรียบเฉยนิ่งๆ ของเขามันอ่านยากมาก ส่วนนายมาร์คคือคนที่ฉันเจออยู่ที่ห้องพยาบาลนั่นเอง

และอีกคนที่ชื่อบีมฉันเคยเห็นผ่านๆเหมือนกัน แต่ไม่บ่อยมากเพราะเขาเป็นคนพูดน้อย หวังว่านายมาร์คจะจำฉันไม่ได้หรอกนะ

สาธุ

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักพวกเขาเสียงเบาเพราะสายตาของพวกเขามันทำให้ประหม่า

“สวัสดีเธอเป็นดีเจที่ผับเราสินะ” นายมาคร์เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก ฉันรู้สึกว่าสายตาของเขามันแปลกๆ มันเป็นสายตาที่ดูทึ่งนิดๆแต่ก็แป๊บเดียวเท่านั้นมันก็หายไป

“ใช่ค่ะ” ฉันตอบออกไป

“รู้จักกันแล้วก็คุยกันตามสบายนะพี่ไปทำงานก่อน” พี่เจนนี่เอ่ยขึ้น นี่พี่เขาจะทิ้งให้ฉันอยู่กับพวกเขาเนี่ยนะ ใครจะไปอยู่ ฉันไปด้วยดีกว่า พอพี่เจนนี่เดินออกไปฉันก็หันหลังจะเดินตาม แต่...

“เดี๋ยว ใครให้เธอไป” เอะ ฉันหยุดเดิน หันกลับไปมองทางต้นเสียง นายเจสันนั่นเองที่ห้ามฉันไว้ เขาจะเรียกฉันทำไมเนี่ย

“เออ มีอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอคะ” ฉันพูดออกไปอย่างติดๆ ขัดๆ

“นั่งก่อนสิ” นายเจสันเชิญฉันนั่ง

“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” อยู่ๆ นายมาร์คก็พูดขึ้นและหันไปส่งสายตาให้นายบีมแล้วเดินออกไปแล้วนายบีมก็เดินตามออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ