โลกใบใหม่ 2
ณ แคว้นหลิวอวิ๋น จวนเจ้าเมืองตระกูลหลี่
ยามจื่อ*เรือนชิงหวา
'อึก'
หายใจไม่ออก หญิงสาวดิ้นพล่านพยายามหลุดออกจากมือเรียวที่กำอยู่รอบคอของนาง ปากเล็กอ้ากว้างเพื่อสูดอากาศหายใจ แต่ก็ไม่สำเร็จ สองมือน้อยๆ ยกขึ้นผลักสตรีที่อยู่ด้านบนลำตัวอย่างสุดแรง นางพยายามส่งสายตาเว้าวอน หวาดกลัว ท้อแท้ และสิ้นหวัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความไม่เข้าใจ เหตุใดสตรีนางนี้ถึงต้องการให้นางตาย หัวใจดวงเล็กๆ เจ็บแปลบเหลือแสน พวงแก้มทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
"นางสารเลว ทำไมไม่ตายๆ ไปสักที เลี้ยงเจ้าไปก็เสียข้าวสุก แพศยาไร้ค่าอย่างเจ้า ควรจะตายๆ ไปซะ! " เสียงแหลมสูงดังขึ้นราวกับคนไร้สติอยู่ข้างหูของสาวน้อย ใบหน้าที่เคยอ่อนหวาน เคยมองนางด้วยความอ่อนโยน ยามนี้กลับบิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าความงามอีกต่อไป
หลี่หลิงเฟิ่งเด็กสาวอายุราวๆ สิบสองสิบสามปีไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ก่อนหน้านี้เด็กสาวก็ป่วยติดเตียงมาสามวันเนื่องจากถูกผลักตกน้ำ กำลังอันน้อยนิดไหนเลยอาจหาญสู้กับหญิงผู้มีเรี่่ยวแรงเต็มเปี่ยมนี้ได้ นางได้แต่หวังว่าเสี่ยวเซียงสาวใช้คนสนิทจะเข้ามาพบและดึงสตรีเสียสติผู้นี้ออกไปเสีย
"ฮ่าๆๆ เจ้าควรจะไปอยู่ในปรโลกตั้งนานแล้ว ข้าทนเลี้ยงดูเจ้ามาเพื่อหวังพึ่งพา แต่เจ้ามันก็แค่สวะที่ถูกทิ้ง ฮ่าๆๆๆๆ " เสียงหัวเราะของแม่สามราวกับคนบ้าและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้ว สตรีคลุ้มคลั่งคนนี้คืออนุสาม มารดาแท้ๆ ของนางนั่นเอง มารดาที่กำลังสังหารบุตรสาวในอุทร
'ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงฆ่าข้า ท่านเกลียดข้านักหรือ'นางอยากถามออกไปเหลือเกิน แต่นางไม่สามารถพูดออกไปได้ ได้แต่มองมารดาอย่างท้อแท้
'ทรมานเหลือเกิน ความหวังของข้าไม่คงเหลืออีกแล้ว' ดวงตาบวมเป่งเหลือกตามองมุ้งเก่าสกปรก รอบๆมุ้งมีรูที่ขาดผ่านรอยปะชุนนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ให้ขมขื่นในใจ ชีวิตคุณหนูห้าในจวนเจ้าเมืองย่ำแย่ยิ่งกว่าสาวใช้ส่วนตัวของพี่ใหญ่เสียอีก
ผู้คนในจวนนี้มีใครบ้างไม่อยากให้นางตาย แม้กระทั่งผู้ให้กำเนิดที่นางหลงคิดไปว่ารักนางยังต้องการที่จะสังหารนาง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางไร้พลังยุทธ์ เป็นตัวไร้ค่าของตระกูล เหมือนขยะที่รอวันย่อยสลาย หลี่หลิงเฟิ่งน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย ไม่นานร่างกายของนางก็กระตุกไม่หยุด หนังตาหนักอึ้งค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
"เจ้าไม่ต้องห่วงไป เจ้าล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะไม่รอให้เจ้าต้องอยู่อย่างเดียวดายในปรโลกแน่" น้ำตามากมายหยดลงบนใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่ามือที่กำรอบคอของนางไม่ได้ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย
'หากข้าตาย ทุกคนคงจะสมปรารถนา ตัวขยะอย่างข้าอยู่ไปก็มีแต่ทำให้ตระกูลต้องอับอาย' เด็กสาวไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว นางฝืนไม่ไหวแล้ว สติสุดท้ายดับวูบสู่ความเวิ้งว้างอันมืดมิด
" เฟิ่งเอ๋อร่์ ฮึก ไม่ต้องกลัวนะลูก อีกไม่นานแม่จะตามเจ้าไปแล้ว" เสียงร่ำไห้ของอนุสามครวญครางอย่างสิ้นหวัง นางเดินไปจับเชือกใต้ขื่อคานใกล้ปลายเตียง เอี้ยวศรีษะหันกลับมามองเด็กสาวผอมบางที่นอนอยู่บนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นอีกครั้ง สองขาก้าวขึ้นบนตั่งช้าๆ มือเรียวกำเชือกไว้แน่น สองตาพลันว่างเปล่าราวกับปล่อยวางทุกอย่าง ขาเตะตั่งให้ล้มลงเบาๆ ร่างของสตรีที่่เคยงดงามดิ้นอยู่สองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
'ข้าขอโทษ'
เปรี้ยง!
ท้องฟ้ามืดครึ้มยามราตรี มองไม่เห็นดวงดาว หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มมือข้างหนึ่งถือโคมไฟ อีกข้างถือถังน้ำ สองเท้าเร่งรีบกลับเรือนด้วยกลัวฝนจะตกลงมา
"เสี่ยวเซียงนั่นเจ้ากำลังจะไปไหน" เสียงนุ่มนวลด้านหลังดังขึ้นแผ่วเบา เสี่ยงเซียงหันไปมองพบว่าเป็นหญิงหน้าตาสะอาดสะอ้านนางหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้
"พี่จิ่นอวี้ ข้ามาตักน้ำไปเช็ดตัวให้คุณหนูห้า ท่านมีธุระเร่งด่วนอะไรหรือ" สาวใช้นามจิ่นอวี้ผู้นี้เป็นสาวใช้ข้างกายอนุสาม เสี่ยวเซียงมองนางยิ้มๆ หยุดยืนรอนางให้เดินไปพร้อมกัน ถ้านางเดาไม่ผิดฮูหยินต้องอยู่ที่เรือนคุณหนูห้าแน่ๆ
"ข้าตามไปรับใช้ฮูหยิน เจ้าไปพร้อมกับข้าเลยแล้วกัน" จิ่นอวี้ปรายมองเสี่ยงเซียงอย่างเฉยชา เดินนำหน้ามุ่งไปเรือนชิงหวา
"ฮูหยิน คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่บ่าวไปห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูก คุณหนูรองท้องไปก่อนนะเจ้าคะ" เสี่ยวเซียงเดินขึ้นไปบนเรือนพร้อมผลักประตูออก หยิบห่อหมั่นโถวออกมาจากแขนเสื้อ ทันทีที่หันหน้าไปมองในห้องนอน ข้าวของที่อยู่ในมือทั้งสองข้างก็หล่นลงบนพื้นกระจัดกระจาย หน้าตาตื่นตระหนก ร่างกายอ่อนแรงทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
กรี๊ดดดดด
"ฮูหยิน! " จิ่นอวี้ที่ยืนนิ่งค้างอยู่ด้านนอกประตูรีบเร่งเข้าไปหาเจ้านาย พลางหันหน้าไปมองเสี่ยวเซียงอย่างเกรี้ยวกราด
"เร็วเข้า รีบดึงฮูหยินลงมา! " เสียงตะโกนที่ดังลั่นของสาวใช้ทั้งสอง พลันปลุกให้ผู้คนในจวนสะดุ้งตื่น ทั้งหมดรีบเร่งมาทางเรือนชิงหวาอย่างตื่นตกใจ เสี่ยวเซียงที่โดนจิ่นอวี้ตะคอกใส่พลันได้สติ สองขาน้อยๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเดินไปเบื้องหน้าอนุสามอย่างหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด มือยื่นออกไปจับตัวเย็นเฉียบของอนุสาม ทั้งสองค่อยๆ ดึงร่างที่ตัวเริ่มเย็นของผู้เป็นนายลงมา
"ฮือ ฮูหยิน ท่านไม่น่าด่วนจากไปเช่นนี้เลย ไยท่านใจร้ายทิ้งคุณหนูกับบ่าวไว้เพียงลำพัง" จิ่นอวี้ร่ำไห้ราวจะขาดใจข้างศพเจ้านาย
"คุณหนู คุณหนูเล่า" เสี่ยวเซียงพลันได้สติรีบวิ่งตรงไปที่เตียงนอน ฉับพลันเสียงร้องไห้ของนางก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"ฮือๆๆๆ คุณหนู...ฟื้นสิเจ้าคะ...อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว...ข้ากลัว...ฮึก" เสียงร้องไห้คร่ำครวญของสาวใช้ดังอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าเด็กสาวบนเตียงจะตื่นขึ้นมา สาวใช้ครวญครางจนลำคอแหบแห้ง มือเล็กๆ หยาบกระด้างเขย่าตัวนางไปมาไม่หยุด แรงเขย่าของเสี่ยวเซียงหนักหน่วงจนทำให้เธอเวียนหัว หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง จนดวงตาสองคู่สบประสานกัน
"คุณ...คุณหนู...คุณหนูฟื้นแล้ว ฮือๆๆๆๆๆ " เสี่ยวเซียงที่กำลังร่ำไห้พลันชะงักเงยหน้าขึ้นสบตากับหลี่หลิงเฟิ่ง เมื่อเห็นว่าสาวน้อยฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ทั้งตกใจระคนดีใจ ร้องไห้หนักกว่าเดิม
"เงียบ! " หลี่หลิงเฟิ่งตลาดเสียงดัง แต่เสียงที่เปล่งออกไปนั้นแหบแห้ง ซ้ำร้ายยังเบาเหมือนยุง แต่ถึงกระนั้นก็มีรังสีเย็นชาแผ่ออกมา ทำให้รอบด้านรู้สึกหนาวยะเยือก เสี่ยวเซียงรีบหุบปากฉับก้มหน้ากลั้นเสียงสะอื้นทันควัน
หลี่หลิงเฟิ่งมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง เห็นข้าวของเก่าๆ กระจัดกระจายอยู่เกลื่อนพื้นเต็มไปหมด ราวกับบุคคลในห้องได้ผ่านการต่อสู้กันมา มุ้งหมอนโทรมๆ เสื้อผ้าสีหม่นก่ำคร่ำครึไม่รู้ว่าผ่านการใช้งานมากี่ปีแล้ว ทั่วทั้งห้องเหมือนสิ่งที่ปล่อยถูกทิ้งร้างมาแล้วหลายสิบปี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่มีฝุ่นและหยากไย่ เธอคงคิดว่าอยู่ในบ้านร้าง สุดท้ายสายตาของนางมาตกอยู่ที่หญิงสาวเจ้าของเสียงที่น่ารำคาญและแรงโคนั่น นางเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักใช้ได้คนหนึ่ง อายุราวสิบสามสิบสี่ แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งที่ทำให้เธอสับสนงุนงงคือคนพวกนี้เป็นใคร และ...
เธออยู่ที่ไหน
