บุรุษปริศนา 4
เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหาร
หลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตา
อย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไม
หลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำ
นางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้
ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่า
ครืนน
พลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ หลี่หลิงเฟิ่งเพิ่มความระแวดระวังขึ้นทันที หรือสองคนนั้นจะจัดการกับสัตว์อสูรได้แล้ว อย่างนี้ไม่ดีแน่ กระแสจิตส่งออกไปสำรวจด้านบนอย่างรวดเร็ว พลันสัมผัสถึงพลังหลายสายกำลังต่อสู้กันอยู่
หรือจะเป็นพวกอู๋เหยียน
เมื่อใบหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งโผล่พ้นน้ำ ภาพที่เห็นถึงกับทำให้นางชะงักนิ่งไปสักพักใหญ่ ความเละเทะตะลุมบอนกันนี่มันหมายความว่าอย่างไร
นี่คือยอดฝีมือปะทะกันจริงหรือ
แต่มันออกจะพิลึกพิลั่นไปสักหน่อย ด้านหนึ่งคืออู๋เหยียนกำลังสู้อยู่กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นพิภพสองคน แล้วดูเหมือนว่าคนฝ่ายนางจะได้เปรียบ ส่วนอีกด้านบุรุษสี่ห้าคนกำลังวิ่งหนีตายจากงูยักษ์ที่พ่นพิษไล่ตามอยู่ข้างหลัง
หญิงสาวลอบอุทานในใจ นี่อู๋เหยียนแข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียวหรือ
หลี่หลิงเฟิ่งสีหน้าเหยเก อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ “พวกเจ้าทำอะไรกัน”
อู๋เหยียนที่กำลังมัดตัวมือสังหารสองคนที่สะบักสะบอมได้ยินเสียงอันคุ้นหู เขาเงยหน้าขึ้นมามองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นมาจากสระอย่างหมดสภาพ เมื่อเห็นท่าทางไม่งามของนาง มุมปากพลางกระตุก สูดหายลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น
“คุณหนู ท่านหลบไปให้ห่างจากที่นี่ก่อนเถิด ระวังจะโดนพิษจากงูฟ้าวารีเข้านะขอรับ” หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองไปยังงูฟ้าวารี ที่กำลังพ่นควันสีเขียวออกจากปากอยู่ไกลๆ งูฟ้าวารีอย่างนั้นรึ ไฉนทั้งตัวถึงเป็นสีดำ
สายตาของนางกลับมาสนใจอู๋เหยียนอีกครั้ง “อย่าทำให้ตายคามือเสียก่อนล่ะ” กล่าวจบหลี่หลิงเฟิ่งก็รุดไปข้างหน้า เอี้ยวตัวหลบ ยื่นมาเข้าไปในมิติ หยิบหญ้าเผยกู่ออกมาหกต้น
“พวกเจ้ารีบกินซะ ถ้าไม่อยากถูกพิษจนตาย มัวแต่วิ่งหนีอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่จะสังหารได้สักทีล่ะ” ไม่พูดพล่ามให้เสียเวลา หลี่หลิงเฟิ่งโยนหญ้าเผยกู่ไปให้คนทั้งห้า ส่วนนางเคี้ยวและกลืนลงท้องไปอีกต้นอย่างรวดเร็ว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มขื่น เห็นทีนางคงปกปิดความสามารถตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“คุณหนูท่านหลบไปก่อนเถิดขอรับ ตรงนี้ปล่อยให้พวกข้าจัดการเอง” อู๋เหยียนที่ไม่รู้มายืนข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่พูดขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังไปมองพบว่ามือสังหารสองคนนั้นสลบไปเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าจะจัดการยังไงหรือ ครึ่งค่อนวันแล้วข้ายังเห็นวิ่งไล่จับกันอยู่เลยนี่” หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างขบขัน พลางยื่นหญ้าเผยกู่ไปตรงหน้าอู๋เหยียน “รับไป มันช่วยต้านพิษทุกชนิดได้หนึ่งเค่อ”
“คุณหนูได้โปรดรออยู่ตรงนี้เถิด งูฟ้าวารีไม่ใช่สัตว์อสูรทั่วไป แต่เป็นสัตว์อสูรขั้นสาม แม้แต่ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะมันได้” อู๋เหยียนพลันหางคิ้วกระตุก เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา พลางมองคุณหนูห้าอย่างไม่เข้าใจ นางไม่มีแม้แต่พลังยุทธ์ แล้วเอาความกล้ามาจากไหนว่าจะเอาชนะสัตว์อสูรขั้นสามได้
“ก็ไม่แน่หรอก มันคงใกล้จะหมดแรงแล้ว” โอย ท่านแค่อยู่เฉยๆ อย่าสร้างเรื่องเป็นพอ
หลี่หลิงเฟิ่งมองอู๋เหยียนที่แสดงสีหน้าราวกับกำลังจมน้ำตาย เสียงหัวเราะหวานใสดังก้องขึ้น “มัวยืนทำอะไรอยู่ ไปจัดการซะสิ” พูดพลางโบกมือไล่
คนกลุ่มนี้ บางทีอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางคิด กลับไปคงต้องถามเรื่องราวของพี่ชายใหญ่จากเสี่ยวเซียงบ้างซะแล้วล่ะ
ขณะจ้องมองพวกอู๋เหยียนหลอกล่องูฟ้าวารีอยู่นั้น หลี่หลิงเฟิ่งพลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง ตะโกนออกไปสุดเสียง “อ้อ! หนังของมันเอามาทำยาลูกกลอนได้นี่ ถลกหนังมันมาให้ข้าด้วยนะ”
โอย ท่านไม่พูดก็ไม่มีใครบอกว่าท่านเป็นใบ้หรอก คนทั้งหกอวดครวญอย่างแค้นใจ ท่านรอให้มันตายก่อนไม่ได้หรือไร ค่อยพูดออกมา
ฟู่ๆๆ
งูฟ้าวารีได้ยินก็บ้าคลั่งขึ้นมา ลิ้นสามแฉกแลบออกมาไม่หยุด หมอกควันพิษพวยพุ่งออกมาทั่วสารทิศ สะบัดหางรอบทิศด้วยความโกรธ ทำให้คนของนางเข้าใกล้ไม่ได้
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่
เห็นดังนั้น หลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนพิงต้นไม้อย่างผ่อนคลาย ดวงตาหรี่ลงน้อยๆ เม้มริมฝีปากแน่นอย่างหงุดหงิด หลุบตาลงพลางคิดทบทวนเนื้อหาในตำราที่อ่านผ่านตาสองสามวันมานี้
หลี่หลิงเฟิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าหนักแน่น “จุดอ่อนของงูฟ้าวารีอยู่ที่หางของมัน หากพวกเจ้ายังโจมตีส่วนอื่นของมัน ความเร็วของมันในบรรดาสัตว์อสูรทั้งหมดไม่นับว่าเร็วก็จริง แต่ด้วยพละกำลังของพวกเจ้าตอนนี้แล้วคงล้มมันไม่ได้ง่ายๆ แน่”
“พวกเจ้ามุ่งโจมตีไปที่หางของมันเป็นหลัก อย่าลืมเสียล่ะว่าสมุนไพรต้านพิษที่กินเข้าไปมีผลแค่หนึ่งเค่อ” ในเมื่อนางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง สิ่งที่นางทำได้ก็แค่ออกปากชี้แนะ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่หลิงเฟิ่ง แม้จะสงสัยว่านางรู้ได้อย่างไร แต่ก็ทำตามคำชี้แนะของนางอย่างเคร่งครัด พลังหกสายพุ่งปราดไปยังหางของงูฟ้าวารี เสียงร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น หางของมันสะบัดไปมาเพื่อหลบหลีกอันตราย
เห็นดังนั้น อู๋เหยียนจึงก้าวเข้าไปใช้กระบี่เล่มหนึ่งแทงลงที่หางงูฟ้าวารีจนมิดด้าม กระบี่ปักแน่นลงดิน งูยักษ์แผดเสียงคำรามอยู่นานก่อนจะค่อยๆ เบาลงพร้อมกับร่างของมันที่ล้มลงไป
พวกอู๋เหยียนอยู่ในอาการทั้งโล่งอกทั้งตกตะลึงในเวลาเดียวกัน สายตาทั้งหกคู่หันมามองหลี่หลิงเฟิ่งด้วยไม่อยากเชื่อสายตา ตัวไร้ค่าอย่างนางรู้วิธีจัดการกับงูฟ้าวารีได้อย่างไร ไหนจะสมุนไพรต้านพิษพวกนั้นอีก หรือนางจะเป็นแพทย์โอสถ ยิ่งคิดยิ่งตะลึงงัน อดที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
ตอนนี้อารมณ์ของพวกเขาหลากหลายเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ได้แต่จ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับคนเบื้อใบ้
“มองข้าทำไม จัดการให้เรียบร้อย แล้วกลับเรือนกันสักที” น้ำเสียงเกียจคร้านดังขึ้นทำลายความเงียบ ดึงสติของทุกคนกลับมา บ้างช่วยกันถลกหนังงู บ้างไปหิ้วปีกมือสังหาร ต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างรู้หน้าที่ยิ่งนัก
ระหว่างที่หลี่หลิงเฟิ่งกำลังเก็บหญ้าหลอมวิญญาณอยู่นั้น หญิงสาวเลิกคิ้วสูง นางสำรวจดูอย่างละเอียดทั่วบริเวณ พลางพึมพำออกมาเสียงเบา “เหมือนข้าจะลืมอะไรไป”
“พวกเจ้าเจอใครนอกจากสองคนนี้อีกหรือไม่” เสียงไม่หนักไม่เบาดังขึ้นมาอีกหน ทั้งหมดมองหน้ากัน ก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“หรือจะหนีไปแล้ว” ช่างเถิด วันนี้ถือว่าเจ้ารอดไปได้ แต่แค้นครั้งนี้ข้าจดจำไว้แล้ว
คนทั้งขบวนเดินออกจากป่าก็กินเวลาไปหลายชั่วยาม สภาพของแต่ละคนสะบักสะบอมจนดูไม่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกว่าพละกำลังภายในร่างถูกสูบออกมาใช้จนหมด ขาสองข้างของนางแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว บวกกับเมื่อเช้านางเผชิญอันตรายมาอย่างหนักหน่วง อวัยวะภายในบอบช้ำถึงขีดสุด ไหนเลยจะสภาพร่างกายที่ยังนับว่าไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิม นางทนได้มาถึงตอนนี้ก็นับว่าเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ทั่วไป
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกสั่นสะท้านทุกครั้งที่ลมพัดโชยเอื่อยกระทบกับผิวกาย เสื้อผ้าตามลำตัวที่เคยเปียกปอน บัดนี้แห้งสนิทปลิวไสวไปตามแรงลม ร่างกายหญิงสาวเริ่มเย็นลง หากแต่ความร้อนระอุบนหน้าอกดั่งโดนไฟสุมทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกเหมือนมีก้อนมาจุกอยู่บนลำคอพุ่งขึ้นมา ไม่นานเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปากของหลี่หลิงเฟิ่งสาดกระจายไปทั่วบริเวณราวกับละอองหิมะสีขาวที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดง หน้าซีดขาวราวกับกระดาษในพริบตา นางเช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก ทว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลทะลักออกมาไม่หยุด
สองขาของหญิงสาวไม่อาจฝืนทรงตัวได้อีกต่อไป สติของนางเริ่มดับวูบลง จู่ๆ หลี่หลิงเฟิ่งก็ล้มพับลงกับพื้น ทำเอาอู๋เหยียนที่คุ้มกันอยู่ด้านข้างตื่นตกใจไม่น้อย
“คุณหนู!”
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน
นางมองเห็นหน้าตนเองสะท้อนออกมาในกระจก ภาพแปลกประหลาดผุดขึ้นในสมองของนางอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นางเห็นมันอย่างชัดเจน
หน้าผากับสายน้ำ ผีเสื้อบินว่อนหยอกล้อบุปผา หยาดน้ำค้างหยดลงกระทบกับหญ้าเขียว กระท่อมไม้หลังเล็กล้อมรอบไปด้วยสวนองุ่น ด้านข้างยังมีบ่อน้ำเล็กๆ ปลานัยหลายสิบตัวแหวกว่ายท้าแสงแดดยามเช้า
บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ริมบ่อน้ำหันหลังให้กับนาง ในมือถือพวงองุ่นอยู่ เส้นผมสีดำขลับปล่อยสยายลงกลางหลัง ลมหนาวยามรุ่งอรุณพัดผ่าน ดอกหลีฮวาบานสะพรั่งโปรยปรายลงมาราวกับหิมะ พาให้บรรยากาศรอบกายเย็นสบาย
“อาจารย์” หญิงสาวชุดสีชมพูหน้าตาละม้ายคล้ายนางอยู่หลายส่วนร้องเรียกอยู่ด้านหลัง ส่งรอยยิ้มกว้างสดใสดั่งดวงตะวัน ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความสุขใจ เดินเข้าไปหาบุรุษตรงหน้าอย่างเบิกบาน
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันมา รอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่บนในหน้า แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ส่องกระทบลงบนใบหน้า ชุดสีขาวภายใต้แสงรุ่งอรุณดูขาวสะอาดดุจทวยเทพผู้ลงมาจุติ งดงามตรึงตราราวกับเป็นภาพแห่งความฝัน หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งพินิจมองใบหน้าไม่ชัดเจนนั้น ทว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากชวนให้ผู้มองรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
สายตาเคลิบเคลิ้มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตรึงอยู่ที่ร่างของชายหนุ่มปริศนาอยู่เป็นนาน เผลอมองด้วยความหลงใหลอย่างลืมตัว
“กลับมาแล้วหรือ” น้ำเสียงอบอุ่นปลุกหลี่หลิงเฟิ่งตื่นขึ้นมา มองดูมือเรียวยาวยกขึ้นลูบหัวหญิงสาวอย่างเอ็นดู ชายเสื้อขาวอ้ากว้างเผยให้เห็นข้อมือแข็งแกร่งอันไร้ที่ติ
หลี่หลิงเฟิ่งตะลึงงันอยู่กับที่เป็นเวลานาน นางจ้องสิ่งที่อยู่บนข้อมือของชายปริศนาเขม็ง แสงสีม่วงสะท้อนประกายสดใสวาววับรับกับผิวขาวของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ลวดลายมังกรที่คุ้นตาส่องสะท้อนสู่สายตาของนางเข้าอย่างจัง
หลี่หลิงเฟิ่งพยายามพุ่งตัวออกไปคว้าบุรุษผู้นั้นไว้ ทว่า นางพลันพบว่าร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ นางได้แต่ยืนมองภาพคนทั้งสองอย่างโง่งม
“อาจารย์ ข้าอยากกินองุ่น” หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบฝ่ามือของบุรุษชุดขาว ทำปากยื่นอย่างน่ารัก ส่งสายตาอ้อนวอนราวลูกสุนัขเฝ้ารออาหารจากเจ้านาย
เสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาตามสายลม “ได้สิ ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าก่อนแล้ว” มือใหญ่ทิ้งข้างลำตัวเช่นเดิม ชูมืออีกข้างที่ถือพวงองุ่นยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านรักข้าที่สุด” เสียงหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดีดังขึ้นขับเน้นให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข มือเรียวสวยยื่นมือไปหยิบพวงองุ่นมาถือไว้ พลางยื่นกลับคืนไป
บุรุษชุดขาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ทว่ามือกลับหยิบองุ่นลูกหนึ่งขึ้นมา บรรจงปอกเปลือก คว้านเมล็ดออกก่อนส่งไปยังริมฝีปากหญิงสาว
หลี่หลิงเฟิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย ความคิดแรกคือรอยยิ้มของเขาทำให้นางหยุดหายใจไปครึ่งจังหวะ ความคิดที่สองเหตุใดหญิงสาวนางนั้นถึงมีหน้าคล้ายคลึงกับนาง และสุดท้ายกำไลที่บุรุษคนนั้นสวมอยู่จะใช่วงเดียวกับที่นางเห็นก่อนตายในชาติก่อนหรือไม่ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการทะลุมิติมาของนาง
จะว่าไปแล้ว บุรุษผู้นั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก...
เปร๊ยะ! เสียงดังกึกก้องขึ้นมาให้หัวนาง หลี่หลิงเฟิ่งตกใจตื่นโดยพลัน ร่างกายนอนแผ่หลาไม่ขยับเขยื้อนสักพักใหญ่ พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเข้ามาในมิติอีกแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบมองเสี่ยวมู่พลันรู้สึกหดหู่ ผ่านมาก็หลายเดือนแล้วควรจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างสิ นางรดน้ำพรวนดินให้สม่ำเสมอนะ เจ้าเฒ่าทารกตนนี้ก็ไม่ยอมโตสักที
หรือเสี่ยวมู่ของนางจะแตกต่างจากพืชอสูรทั่วไป
ขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูเสี่ยวมู่อยู่นั้น สัมผัสอบอุ่นกระแสหนึ่งวนเวียนอยู่บนศีรษะของนาง นางส่งกระแสจิตกลับเข้าร่าง ฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างของนางปวดเมื่อยยิ่งนัก ในหัวมีเสียงวิ้งๆ ดังไม่หยุด สายตาก็พร่าเบลอเช่นกัน หลี่หลิงเฟิ่งกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ภาพภายในห้องถึงได้ชัดเจนขึ้น
นางรู้สึกถึงมือใหญ่กำลังลูบศีรษะนางอย่างทะนุถนอม หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วมุ่น หันหน้าไปมองคนข้างเตียง สายตาก็ปะทะเข้ากับบุรุษชุดขาวที่มือข้างหนึ่งกำลังกุมมือของนางอยู่ อีกข้างลูบศีรษะนาง การกระทำตรงหน้าทำให้หัวใจที่แห้งเหือดมาทั้งชีวิตพลันมีน้ำเย็นสายหนึ่งเข้ามาหล่อเลี้ยง ทั้งอบอุ่นทั้งเย็นสบาย
ความรู้สึกที่หญิงสาวชุดสีชมพูในความฝันของนางได้รับ จะใช่ความรู้สึกเดียวกันกับนางในตอนนี้ไหมนะ
หลี่หลิงเฟิ่งอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง รอยยิ้มเบาบางที่แทบจะไม่เหมือนรอยยิ้มนั่นปรากฏต่อสายตาของหญิงสาว สีหน้าอ่อนล้าราวกับอดนอนติดต่อกันหลายคืน ช่างแตกต่างจากดวงตารัติกาลที่แสดงความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
งานดี!
บุรุษผู้นี้งดงามไร้ที่ติ ราวกับงานศิลปะชั้นยอดชัดๆ ถ้าอยู่ในชาติก่อน เขาคงดังเป็นพลุแตกไปแล้วแน่ๆ สาวเล็กสาวใหญ่ยลโฉมคงหลงละเมอเพ้อพกไปเป็นเดือนๆ อะไรที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ นี่แหละที่สมบูรณ์แบบ คิ้วคมเข้มรับกับนัยน์ตาดำทอประกายล้ำลึก จมูกโด่งได้รูป ผิวขาวกระจ่างใสขับให้ใบหน้าดูเย็นชา ทว่าริมฝีปากโค้งขึ้นนิดๆ นั้นช่างกระชากใจนางยิ่งนัก
เขาไม่ได้ดูอบอุ่น สูงศักดิ์ จับต้องไม่ได้ เหมือนชายในฝันของนาง แต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เหลือร้าย คล้ายเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ทว่าสง่างาม เหนือสิ่งอื่นใด ทำให้นางอยากจะพิชิตมาให้จงได้!
หลี่หลิงเฟิ่งมองคนบนเตียงอย่างอึ้งๆ ร่างกายแข็งค้างราวกับหิน ปากอ้าแล้วหุบแล้วอ้าออกอยู่อย่างนั้นหลายรอบ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ตื่นแล้วหรือ”
