บุรุษปริศนา 2
เช้าตรู่วันถัดมา หลี่หลิงเฟิ่งมาถึงป่าอัศดงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม ตั้งแต่นางค้นพบสมุนไพรล้ำค่าในป่าลึก กิจวัตรประจำวันของพวกนางจึงได้เพิ่มการหาสมุนไพรในป่าแห่งนี้ไปขาย โดยปกติแล้วนางมักจะพาเสี่ยวเซียงมาด้วย เพื่อฝึกให้สาวใช้ได้ปรับตัวและคุ้นชินกับการเอาชีวิตรอดต่ออันตรายเล็กๆ น้อยๆ
แรกเริ่มเสี่ยวเซียงก็หวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้เจ้านายเข้ามาตามลำพัง อย่างไรก็ตามความเป็นความตายของนางก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของหลี่หลิงเฟิ่ง จึงได้ทำใจกล้าไปกับหลี่หลิงเฟิ่งทุกครั้ง นานวันเข้าจากคนที่รู้สึกหวาดกลัวกลับกลายเป็นรอคอยที่จะผจญภัยกับบทเรียนใหม่ๆ ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของสาวใช้ตัวน้อยนางนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งพึงพอใจอย่างมาก
เพราะมีเวลาจำกัด ไหนจะเรื่องที่ต้องแอบหลบสายตาสอดส่องจากอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญพวกนั้น วันเวลาที่นางสามารถกอบโกยสมุนไพรก็น้อยลงไปทุกที
วันนี้จึงแตกต่างออกไปเล็กน้อย นางละทิ้งการฝึกฝนเสี่ยวเซียง เลือกพาเสี่ยวเฉินติดตามมาแทน นอกจากจะทำให้นางกังวลเรื่องความปลอดภัยน้อยลง ก็ยังสามารถหาสมุนไพรได้มากกว่าทุกวัน ความรู้ตลอดหลายเดือนที่นางพร่ำสอนก็ไม่ได้เสียเปล่าแต่อย่างใด
ตั้งแต่นางตัดสินใจพาทั้งสองเข้ามาในป่าอัศดงอีกครั้ง เรื่องที่นางฝึกพลังยุทธ์จึงไม่จำเป็นต้องปิดความลับอีกต่อไป อีกอย่างนางก็ไม่คิดที่จะปิดบังสองคนนี้อยู่แล้ว
“พวกเราเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปรอบๆ พลันถอนหายใจ ละแวกนี้พวกนางเข้ามาเก็บหมดแล้ว จะเหลือก็แต่สมุนไพรที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่มีค่าอะไรมากมาย
เส้นทางในช่วงแรกๆ ยังมีเส้นทางให้เดินสายเล็กๆ ที่พวกนางเคยทำไว้ แต่หลังจากนี้นางเจอแต่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า บางครั้งก็มีพุ่มหญ้ารุงรังมีหนามแหลมพันแข้งพันขา ได้แต่อาศัยมีดสั้นช่วยกันถางออก
สิ่งเดียวที่ทำให้นางหงุดหงิดก็คือ ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยังไม่มีสมุนไพรล้ำค่าสักต้นโผล่มา อย่างนี้ไม่เท่ากับเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ
“พักที่นี่ก่อนครึ่งเค่อก็แล้วกัน” หลี่หลิงเฟิ่งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากออกคำสั่งนางก็ไม่สนใจอีกต่อไป เมื่อมีเสี่ยวเฉินอยู่ด้วยนางก็คลายความระแวดระวังไปมาก ด้วยความที่นางตื่นเช้าเกินไปจึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอนกายลงพิงต้นไม้ใหญ่และปิดตาลงเพื่อพักผ่อน
“เสี่ยวเซียงกลัวว่าคุณหนูจะหิวระหว่างทาง จึงได้เตรียมหมั่นโถวมาให้ คุณหนูกินรองท้องไปก่อนนะขอรับ” เสี่ยวเฉินเห็นว่าหลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะเดินต่อ จึงนั่งลงข้างๆ หยิบหมั่นโถวที่อยู่ในตะกร้าลูกหนึ่งส่งไปให้หลี่หลิงเฟิ่ง อีกลูกส่งเข้าปากตัวเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวหรืออะไรกัน เขารู้สึกว่าอาหารที่เสี่ยวเซียงทำวันนี้ดูเหมือนจะอร่อยเป็นพิเศษ
“เจ้ากินเถอะ ข้ายังไม่หิว ข้าจะพักสายตาสักครู่หนึ่ง” หลี่หลิงเฟิ่งพูดขณะที่ยังหลับตาอยู่ แม้ว่านางจะบอกให้เขากิน แต่เสี่ยวเฉินก็เลือกที่จะเก็บหมั่นโถวไว้ตามเดิม สายตามองไปรอบด้านคอยสอดส่องระวังภัย
แม้ว่าภายนอกหลี่หลิงเฟิ่งจะเหมือนคนที่พักผ่อนจริงๆ ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบด้านก็ไม่อาจเล็ดลอดจากการรับรู้ของนางไปได้ ที่นางกล้าเข้าป่าแห่งนี้บ่อยครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพลังจิตของนางที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ นางได้ ถึงแม้ว่าจะน้อยนิด แต่หากมีอันตรายใกล้เข้ามา ก็เพียงพอให้พวกนางหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย
มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางคิดไม่ผิดจริงๆ ที่วันนั้นตัดสินใจรับเสี่ยวเฉินมา คนผู้นี้มีความกตัญญูรู้คุณ เมื่อคิดว่านางเป็นผู้มีพระคุณ เขาก็จะตอบแทนด้วยความจงรักภักดี เมื่อวางใจลงได้แล้ว นางก็ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดทั้งมวลเข้าสู่การสำรวจพื้นที่ห่างไกลออกไป
ในตอนที่นางกำลังหว่านพลังจิตออกไปรอบๆ นั้น จู่ๆ นางก็สัมผัสถึงความเย็นสบายและความหอมละมุนสายหนึ่งลอยเข้าไป กลิ่นหอมจางๆ ไม่ไกลจากที่นางพักอยู่เท่าไหร่
หลี่หลิงเฟิ่งถ่ายทอดพลังจิตออกไปมากกว่าเดิม สุดท้ายก็ส่ายหัว นางยิ้มอย่างละเหี่ยใจ ไกลเกินไป ด้วยพลังของข้าตอนนี้ยังไม่เพียงพอ คงต้องไปดูเองแล้วล่ะ!
หลี่หลิงเฟิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ มือล้วงหยิบสมุนไพรสองต้นออกมา ต้นหนึ่งยื่นให้เสี่ยวเฉิน อีกต้นส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนลงท้อง
“กินมันซะ เราจะเดินไปข้างหน้าอีกหน่อย ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ไกลจากตรงนี้ อาจจะเป็นสมุนไพรหายากก็ได้ แต่ข้ายังไม่เคยเดินเข้าไปลึกขนาดนี้มาก่อน หญ้าต้นนี้จะช่วยต้านพิษให้เจ้าได้ระดับหนึ่ง”
“ขอรับ” แม้ภายในใจจะยังรู้สึกกลัวเส้นทางต่อจากนี้ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าคุณหนูจะเอาตัวรอดไปได้ คุณหนูไม่เคยทำในสิ่งที่เกินตัว คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อนเสมอ
“ไปกันเถอะ”
ตูม!
ทันทีที่นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลันมีเสียงกึกก้องสนั่นฟ้ามาแต่ไกล พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งมองไปยังลำแสงที่พุ่งวาบอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลจากจุดที่พวกนางยืนอยู่
“ยอดฝีมือ ผู้ฝึกยุทธ์ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพ!” เสี่ยวเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ขาทั้งสองข้างสั่นด้วยความหวาดกลัว
นี่...ยอดฝีมือระดับนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พวกเขาช่างโชคร้ายเกินไปแล้ว เสี่ยวเฉินอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
“นี่...คุณหนูหนีเร็ว!” ด้วยกลัวว่าหากถูกพบเข้าจะโดนลูกหลงไปด้วย เสี่ยวเฉินร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกพลางดึงแขนเสื้อของหลี่หลิงเฟิ่งให้ถอยออกมา
หากแต่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิด สายตาของนางยังคงเพ่งมองไปยังการต่อสู้อันดุเดือดเบื้องหน้า ภาพที่นางเห็นเป็นเพียงแสงดาวตกที่กระทบกันเหนือน้ำ แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร น้ำในสระสาดกระจายไปทั่ว อันที่จริงพวกนางไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก แต่ด้วยพลังที่ทรงอานุภาพเกินไปทำให้พวกนางเห็นมันจากที่ไกลๆ อย่างชัดเจน
หลี่หลิงเฟิ่งลอบอุทานในใจ เร็วเกินไป นางมองไม่ทันเลยสักนิด
คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ได้ยินมาว่าเวลาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพเวลาต่อสู้กันพื้นดินจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คุณหนูอย่าสนใจเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ยิ่งเป็นอันตรายนะขอรับ” น้ำเสียงเสี่ยวเฉินยิ่งพูดยิ่งร้อนรน ร่างกายกระสับกระส่ายไปมาไม่หยุด
“ใครบอกว่าพวกเราต้องสู้กันเล่า พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาเก็บสมุนไพร ไม่ได้รนหาที่ตายสักหน่อย” หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังเดินไปแอบข้างหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ต้นหนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังการต่อสู้ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ นางไม่ได้โง่สักหน่อย สู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปแส่หาเรื่องอยู่แล้ว
“ตั้งแต่เกิดมา ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพิภพปะทะกันเลยนะ เสี่ยวเฉินตั้งใจดูให้ดี ไม่แน่วันหน้าอาจเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าเองก็ได้” สายตาเจ้าเล่ห์ของนางกลิ้งกลอกไปมาอย่างซุกซน ในขณะที่บ่าวรับใช้ที่แอบอยู่ด้านข้างได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
“ขอรับคุณหนู” แต่กระนั้นก็ยังเชื่อฟังหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไร้ข้อแม้ สายตาจับจ้องเหตุการณ์ข้างหน้าไม่กะพริบ
“เจ้าว่าฝ่ายไหนจะชนะ” ตอนนี้นางพอแยกออกได้บ้างแล้ว มียอดฝีมือสามคนกำลังปะทะกันอยู่ จากที่นางเพ่งมองเหมือนว่าจะสองรุมหนึ่ง แล้วดูท่าการต่อสู้ครั้งนี้คงจะจบลงเร็วๆ นี้แล้ว
“เดรัจฉาน ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก” น้ำเสียงอันทรงพลังดังขึ้น เท้าเหยียบลงบนอกของบุรุษชุดดำขลิบทองที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้างสระน้ำ
“จะฆ่าก็ฆ่า พูดมากอยู่ได้” บุรุษที่นอนอาการร่อแร่พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองดูชายปริศนาอย่างสนใจ เอ้อ เพราะปากอย่างนี้ มิน่าจึงถูกศัตรูไล่ล่าสังหาร
“หึ จะตายแล้วยังปากดี เอาอย่างนี้ดีมั้ย ถ้าเจ้าขอร้อง ข้าจะให้เจ้าตายโดยไม่ต้องทรมาน” ชายที่ชุดดำที่ยืนอยู่ด้านข้างแสยะยิ้มมุมปาก ก้มตัวลงไปบีบคางอีกฝ่ายแน่น ก่อนจะสลัดมือออกอย่างรุนแรง จนทำให้ใบหน้าที่บอบช้ำของบุรุษผู้นั้นหันมาทางพวกนาง สายตาสองคู่เผลอสบประสานกัน
หลี่หลิงเฟิ่งพลันตื่นตกใจ สันหลังเย็นวาบ นี่นางถูกพบเข้าแล้วหรือ ไม่น่าจะใช่ ด้วยระยะที่ไกลกันพอสมควร ไม่มีทางที่ชายผู้นั้นจะเห็นนาง
“ก่อนตาย ข้าเพียงอยากรู้ ใครส่งพวกเจ้ามา” ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง หันหน้ากลับไปมองศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาสาดประกายสังหารแวบหนึ่งออกมา ก่อนจะกลบมันลงด้วยความไร้อารมณ์เช่นเดิม
“อยากรู้หรือ ไปถามเอาจากยมโลกก็แล้วกัน” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายชุดดำที่เท้ากดหน้าอกอยู่ดังขึ้นอีกครั้ง โซ่ตรวนเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือพันรอบคอของเหยื่อ
“เอาเถอะ ถึงพวกเจ้าไม่บอก ข้าก็พอจะรู้ว่าใคร” อยู่ๆ มุมปากของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังจะตายผู้นั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชุดดำทั้งสองที่เมื่อครู่ยังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจพลันหน้าเปลี่ยนสี
“แต่ว่า...พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าฆ่าข้าแล้ว พวกเจ้าจะรอดไปได้” ตาทั้งสองข้างหลับพริ้มเตรียมรับชะตากรรม ช่างแตกต่างจากปากที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ยิ่งนัก
มุมปากของหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก ใจสังหรณ์ถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ มือหนึ่งฉุดกระชากข้อมือเสี่ยวเฉิน หันหลังค่อยๆ ย่องออกไปจากตรงนี้
“เฮอะ เจ้าจะรู้หรือไม่แล้วอย่างไร ไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว เจ้ายังจะมาเล่นลิ้นอะไรอีก คิดว่าพูดอย่างนี้แล้วพวกข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้งั้นรึ” ชายเจ้าของเสียงอันทรงพลังน่าสยดสยองนั่นดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด โซ่ในมือที่รัดคนบนพื้นอยู่ยิ่งรัดแน่นขึ้น เห็นได้ชัดว่าหมดความอดทนที่จะเสวนาต่อไปแล้ว
แต่ชายที่นอนอยู่เบื้องหน้าหาได้สะทกสะท้านไม่ ซ้ำยังเอ่ยต่อ “พวกเจ้าโง่หรือเป็นยอดฝีมือจอมปลอมกันแน่ ถึงไม่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในนี้อีก” กล่าวจบชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเย้ยหยัน มองขึ้นไปตรงหน้าอย่างดูแคลน
เวรเอ๊ย ไอ้คนน่าตายผู้นี้ จะตายอยู่แล้วยังจะลากพวกนางลงนรกไปด้วยอีก อยากตายก็ไปตายคนเดียวสิ บัดซบ!
“เสี่ยวเฉิน วิ่ง!”
