ตัวไร้ค่าผู้มากพรสวรรค์ 4
ด้วยความเมื่อยล้าจากการอยู่ในป่ามาหลายวันทำให้นางนอนหลับเป็นตายไปหนึ่งวันเต็ม เนื่องจากอาการแสบท้องเพราะอดอาหารปลุกให้นางตื่นขึ้นมา เวลาที่หลี่หลิงเฟิ่งลุกนั่งจากเตียงก็เหลือบเห็นพวกเสี่ยวเซียงทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างประตู หญิงสาวจึงเอ่ยเรียกอย่างเนิบๆ
“เสี่ยวเซียง เสี่ยวเฉิน” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้านาย ร่ายกายทั้งสองก็สะดุ้งทันที
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องอย่างหวาดๆ
“พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ข้าได้ดุด่าพวกเจ้าซักคำหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งคร้านจะสนใจกับนิสัยพวกนาง
“คุณหนูเจ้าขา บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดว่าจะท่านออกจากป่าอัศดงมาครบสามสิบสอง ที่นั่นอันตรายมากนะเจ้าคะ มีสัตว์อสูรดุร้ายเต็มไปหมด” เสี่ยวเซียงคุกเข่าคลานเข้ามาจับขาหลี่หลิงเฟิ่งแน่น ก้มหน้าหงอยๆ ยอมรับความผิด
“เจ้าคิดว่าข้าจะออกมาไม่ได้ซะมากกว่า ข้าก็เดินออกมาน่ะสิ” หลี่หลิงเฟิงประหลักปะเหลือกใส่เสี่ยวเซียง
มุมปากเสี่ยวเฉินกระตุกครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงยืนเงียบไม่กล้าขยับ
“เจ้าจะถามอะไรนักหนา ข้าหิวแล้ว มีอะไรให้กินหรือไม่” มือขวานางเลื่อนลงไปลูบท้องที่ร้องประท้วงหาอาหารอยู่ตอนนี้
“รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าจะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หัวใจดวงน้อยของหญิงรับใช้นามเสี่ยวเซียงพองโตขึ้น คุณหนูไม่โกรธนางแล้ว ดียิ่ง ใบหน้าสะอาดสะอ้านที่หม่นหมองพลันแย้มรอยยิ้มกว้าง ลุกออกไปอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเฉิน เจ้าเอาสมุนไพรพวกนี้ไปขายที่โรงหมอในหมู่บ้าน ข้าไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ เจ้าลองไปถามผู้ดูแลฉินดู” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมาจากมิติส่งให้เสี่ยวเฉิน
ช่วงที่อยู่ใต้หุบเหวนางพบสมุนไพรหลากหลายชนิด ถึงแม้จะยังไม่รู้สรรพคุณต่างๆ ของมัน แต่ด้วยพรสวรรค์ในการรับรู้ธรรมชาติและสรรพสัตว์ของนางนั้น ความรู้สึกนี้บอกกับนางว่าเป็นของดี
“ขอรับ”
“อ้อ เจ้าเคยทำงานในร้านยามาก่อนน่าจะพอรู้ราคามาบ้าง อย่าให้โรงหมอกดราคาเอาได้เล่า” สมุนไพรเหล่านี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรหายาก แต่ก็เป็นสมุนไพรที่ไม่ได้พบเห็นได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดานแห่งนี้ สิ่งพวกนี้ถือเป็นสิ่งขาดแคลน
“คุณหนูวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง” เสี่ยวเฉินเป็นคนที่หนักแน่นคนหนึ่ง เวลารับปากสิ่งใดย่อมเป็นไปตามนั้น นางจึงไว้วางใจให้เด็กหนุ่มไปจัดการเรื่องราวต่างๆ แทนอยู่เสมอ
ระยะเวลาสามปีมานี้ ตระกูลหลี่ไม่เคยส่งเงินมาให้พวกนางเลยสักอีแปะเดียว ช่วงแรกๆ พวกนางอาศัยเงินห้าร้อยตำลึงที่พี่ชายใหญ่นำมาให้รวมกับทรัพย์สินเดิมของท่านแม่ที่จิ่นอวี้แอบเอามาให้ก่อนออกจากจวน ต่อมาเพราะการซื้อตัวเสี่ยวเฉิน เงินในกระเป๋าของนางเลยแทบไม่เหลือ
หลังบ้านของนางอยู่ใกล้ป่าอัศดง ในระแวกนั้นจึงมีสมุนไพรมากมายให้พอเก็บเอาไปขายได้ และเพราะมีเสี่ยวเฉินที่เคยรับจ้างที่โรงหมอมาก่อน จึงนำสมุนไพรเหล่านั้นไปขาย ทำให้ช่วงสองปีมานี้พวกนางไม่ได้อยู่อย่างย่ำแย่แต่อย่างใด
หลังจากเสี่ยวเฉินจากไปไม่นาน เสี่ยวเซียงก็ยกสำรับอาการเข้ามา หลี่หลิงเฟิ่งรีบปืนลงมาจากเตียงตรงไปนั่งที่โต๊ะ หยิบจับอาหารเข้าปาก ไม่ห่วงภาพพจน์ใดๆ ทั้งสิ้น
“เออนี่ เสี่ยวเซียง เหตุใจพวกเจ้าถึงคิดว่าข้าตายแล้วล่ะ ข้าหายไปนานขนาดนั้นเลยรึ” พอเริ่มอิ่ม นางก็หันไปถามเสี่ยวเซียงอย่างสงสัย ข้าหายไปไม่กี่วันเองนะ ราวๆ หนึ่งเดือนได้
“คุณหนูเจ้าขา แค่คุณหนูเข้าไปเจ็ดวัน ก็เท่ากับเจ็ดปีแล้วเจ้าค่ะ พวกข้าคิดว่า...คิดว่าคุณหนูโดนสัตว์อสูรจับกินไปแล้วเจ้าค่ะ” พอเห็นเจ้านายอิ่มแล้ว นางก็เริ่มเก็บสำรับบนโต๊ะ ในขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งเองก็ดื่มน้ำและกลั้วปาก
พรูดด
น้ำที่อยู่ในปากหลี่หลิงพลันพ่นออกมาโดนหน้าจิ้มลิ้มของสาวใช้เสี่ยวเซียงเต็มๆ เสี่ยวเซียงน้อยผู้น่าสงสาร ทำได้เพียงยกผ้าเช็ดหน้าใต้เขียนเสื้อขึ้นมาเช็ด
“ข้าขอโทษๆ ข้าเพียงแค่ตกใจไปหน่อย แค่กๆ” หญิงสาวไอจนตัวโยน เส้นประสาทบนใบหน้าของนางกระตุกเล็กน้อย ใครเลยจะคาดคิด ขนาดสาวใช้ตัวเองยังดูถูกความสามารถของนางขนาดนั้น หลี่หลิงเฟิ่งอยากจะร้องไห้
หลังจากปรับอารมณ์ได้ หลี่หลิงเฟิ่งก็ถามต่อทันที “แล้วเจ้าพอรู้บ้างหรือไม่ ที่นี่เขาฝึกพลังยุทธ์กันยังไง”
“คุณหนู ท่านไม่สบายตรงไหรรึเปล่าเจ้าคะ ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้” สายตาไร้เดียงสาราวกับกระต่ายน้อยส่งมาหาอย่างสงสัยใครรู้
หลี่หลิงเฟิ่งส่งสายตาค้อนประหลักปะเหลือกมองกลับไป “ข้าอยากรู้ไม่ได้รึ”
สาวน้อยยืนงุงงงอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยฝึกพลังยุทธ์ แต่คุณหนูเจ้าคะ ปกติท่านศึกษาอยู่เป็นประจำ ไฉนถึงลืมไปได้ล่ะเจ้าคะ”
นางลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าของร่างเดิมเคยลองฝึกพลังยุทธ์มาก่อน สะเพร่าเกินไปแล้ว
“บอกเจ้าตามตรง วันนั้นหลังจากที่ข้าได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก ข้าก็ลืมสิ้นทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อข้าเอง ยังต้องถามเจ้า” เหตุผลนี้คงจะพอถูไถกับคนซื่อๆ อย่างสาวน้อยตรงหน้านี้ได้
“คุณหนู...” เสี่ยวเซียงมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างสงสารจับใจ คุณหนูของนางคงตกใจและเสียใจมากจากเหตุการณ์วันนั้น เลยทำให้นางลืมเรื่องราวแย่ๆ ไปสินะ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คุณหนูจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น
“เจ้าไม่ต้องเสียใจไป คุณหนูของเจ้าก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างอ่อนใจ เห้อ ช่างหลอกง่ายเสียจริง
“เจ้าค่ะ”
“อืม ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อน” ว่าแล้วนางก็โบกมือไล่เสี่ยวเซียงให้ออกไป นางควรจะศึกษาคัมภีร์โอสถสวรรค์สักหน่อย เผื่อสมุนไพรที่นางเก็บมาเหล่านั้นจะใช้ประโยชน์ได้
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร เสียงเสี่ยวเซียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง” คุณหนูเจ้าคะ ข้าคิดออกแล้วเจ้าค่ะ สัมภาระที่พวกเรานำติดตัวมาด้วยมีพวกตำราฝึกพลังยุทธ์ด้วยเจ้าค่ะ”
“รีบไปนำมาให้ข้า” เสียงตื่นเต้นของเสี่ยวเซียงพลอยทำนางตื่นเต้นตามไปด้วย ต้องยอมรับว่าสาวใช้ของนางคนนี้มีพลังบวกมากมายมหาศาล จนบางทีนางยังแทบไม่อยากเชื่อว่าในโลกที่โหดร้ายนี้จะมีคนใสซื่อไร้เดียงสาหลงเหลืออยู่อีก เห็นทีนางคงต้องขัดเกลาอีกเยอะ
“นี่เจ้าค่ะ เมื่อก่อนคุณหนูหวงมันมาก ต่อให้โดนทุบตี คุณหนูก็ไม่ยอมให้ใครแตะมันเป็นอันขาด ข้าเห็นว่ามันเป็นของรักของท่าน ข้าจึงหยิบติดมือมาด้วย” เสี่ยวเซียงก็กลับมาพร้อมตำราเก่าคร่ำครึเล่มหนึ่ง ด้านในอธิบายวิธีฝึกพลังยุทธ์และสิ่งจำเป็นในการฝึกต่างๆ ร่องรอยขีดเขียนมีอยู่เต็มทุกหน้า และยังมีการเขียนขยายความให้เข้าใจง่ายในบางจุดอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร่างเดิมพยายามมากแค่ไหน
ไม่มีใครหรอก อยากจะเป็นตัวไร้ค่า ตัวตลกในสายตาคนอื่น
นางคงต้องศึกษามันอย่างจริงจังแล้ว ไม่ใช่เพื่อใครอื่น แต่เพื่อตัวนางเอง ถ้าอยากจะอยู่รอดในแผ่นดินนี้ มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้น คือนางต้องแข็งแกร่งกว่าศัตรู
“เสี่ยวเซียงมานี่ เจ้ามาฟังพร้อมกับข้า นับจากนี้ไปพวกเราจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้จงได้” หลี่หลิงเฟิ่งดึงเสี่ยวเซียงมานั่งบนเตียงด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มอ่าน
“การฝึกพลังยุทธ์นั้น มีอยู่สามวิธี วิธีที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์จะรับพลังได้มากที่สุดคือจำเป็นต้องมีไขแร่ถึงจะสามารถฝึกได้ ซึ่งไขแร่ได้มาจากการนำหินแร่แช่ในน้ำแร่ ยิ่งไขแร่มีความใสแวววาวมากเท่าไหร่ พลังที่ผู้ฝึกยุทธ์จะซึมซับได้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น โดยหินแร่มีทั้งหมดห้าสี อันได้แก่ สีเทา สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง โดยหินสีเทามีพลังต่ำที่สุด หรือผู้ฝึกยุทธ์ใช้ยาลูกกลอนประสานกายแทนไขแร่ก็สามารถดูดซับพลังได้เร็วขึ้นเช่นกัน และสุดท้ายผู้ฝึกพลังยุทธ์สามารถฝึกฝนด้วยตนเองก็อาจสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ให้กับผู้ฝึกได้”
“อืม เท่าที่ข้าจับใจความได้ คือต้องใช้ไขแร่ถึงจะดูดซับพลังดีที่สุด แต่น้ำแร่คงต้องบริสุทธ์อย่างมากถึงจะมีผลลัพท์ที่ดี หรือไม่ก็ใช้ลูกกลอนประสานกายเป็นตัวช่วย”
“หมายความว่าเราทุกคนฝึกพลังยุทธ์ได้หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเซียงไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่อยากให้คุณหนูของนางเสียใจ จึงถามออกไปประโยคหนึ่ง
หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก “ถูกต้อง แต่ที่พวกเจ้าไม่ได้ฝึกยุทธ์ นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่รู้วิธีฝึก อีกอย่างการมุ่งมั่นฝืนฝึกด้วยตนเองนั้นคงจะแข็งแกร่งยากยิ่ง ไม่แน่ว่าตลอดชีวิตของพวกเจ้าอาจไม่พ้นขั้นกำเนิดใหม่เลยด้วยซ้ำ”
“จำเอาไว้นะเสี่ยวเซียง บนโลกนี้ไม่มีใครที่เป็นเศษสวะมาตั้งแต่เกิด ทุกคนเกิดมาก็มีผ้าขาวห่อตัวด้วยกันทั้งนั้น ดีหน่อยตรงที่บางคนมีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น”
“ต่อให้เจ้าไม่มี แต่ถ้าเจ้าอดทนฝึกมากกว่าคนพวกนั้นหลายเท่า คำว่าพรสวรรค์ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย”
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องนางอย่างไม่วางตา แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากสาวน้อยด้านข้าง ก็ให้หงุดหงิดใจ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี่ยวเซียงมองนางตาไม่กระพริบ
“เจ้ามองข้าทำไม ที่ข้าบอกไปเจ้าจำได้หรือไม่” หางคิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสงสัย
“เปล่าเจ้าค่ะ เอ่อ...จำได้เจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ชินตา ดูเหมือนคุณหนูจะเปลี่ยนไป” เสียงไม่มั่นใจเปล่งออกมาจากปากสาวใช้ตัวน้อย
ได้ยินดังนั้น หลี่หลิงเฟิ่งจึงเอนกายนอนตะแคงบนเตียง เท้าคางมองนางอย่างเกียจคร้าน “อ้อ ข้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
“ท่านดู ดูงดงามขึ้นเจ้าค่ะ” หลังพูดจบใบหน้าพลันเห่อร้อน เสี่ยวเซียงก้มหน้างุดซ่อนความเขินอายไว้ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอีกเลย
“เสี่ยวเซียงเอ๋ย ข้าก็งดงามของข้าอยู่ทุกวัน ไหนเลยจะงามแค่วันนี้” เสียงหัวเราะทรงเสน่ห์ของหญิงดังขึ้นเบาๆ
เสี่ยวเซียงปราศจากคำพูดใดๆ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องอย่างใจลอย พึมพำกับตัวเองอย่างฉงน
“หรือเมื่อก่อนข้าไม่เคยสังเกตความงามของคุณหนูมาก่อนจริงๆ”
