บทที่ 1 : สายฝนกับคนในความทรงจำ
หนึ่งเดือนก่อน
“พี่พีร์คะ... วันนี้ฟ้าครึ้มอีกแล้วค่ะ อีกเดี๋ยวฝนคงจะตก”
เสียงเล็กว่าพลันใบหน้ากลมแป้นของเด็กหญิงวัยหกขวบก็บูดบึ้งลง เด็กชายวัยสิบหกที่ยืนอยู่ข้างๆกันจับมือเล็กไว้ก่อนจะออกแรงจูงเด็กน้อยให้กลับเข้าบ้าน พลางเอ่ย
“น้องตะวันไม่ชอบฝนนี่คะ งั้นเราเข้าบ้านกันเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“พี่พีร์...”
“คะ?”
“หม่าม๊าบอกว่าที่ฝนตกเป็นเพราะนางฟ้ากำลังร้องไห้...” เสียงใสแจ๋วเริ่มมีแววสะอื้น ดวงตากลมโตมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน “ตอนนี้หม่าม๊าของตะวันเป็นนางฟ้าบนสวรรค์แล้ว ถ้าฝนตก... แปลว่าหม่าม๊ากำลังร้องไห้อยู่ใช่มั้ยคะ”
“...”
“ตะวันไม่อยากให้หม่าม๊าร้องไห้...”
พูดจบน้ำตาหยดเล็กๆก็หลั่งรินไม่ขาดสาย ‘พี่พีร์’ ของเด็กน้อยมองภาพนั้นอย่างอ่อนใจ ก่อนเจ้าจะย่อตัวนั่งให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กขี้แย มือผอมบางเก้งก้างอย่างเด็กวัยรุ่นยกขึ้นเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเล็ก พร้อมกับระบายยิ้มที่สดใสที่สุด...
“แต่เบื้องหลังของเมฆครึ้มพวกนั้นคือดวงตะวันที่สดใส... เมื่อใดที่แสงตะวันเจิดจ้า เมฆฝนเหล่านั้นก็จะหายไป”
“...”
“รอยยิ้มของดวงตะวัน...จะทำให้นางฟ้าหยุดร้องไห้ เชื่อพี่นะ”
.
.
.
“จริงหรือคะพี่พีร์?”
เสียงพึมพำแผ่วเบาจากร่างระหง ดังแข่งกับเสียงฝนที่เทกระหน่ำทิ้งท้ายฤดูฝน ปลายตะวันยืนมองดูสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ฝนพวกนั้นนำพาความทรงจำในวัยเด็กที่เธอมีร่วมกับใครบางคนมาด้วย
หญิงสาวระบายยิ้มเศร้าก่อนจะละสายตาจากหน้าต่างบานใส หลายปีแล้วที่เธอไม่ได้พบหน้าพี่ชายข้างบ้านที่เธอแอบรักมาตั้งแต่เด็กเพราะพชรไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางที่ต่างประเทศ แต่อันที่จริงเขาก็เรียนเฉพาะทางจบตั้งแต่สามปีก่อน สาเหตุที่ไม่ยอมกลับประเทศไทยนั่นก็คงเพราะ...
ตะวัน พี่ฝากพี่พีร์ด้วยนะ อย่าให้ฟ้าเข้าใกล้พี่พีร์เด็ดขาด
หญิงสาวมองข้อความในมือถือที่ถูกส่งมาเมื่อวานโดยคนที่เธอรักเหมือนพี่ชายแท้ๆ ‘กัญจน์ วัชรธีรากุล’ เขาคือน้องชายคนเดียวของพชร และเป็นคนที่ลงมือขยี้ทำลายหัวใจพี่ชายของตัวเองกับมือ ส่วนหญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงในข้อความนั้นคือ ‘เพียงฟ้า’ ภรรยาสาวสวยของกัญจน์ เธอเป็นอดีตคนรักของพชรที่คบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปด้วยดีจนใครต่อใครต่างพากันเชื่อว่าสะใภ้คนโตของบ้านวัชรธีรากุลต้องเป็นเพียงฟ้าเป็นแน่ แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดเพราะหลังจากที่พชรไปเรียนต่อเฉพาะทางได้เพียงแค่ปีเดียว ก็เกิดการวิวาห์สายฟ้าแลบระหว่างกัญจน์และเพียงฟ้า ส่วนสาเหตุก็เป็นเพราะเจ้าสาวดันมาท้องก่อนแต่ง ท่ามกลางความมึนงงของคนที่รู้ข่าว งานแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพราะตระกูลของกัญจน์ถือเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในสังคม และทางฝั่งเจ้าสาวเองก็เป็นถึงผู้ประกาศข่าวชั้นแนวหน้าของประเทศ
ปลายตะวันยังจำวันนั้นได้ดี...
ในงานแต่งงานของกัญจน์ พชรที่เพิ่งรู้ข่าวเดินทางมาร่วมงานด้วยสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณ ใบหน้าที่เรียบนิ่งแดงก่ำเพราะดื่มสุรามาอย่างหนัก เขาเอาแต่ถามน้องชายกับอดีตคนรักว่าทำไมถึงทำกับเขาแบบนี้ หากแต่ไม่มีใครตอบคำถามของเขา พชรเดินออกจากงานด้วยอาการเหมือนคนใจสลาย แผ่นหลังที่ดูอ้างว้างว่างเปล่าของเขาทำให้เธอที่คอยมองดูตลอดอยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลม แต่สุดท้ายก็ก้าวขาไม่ออก เธอไม่รู้จะปลอบเขาด้วยคำพูดอะไร ไม่มีคำใดจะช่วยเยียวยาคนที่สูญเสียหัวใจไปแล้วได้...
และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายที่เธอเห็นเขา พี่พีร์ของเธอไม่กลับมาที่ประเทศไทยอีกเลย จนวันนี้เวลาล่วงผ่านไปกว่าห้าปีแล้ว เป็นห้าปีที่เธอไม่รู้ข่าวคราวใดๆของเขา
ปลายตะวันมองดูข้อความที่กัญจน์ส่งมาให้อีกครั้ง ทั้งเมื่อวานและวันนี้เธอพยายามจะหาสาเหตุที่เขาส่งข้อความนี้มาให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เข้าใจ ครั้นเธอจะส่งข้อความถามกลับไปหรือกระทั่งโทรกลับไปหา ก็พบว่าไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ ไปถามหาที่บ้านโน้นคนที่บ้านก็บอกว่ากัญจน์ไปต่างประเทศ ไม่มีกำหนดการจะกลับ ส่วนสาเหตุที่ไปนั้นก็ไม่มีใครรู้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
“ตะวัน ลงมาหาพ่อข้างล่างหน่อยสิลูก”
เสียงเรียกของผู้เป็นพ่อที่ดังแข่งกับเสียงฝนทำให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ ปลายตะวันวางมือถือไว้ที่โต๊ะก่อนจะลงไปหาพ่อบังเกิดเกล้าที่นั่งดูโทรทัศน์ไปจิบกาแฟไปอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้มีธุระที่ไหนไหม”
“ไม่มีค่ะพ่อ” เธอตอบขณะนั่งลงบนโซฟาข้างๆบิดา ก่อนที่มือเล็กจะโอบรอบตัวชายวัยเกือบเกษียณอย่างออดอ้อน
“แน่ะ เดี๋ยวกาแฟหกหมด” อาทิตย์เอ็ดไม่จริงจังนัก เขายกมือลูบหัวลูกสาวคนเดียวอย่างเอ็นดู
“แล้วคุณพ่อมีอะไรให้ลูกสาวสุดสวยคนนี้รับใช้คะ”
“ดูพูดเข้า” คนเป็นพ่อว่า “ถ้าวันนี้ว่างก็ไปเยี่ยมป้าบุษเป็นเพื่อนพ่อหน่อย จนเขาจะออกจากโรงพยาบาลแล้วพ่อยังไม่ได้เยี่ยมเลย”
ป้าบุษที่พ่อของเธอพูดถึง คือคุณหญิงบุษบา มารดาของพชรกับกัญจน์ หญิงชราวัยหกสิบกว่าล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว แพทย์เพิ่งทำการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจให้และตอนนี้กำลังอยู่ในระยะพักฟื้น
ครอบครัวของเธอกับครอบครัวของบุษบาสนิทกันเพราะบ้านอยู่ติดกัน แต่ถึงแม้บ้านจะอยู่ติดกัน แต่ฐานะของทั้งสองบ้านไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย บิดาของเธอเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทว่าฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร ที่มีบ้านอยู่ใจกลางกรุงเช่นนี้ได้ก็อาศัยว่าบรรพบุรุษมาตั้งรกรากที่นี่ตั้งแต่สมัยที่ที่ดินยังไม่แพง แตกต่างกับครอบครัวของบุษบาที่นอกจากจะเป็นผู้ดีเก่าแล้วยังมีธุรกิจส่วนตัวด้านสังหาริมทรัพย์ที่สร้างกำไรมหาศาล แต่ทว่าผู้ที่ควบคุมดูแลกิจการทุกอย่างของวัชรธีรากุลกลับมีเพียงบุษบาเท่านั้นเพราะสามีของหล่อนด่วนจากไปตั้งแต่พชรยังเด็ก อีกทั้งลูกชายคนโตก็ไม่ได้สนใจธุรกิจของทางบ้าน ส่วนกัญจน์ลูกชายคนเล็กนั้นรักในการเป็นศิลปิน เขาขอเวลามารดาในการทำตามความฝันของตัวเองแล้วจึงจะมารับช่วงกิจการต่อ
“พูดถึงป้าบุษแล้ว พ่อก็นึกถึงตาพีร์เลยนะ รายนั้นน่ะเป็นหมอไม่ใช่หรือไง แม่ป่วยขนาดนี้ยังไม่ยอมกลับมาอีก” อาทิตย์พูดถึงลูกชายคนโตของบ้านข้างๆด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ บุษบามักจะมาปรับทุกข์กับเขาเรื่องที่พชรไม่ยอมกลับบ้านมาหลายปีให้เขาฟังเสมอ แม้เขาพอจะเข้าใจหัวอกของเจ้าหลานชายตัวดีอยู่บ้าง แต่ก็ยังเห็นใจคุณหญิงมากกว่าอยู่ดี
“ให้เป็นลูกชายพ่อหน่อยไม่ได้” นายทหารพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ปลายตะวันได้แต่หัวเราะตาม
“แล้วพ่อจะไปกี่โมงคะ เราไม่รู้ด้วยสิว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่”
“บ่ายๆก็คงหยุดล่ะมั้ง แวะเยี่ยมคุณหญิงเสร็จพ่อว่าจะเข้ากรมสักหน่อย ขากลับตะวันกลับคนเดียวได้มั้ย ไม่งั้นพ่อจะได้ให้เด็กมันขับรถไปให้แทน”
เด็กที่พ่อของเธอพูดถึงคือพลทหารในสังกัดของพ่อ ปลายตะวันส่ายหน้าเบาๆ
“ตะวันไปด้วยดีกว่าค่ะ ถือโอกาสไปเยี่ยมป้าบุษด้วย ไม่ได้โผล่หน้าไปตั้งสองวันป้าคงจะคิดถึง”
อันที่จริงเธออยากไปถามบุษบาเรื่องกัญจน์ด้วย เพราะการที่จู่ๆเขาก็ส่งข้อความแบบนั้นมาและหายตัวไปเสียดื้อๆแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกมาก และเนื้อความที่ว่าไม่ให้เพียงฟ้าเข้าใกล้พชรนั่นคืออะไร ใครๆก็รู้ว่าพชรอยู่ต่างประเทศ แถมเขายังโกรธทั้งน้องชายและอดีตคนรักชนิดแทบกรวดน้ำคว่ำขันให้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นโอกาสที่ทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกันนั้น
แทบไม่มี...
