บท
ตั้งค่า

๗ ระเบิดเวลา (๑)

ระเบิดเวลา

ใกล้สอบวิชาสุดท้ายทำให้เขาต้องเร่งอ่านหนังสือจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น สายตาจดจ้องตัวอักษรยาวเหยียดแล้วพยายามทำความเข้าใจ จำให้เข้าหัวเพื่อจะได้เขียนตอบ โชคดีที่ได้เอกสารและสมุดจดมาจากพี่รหัสจึงช่วยได้เยอะ

เขามาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเพื่อสร้างความขยันให้ตนเอง ถ้าอยู่ห้องคงล้มตัวลงนอนบนเตียง แต่พอเป็นห้องสมุดที่ผู้คนตั้งใจเข้ามาอ่านหนังสือ เห็นคนอื่นอ่านก็ต้องอ่านเช่นเดียวกัน ทั้งยังบรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะจนเขาอ่านเนื้อหาจบไปหลายบท

“ไอ้ปลื้ม” เสียงกระซิบข้างหูทำให้สะดุ้ง รีบเหลียวมองก็พบเพื่อนสนิทสองคนที่มาด้วยกัน

ดวงตาคมฉายแววหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ เกือบหลุดปากด่าแล้วถ้าไม่เหลือบมองรอบห้องแล้วปิดปากเอาไว้ได้ทัน จากนั้นจึงถามเสียงเบากลัวรบกวนคนอื่น

“อะไร...มึงไม่เห็นเหรอว่ากูกำลังอ่านหนังสือ” เพื่อนสองคนถึงกับหน้าเจื่อน แต่มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่พวกตนเพิ่งรู้จึงได้รีบวิ่งมาหาอติกานต์อย่างรวดเร็ว กลัวว่าร่างสูงจะอาละวาดจนเป็นเรื่อง

ทว่าดูจากการตั้งใจอ่านหนังสือเหมือนไม่รู้สึกอะไร ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงยังไม่รู้ หรือบางทีอาจกำลังระงับอารมณ์เอาไว้สุดความสามารถ เพราะขนาดเขาเป็นคนนอกยังช็อคจนเข่าอ่อน

“เอ่อ มึงรู้เรื่อง...” อิษวัตถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นปารมีนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไร ทั้งที่ก่อนหน้าพูดเองว่าจะเป็นคนถาม พอเจอหน้าเพื่อนกลับใบ้กินซะอย่างนั้น

“เรื่องอะไร”

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” พอถูกถามกลับก็รีบปฏิเสธทันที พวกเขาส่ายหน้าพร้อมกันแล้วรีบหลบสายตาที่จ้องอย่างสงสัย กลัวจะเผยพิรุธให้ถูกคาดคั้น เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเก็บความลับได้หรือเปล่า

พวกเขาเพิ่งทราบเมื่อเช้าว่าลัลนาจะแต่งงานกับภาวิช...

ทั้งที่หญิงสาวเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีสัญญากับอติกานต์ว่าจะมาเรียนที่เมืองหลวง แต่ทำไมถึงแต่งงานกับชายอื่น ยกเลิกเรื่องการเรียน

ถึงจะไม่อยากมองหล่อนในแง่ร้าย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่ทำไปเพราะเงินหรือเปล่า คนทั้งอำเภอต่างรู้ถึงความร่ำรวยของครอบครัวภาวิช

แต่ก็ไม่อยากใส่ร้ายหญิงสาว เพราะเพื่อนของเขาก็รวยเหมือนกัน ถ้าแต่งงานเพราะเลือกคนรวยน่าจะเลือกอติกานต์ไม่ใช่เหรอ

“ช่วงนี้มึงกับน้องต่ายเป็นยังไงบ้างวะ รักกันหวานชื่นเหมือนเดิมหรือเปล่า” ปารมีที่เงียบอยู่นานกลับเปิดปากถามถึงลัลนา สร้างพิรุธมากกว่าเดิมจนถูกอิษวัตถลึงตามอง แล้วด่าแบบไม่มีเสียง กลัวอติกานต์จะจับสังเกตได้แล้วเดาเรื่องทั้งหมดออก

“เหมือนเดิม แต่กูไม่ค่อยมีเวลาให้เขาเท่าไหร่ ไม่สิ ช่วงนี้โทรไปต่ายก็ไม่ค่อยรับสาย แต่ถึงรับแป๊บเดียวก็รีบวาง คิดถึงฉิบหาย” ยามพูดถึงคนรักมีแต่ความสุข ทว่าช่วงนี้เขาก็ยุ่งเธอเองก็ไม่ว่างเหมือนกัน คุยกันไม่กี่นาทีก็ต้องวางสาย

อติกานต์พอจะสัมผัสถึงความเปลี่ยนไปของเธอ แต่เขาไม่อยากคิดอะไรมากเพราะบางครั้งตนก็ละเลยหน้าที่แฟน

ถุงหอมในห้องหมดกลิ่นไปนานแล้ว ทว่ายังไม่มีเวลาเอาไปเปลี่ยน เขาวางมันไว้ในมุมอับและไม่ได้สนใจ

ความรักไม่ได้จืดจางลง เป็นเพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน คิดว่าถ้าหล่อนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงคงได้เจอกันบ่อย ความรักคงแนบแน่นเหมือนครั้งเรียนมัธยมฯ

“เหรอ อย่างนั้นเหรอ” ยิ้มแหยะเมื่อฟังจบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือต้องมองจับผิด แล้วเอ่ยเตือนเสียงเข้มพอให้ได้ยินกันแค่สามคน อย่างไรตนก็อยู่ห้องสมุดไม่อยากรบกวนการอ่านหนังสือของผู้อื่น

“ถามทำไม คิดจะแช่งให้พวกกูเลิกกันแล้วมึงเสียบแทนเหรอ...ฝันไปเถอะ” สองคนนี้ชอบแหย่เขาเรื่องลัลนาตลอด คนหวงแฟนก็เลยขึ้นเป็นบางครั้ง ต้องคอยเอ่ยเตือนเพื่อนเอาไว้ไม่ให้เข้ามายุ่งกับแฟนของตน

เพราะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเลิกกับหญิงสาว

คบกันมาสามปี ระยะทางไม่เป็นปัญหาในชีวิตรักสักนิด เขาคิดว่าอย่างไรคนที่สวมชุดเจ้าสาวยืนข้างกันต้องเป็นเธอแน่นอน

“ใครจะกล้าคิดแบบนั้น มึงรอน้องเขามาหลายปี กูไม่กล้ายุ่งกับแฟนเพื่อนหรอก...แค่อยากให้มึงเตรียมใจไว้บ้าง” พอเห็นอีกฝ่ายพูดด้วยความมั่นใจก็นึกเป็นห่วง เรื่องแต่งงานของลัลนาคงยังไม่ถึงหูอติกานต์

แต่คิดว่าอย่างไรเพื่อนก็ต้องรู้...

“เตรียมใจเรื่องอะไร”

ทว่าพวกเขาไม่กล้าบอก!

เกรงว่าถ้าพูดออกไปจะทำให้คนที่มุ่งมั่นอ่านหนังสือเพื่อสอบวิชาสุดท้ายไม่มีสมาธิ อย่างน้อยก็ขอให้สอบเสร็จ ค่อยบอกตอนนั้นก็ไม่สาย

“เรื่อง...เผื่อมีเรื่องไม่คาดคิดน่ะ” ตอบแบบกว้างๆ ไม่ให้น่าสงสัย

“เพ้อเจ้อ จะไปไหนก็ไปเลยไป กูจะอ่านหนังสือ”

“เออๆ พวกกูไปก่อนนะ” พวกเขาไม่คิดจะยื้อเวลาหรืออยู่นานมากกว่านี้ รีบกอดไหล่พากันเดินออกจากหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย

เร่งฝีเท้าออกมาข้างนอกแล้วพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก ไม่คิดว่าการบอกความจริงมันจะยากขนาดนี้ เขาหวังดีต่อร่างสูงแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะเสียใจเพราะตั้งความหวังกับรักครั้งนี้เอาไว้สูงมาก ตลอดสองปีในรั้วมหาวิทยาลัยก็ไม่มองสาวอื่น แม้จะมีคนเข้ามาจีบเยอะแค่ไหน หน้าตาดีมากเท่าไหร่ก็ปัดตกหมด

เพราะปักใจรักเพียงลัลนาคนเดียว

“มึงจะไม่บอกมันจริงเหรอวะว่ากระต่ายกำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า” ระยะเวลาค่อนข้างรวดเร็วจนน่าตกใจ บางทีเขาก็นึกสงสัยว่าที่วิวาห์สายฟ้าแล่บเพราะเจ้าสาวท้องก่อนแต่งหรือเปล่า

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงหล่อนก็แตกต่างจากภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก ทำตัวอ่อนโยนไร้เดียงสาแต่กลับจับปลาสองมือ

“ใครจะกล้าบอก มันอ่านหนังสือเตรียมสอบไม่เห็นหรือไง บอกไประเบิดก็ลงสิวะ”

“แต่กูไม่คิดเลยว่ากระต่ายจะเป็นคนแบบนี้ เฮ้อ เจ็บแทนไอ้ปลื้มว่ะ มันก็รอของมันมาตั้งหลายปี ปฏิเสธผู้หญิงไปหลายคน โธ่ น้องต่ายไม่น่าทำแบบนี้กับเพื่อนพี่เลย”

“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอก” ปรับทุกข์กันแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ขอเพียงไม่ให้อติกานต์อาละวาดหลังรู้เรื่องก็พอ

แต่คิดว่าหากเพื่อนสนิทของตนทราบ คงได้ไปพังงานแต่งแน่นอน...

เหลือเพียงแค่สามวันก็ถึงงานแต่งของเธอกับภาวิช ลัลนาไม่ออกจากบ้านไปไหน ขลุกอยู่แต่บ้านแล้วทำเพียงเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง เหมือนอยากโบยบินออกไปให้ไกลจากที่แห่งนี้ ซึ่งความจริงเป็นไปไม่ได้

ขาของเธอถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา ด้วยคำว่าบุญคุณที่ต้องตอบแทน

ด้วยการแต่งงาน...

คนในหมู่บ้านต่างเอาไปลือว่าเธอท้องจึงต้องรีบแต่ง ทั้งยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสงสารอติกานต์ที่ถูกหักหลัง ทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่าเธอคบกับลูกชายเจ้าของร้านขายอุปกรณ์การเกษตร แต่กลับแต่งงานกับชายอีกคน

“กระต่าย” เสียงเรียกดังจากข้างล่าง ทำให้เธอต้องลุกจากเก้าอื้ตัวเล็กแล้วลงบันไดไปพบแขกที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย

แต่แถวบ้านเธอแขกจะไปใครจะมาก็ไม่ได้นัด โดยเฉพาะอติกานต์ที่ชอบมาเซอร์ไพรส์อยู่เรื่อย เธอหวังเพียงครั้งนี้เขาจะไม่กลับบ้าน

ยังทำใจบอกชายหนุ่มไม่ได้ ปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยมานานพอสมควร เคยคิดจะบอกแต่ปากก็หนัก สุดท้ายได้แค่ปลอบใจตัวเองว่าพรุ่งนี้ค่อยบอกความจริงก็แล้วกัน

ซึ่งคำว่าพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึงเลย...

ลงมาด้านล่างพบคุณยายเดินเข้ามาในบ้านพร้อมภาวิช เธอส่งยิ้มอ่อนให้ว่าที่เจ้าบ่าวแล้วเข้ามาประคองคนสูงวัย ท่านดูอ่อนแรงเป็นอย่างมากแต่ก็ยังอยากมารับขวัญหลานสะใภ้ เพียงแค่เห็นหน้าลัลนาก็ยิ้มกว้างมีความสุข

“คุณยาย...ค่อยๆ เดินนะคะ”

ประคองท่านให้นั่งลงที่โซฟา ก่อนตนจะนั่งลงข้างกันแล้วบอกด้วยความกังวล ไม่อยากให้คุณยายอาการทรุดไปมากกว่านี้ ถึงภายนอกของท่านจะดูแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ภายในไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร

ท่านเหลือเวลาอยู่แสดงความยินดีกับหลานชายไม่นาน จึงอยากมอบของแทนใจให้ลัลนา เพื่อชีวิตคู่จะได้สุขสงบ

“ยายอยากมาหาต่ายก่อนวันแต่งงานของเราน่ะ ท่านบอกว่ามีของจะให้หลานสะใภ้” เพียงแค่เห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวของตนก็ยิ้มแก้มปริ มีความสุขเป็นอย่างมากที่อีกไม่นานเธอจะกลายเป็นคนของเขาโดยสมบูรณ์

โดยไม่คิดเลยว่าการกระทำครั้งนี้จะสร้างความเสียหายแก่ลัลนามาเพียงใด

“คุณยายโทรเรียกต่ายไปหาที่บ้านก็ได้นิคะ ไม่เห็นต้องลำบากมาเองเลย” พูดจบท่านก็เอื้อมมาจับมือหล่อนไปกอบกุม มองดวงหน้าหวานของหญิงสาวที่หลานชายหลงรัก ท่านดีใจเป็นอย่างมากที่ก่อนตายจะได้เห็นภาวิชเป็นฝั่งเป็นฝา

เตรียมใจกับการลาจากโลกแล้ว แต่ที่ยังห่วงคือกลัวหลานชายอยู่ตัวคนเดียว พอได้ยินว่าจะแต่งงานกับลัลนาก็โล่งอก

“ยายอยากมา อยู่บ้านอุดอู้ มาเปิดหูเปิดตาบ้างดีกว่า”

“อีกอย่างยายเอากำไลหยกมาเป็นของขวัญวันแต่งงาน มันเป็นของแทนใจที่ตาเคยให้ยาย วันนี้ยายเลยอยากส่งมอบให้หลานสะใภ้ของยาย” หยิบกำไลหยกที่เป็นมรดกตกทอดสวมที่ข้อมือเล็ก เธอคิดจะดึงมือตนออกก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้เพียงปฏิเสธท่านอย่างตระหนก

การแต่งงานเป็นเรื่องหลอก หากท่านรู้ความจริงจะเจ็บปวดแค่ไหน จึงต้องเล่นละครไปตามน้ำ

“ไม่เอาหรอกค่ะ...มันแพงเกินไป ต่ายกลัวรักษาไว้ไม่ได้” พยายามจะถอดออกแต่คุณยายกลับกุมมือบางเอาไว้ พูดด้วยเสียงที่อ่อนแรง

“อีกอย่างคุณตาก็ตั้งใจให้คุณยาย ถ้าต่ายรับก็ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของคุณตาสิคะ”

“ไม่หรอก ตาเขาอยากให้ยายมอบกำไลหยกรับขวัญหลานสะใภ้ เขาเคยบอกยายเอาไว้” ถึงจะค้านหัวชนฝา ใช้เหตุผลใดเพื่อปฏิเสธ สุดท้ายก็จำต้องรับเอาไว้เหมือนเดิม ยิ่งมีภาวิชพูดสนับสนุนเธอก็เหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบ

“รับไว้เถอะต่าย ยายตั้งใจเอามาให้ต่ายจริงๆ”

“ขอบคุณนะคะ” สุดท้ายก็จำต้องรับกำไลข้อมือเอาไว้ ถึงเธอจะเกรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เลือกจะยกมือไหว้ท่านแล้วฝืนยิ้ม

“ต่อจากนี้มาเป็นหลานของยายอีกคนนะลูก” คนสูงวัยโอบหลานสะใภ้มากอดด้วยความรัก ลัลนาเหลือบมองภาวิชที่จ้องเธอไม่ละสายตา พร้อมกับพยักหน้าให้ตามน้ำ หล่อนจึงต้องรับปากท่านอย่างที่ควรจะทำ ซึ่งตรงกันข้ามกับหัวใจ

“ค่ะคุณยาย”

คุยกับคุณยายอีกสักพักท่านก็กลับบ้านเพื่อพักผ่อน โดยที่ร่างสูงเป็นคนขับไปส่งแล้วค่อยขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาหาเธออีกครั้ง

ภาวิชมอบสินสอดให้คุณภีมเดชพร้อมยกหนี้สินทั้งหมดถือเป็นศูนย์ เข้ามาดูแลครอบครัวเปรมาทุกอย่าง ทำความคุ้นเคยกับพ่อตาแต่เนิ่น ดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี ส่วนร่างบางก็เหมือนคนใจไม่อยู่กับตัว

ฝืนตัวเองให้ลุกในแต่ละวันช่างยากเย็น เธอยอมแพ้กับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เลือกสมัครสอบมหาวิทยาลัยใกล้บ้านที่เป็นแบบวิทยาเขต แต่คงต้องรอสอบปีหน้า หรือไม่อย่างนั้นก็มีอีกทางเลือกคือเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ

ลัลนาเสียดายเป็นอย่างมากกับการตรากตรำอ่านหนังสือกว่าสองปีเต็ม สุดท้ายกลับไม่ได้ไปเรียนตามที่หวัง เพราะปัญหาใหญ่คือเรื่องการเงิน อีกเหตุผลคือหล่อนไม่อยากทิ้งบิดาอยู่เพียงลำพัง

กลัวว่าวันหนึ่งจะเสียท่านไปตลอดกาล...

“พี่รู้ว่าต่ายลำบากใจที่จะรับ แต่ยายตั้งใจเอามาให้ต่าย...ถือว่าช่วยพี่เถอะนะ ใส่ให้ท่านได้ชื่นใจ” เขาเดินมาจากทางด้านหลัง รู้ว่าหญิงสาวมานั่งเล่นอยู่สวนหลังบ้าน พลางมองกำไลหยกไม่ละสายตาเหมือนกำลังชั่งใจ เสียงหนักเลยเอ่ยแล้วทรุดกายลงข้างเธอ

“ค่ะ”

“อีกไม่นานก็ถึงวันหมั้นของเราแล้ว ต่ายพร้อมใช่ไหม...บอกปลื้มหรือยัง” เพียงแค่ได้ยินชื่อของแฟนหนุ่มก็หน้าเสีย

เธอไม่กล้าจะพูดให้เขาฟังด้วยซ้ำ...

อติกานต์จะเข้าใจเหตุผลหรือเปล่า กังวลว่าเขาจะกล่าวหาเธอเหมือนคนในหมู่บ้านมองว่าตนท้องก่อนแต่งบ้าง จับผู้ชายรวยเพื่อยกระดับฐานะตัวเองบ้าง

หญิงสาวจึงเลือกเก็บเงียบเอาไว้ ภาวนาไม่ให้ชายหนุ่มรู้จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง ตอนนั้นเธอจะบอกเขาเอง

“ต่าย ต่ายไม่กล้าบอก” พูดเสียงสั่นยามได้ยินชื่อแฟนของตน เธอกลัวมากสุดคือเขารู้เรื่องทุกอย่าง แต่ได้รู้ในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

“ทำไมล่ะ ถ้าเขามารู้ทีหลังจะไม่ยิ่งแย่เหรอ พี่อยากให้ต่ายบอกตอนนี้เขาจะได้เข้าใจ” เขาคิดว่าลัลนาบอกทุกอย่างไปแล้วเสียอีก

ภูวิชไม่ได้หวังดีอยากให้อติกานต์เข้าใจ แต่เขารู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนยินดีหากรู้ว่าแฟนกำลังจะแต่งงานกับชายอื่น ถึงเกิดจากความจำเป็นก็ตาม แล้วอย่างนี้อีกฝ่ายจะไม่มาหาเรื่องวันงานแต่งหรอกหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล

งานของเขาต้องราบรื่นไม่อยากให้มีสิ่งใดขัดขวาง...

“พี่ปลื้มสอบยังไม่เสร็จค่ะ ถ้าเขาสอบเสร็จต่ายถึงจะบอก...” เธอหาข้ออ้างเพื่อผัดวันประกันพรุ่งประวิงเวลา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel