บทที่ 5 ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหว
หลังจากที่ทั้งหมดกลับมาถึงบ้านพักเอกอัครราชทูตแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหารเย็นที่แม่บ้านได้จัดไว้รอแล้ว
“ คนขับอาจจะหลับในก็ได้ อย่างมินตราน่ะเหรอจะไปมีเรื่องกับใคร ถ้าเป็นเกสรีก็ว่าไปอย่าง ” เจ๊แหม่มออกความเห็น ระหว่างที่นั่งดูมินตราทำแผลให้ชนะชนด้วยกล่องปฐมพยาบาลที่ทางสถานทูตจัดมาให้
“ แหม ! ผอ.ก็พูดเกินไปนิดนึงนะคะ เกดไม่ได้ชอบไปวิวาทกับใครสักหน่อย ” เกสรีอุทธรณ์งอนๆ จนทุกคนพากันขบขัน
“ แล้วนี่ซื้ออะไรกันมาบ้างล่ะ เห็นถุงมากมายอย่างกับไปเหมามาทั้งตลาด ” ป๋าวิบูลย์ถามขึ้นบ้าง แต่นั่นก็ยังไม่พ้นเรื่องแทงใจดำเกสรีอยู่ดี “ ชนะชนกับจตุรงค์กลายเป็นนักช้อปไปกับเขาด้วยแล้วเหรอเนี่ย ”
“ ผมเปล่านะครับ ซื้อแค่น้ำหอมขวดเดียวเอง ส่วนชนม์ก็ซื้อของไปฝากพวกญาติๆ นิดหน่อย ของตัวเองไม่มีเลยล่ะครับ ” จตุรงค์รีบแก้ต่างให้ตัวเองกับเพื่อน แจ็คพ็อตจึงไปตกอยู่ที่เกสรีกับมินตรา
“ แหม ! ราคาก็ไม่แพง แถมมีแต่ของน่ารักๆ ทั้งนั้นเลยนี่คะ เกดก็เลยมันมือ เอ้ย ! ซื้อเพลินไปหน่อย ” เกสรียิ้มแห้งยอมรับ พร้อมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ ยิ่งหัวหน้าชนะชนไปด้วย พอพ่อค้าเขาเห็นหน้าหัวหน้า เขาก็ลดแลกแจกแถมกันใหญ่ ของมันก็เลยเยอะอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ ”
“ ต๊าย ! จริงเหรอจ๊ะเนี่ย ” เจ๊แหม่มได้ฟังแล้วตื่นเต้นกว่าใคร รีบหันขวับไปทางชนะชนจนชายหนุ่มสะดุ้ง “ เดี๋ยววันกลับไทย ไปร้านค้าในสนามบินไคโรกับพี่หน่อยนะจ๊ะชนะชน พี่ว่าจะซื้อตุ๊กตาอูฐไปฝากหลานๆ เผื่อเขาจะลดแลกแจกแถมให้พี่บ้าง ”
“ เอ่อ... ได้ครับ ” ชนะชนยิ้มเจื่อนๆ แต่คนที่ยิ้มเจื่อนๆ ยิ่งกว่ากลับเป็นจตุรงค์ ซึ่งกำลังจินตนาการวาดภาพเจ๊แหม่มกับตุ๊กตาอูฐฝูงใหญ่ไม่ต่ำกว่า 1 โหล ยิ่งถ้าคนขายเกิดคิดสั้นลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลให้แบบซื้อ 1 แถม 1 ด้วยล่ะก็ ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา คงยินดีปรีดาขนาดซื้อกระเป๋าเดินทางใบยักษ์อีกใบมาใส่ตุ๊กตาอูฐทั้งร้านเป็นแน่
“ ตุ๊กตาอูฐหรือคะ ผอ. ดีจังค่ะ เกดขอไปด้วยนะคะ เกดก็อยากได้ตุ๊กตาอูฐเหมือนกันค่ะ ” เกสรีบอกผู้บังคับบัญชาของเธอ นัยน์ตาเป็นประกาย
“ จ้า ไปด้วยกันหมดนี่ก็ได้ ไปเยอะๆ อุ่นใจดีนะ จริงไหมจ๊ะจตุรงค์ ”
“ อุ่นใจจริงๆ ด้วยค่ะ ผอ. ”
สองสาวต่างวัยหัวเราะชอบใจเป็นเสียงประสาน เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่นั่นกลับทำให้จตุรงค์นั่งเหงื่อตกจากจินตภาพเรื่องสองสาวกับตุ๊กตาอูฐ เพราะมันอาจไม่จบลงแค่การเหมาตุ๊กตาทั้งร้าน แต่ทั้งคู่อาจร่วมหุ้นกันเปิดร้านนำเข้าตุ๊กตาอูฐ ไม่สิ ! อาจถึงขั้นเปิดฟาร์มอูฐในไทยเลยก็ได้ แล้วนี่เขาต้องเป็นคนเลี้ยงอูฐด้วยหรือเปล่า จอมกะล่อนคิดฟุ้งซ่านไปใหญ่ กระทั่งเสียงของแม่บ้านประนอมดังขึ้น
“ อาหารเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงให้มาเรียนเชิญทุกท่านไปที่ห้องอาหารได้เลยค่ะ ”
“ จ้ะ ขอบใจมากนะจ๊ะ ” เจ๊แหม่มยิ้มหวานให้แม่บ้าน ก่อนจะหันไปทางป๋าวิบูลย์ “ เรียนเชิญ ผอ. ก่อนเลยค่ะ ในฐานะหัวหน้าคณะ ”
“ ครับๆ ขอบคุณมาก ” ป๋าวิบูลย์ ผอ.สำนักโบราณคดียิ้มรับ แล้วเดินตามแม่บ้านประนอมไปเป็นคนแรก ต่อด้วยเจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ รองหัวหน้าคณะ ถัดมาเป็นสองหนุ่ม ชนะชน จตุรงค์ และปิดท้ายด้วยสองสาว มินตรากับเกสรี ตามลำดับอาวุโสและตำแหน่งหน้าที่การงาน
“ โอ... ห้องอาหารของที่นี่อยู่ชั้นใต้ดินหรือคะเนี่ย ” เจ๊แหม่มมองสำรวจไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เช่นเดียวกับสมาชิกคณะคนอื่นๆ ที่ต่างรู้สึกประทับใจในห้องอาหารของบ้านพักเอกอัครราชทูตไทยหลังนี้
บันไดทางลงจากห้องโถงปูด้วยพรมกำมะหยี่สีน้ำตาลอ่อน ราวบันไดไม้แกะสลักงดงามอ่อนช้อยอย่างไทยๆ เรื่อยมาจนถึงตัวห้องอาหารขนาดใหญ่ซึ่งปูพื้นด้วยปาเก้อย่างดี ผนังห้องประดับประดาด้วยรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวทั้งของไทยและอียิปต์สลับกันไป ขณะที่บนเพดานก็มีโคมไฟระย้าสำหรับให้แสงสว่าง โต๊ะอาหารสีโอ๊คเข้าชุดกับเก้าอี้ชวนให้รู้สึกอบอุ่น แม้ว่าขนาดของโต๊ะและจำนวนเก้าอี้จะมากกว่าจำนวนคนทั้งหมดภายในห้อง ยิ่งมองไปบนโต๊ะแล้วได้เห็นจานชามช้อนส้อมและแก้วน้ำจากเมืองไทย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่ที่บ้าน จะมีก็แต่อาหารที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้วเท่านั้นที่ดูแปลกตาไปสักหน่อย
“ วัตถุดิบของที่นี่อาจจะแตกต่างจากบ้านเราบ้างนะคะ แต่ก็บอกประนอมว่าให้พยายามทำออกมาให้คล้ายอาหารไทยมากที่สุด ถ้าไม่ถูกปากอย่างไรก็ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ ” คุณหญิงอัญชันบอกคณะนักโบราณคดีจากไทย แทนคุณประสิทธิ์ผู้เป็นสามีซึ่งกำลังหลบมุมคุยโทรศัพท์บ้านหน้าตาโบราณๆ อยู่
“ Yes... Yes... Yes... ” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร เจ้าของร่างท้วมเล็กน้อยถึงปานกลางซึ่งอยู่ในชุดสูทแบบสากล พยักหน้าส่งสำเนียงอังกฤษใส่โทรศัพท์สักพักก็วางสาย หันมายิ้มให้แขกทั้ง 6 คน พลางขยับแว่นตากรอบทองบนสันจมูกให้เข้าที่ “ เชิญเลยครับ เชิญนั่งเลยครับ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเลยนะครับ ตามสบายเลยครับ ”
“ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก ” ป๋าวิบูลย์ในฐานะหัวหน้าคณะกล่าวขอบคุณ เช่นเดียวกับเจ๊แหม่มที่ยิ้มแย้มของคุณเจ้าบ้านทั้งคู่ ในขณะที่สองหนุ่มและสองสาวต่างกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณ ตามธรรมเนียมไทยที่ผู้อ่อนวัยกว่าควรปฏิบัติ ก่อนที่ทั้งหมดจะทยอยกันเข้ามานั่งลงที่โต๊ะอาหาร โดยมีแม่บ้านประนอมเดินอุ้มโถข้าวหอมมะลิควันฉุยตักใส่จานของทุกคนจนครบทั้งโต๊ะ
“ ก่อนอื่นต้องขอโทษเป็นอย่างมากเลยนะครับ เรื่องความไม่สะดวกในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้ผมไปเคลียร์เรื่องเรียบร้อยแล้ว แล้วก็รับบัตรประชาชนของทุกท่านคืนมาแล้วนะครับ เดี๋ยวหลังรับประทานอาหารผมจะรีบนำไปส่งคืนให้ทันทีครับ ต้องขออภัยจริงๆ ” คุณประสิทธิ์บอกแขกทุกคน
“ ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ทางเราเองก็แจ้งเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันด้วย ” ป๋าวิบูลย์ตอบ พลางนึกในใจว่ากลับประเทศไทยเมื่อไหร่จะไล่เบี้ยหาตัวการที่ทำให้พวกตนต้องนั่งแบนเป็นกล้วยฉาบกว่า 1 ชั่วโมง อยู่ภายในรถคันเล็กที่ไม่น่าจะบรรทุกคน 7 คนมาจนถึงที่หมายได้
“ อันนี้อะไรน่ะคะ ? ” เกสรีถามแม่บ้านประนอม หลังด้อมๆ มองๆ ชามแก้วลายกุหลาบซึ่งบรรจุอาหารคล้ายน้ำพริก แต่วัตถุดิบหลักกลับดูไม่เหมือนหอม กระเทียม หรือปลา
“ น้ำพริกถั่วค่ะ พอดีคนอียิปต์นิยมทานถั่วกันมาก นอมก็เลยลองใช้ถั่วลิสงมาทำน้ำพริกดู ”
“ น่าทานดีนะคะ ” มินตรายิ้มให้แม่บ้านประจำสถานทูต และเป็นหน่วยกล้าตายลองชิมอาหารจานแปลกนี้เป็นคนแรก แน่นอนว่าทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของชนะชนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และคอยชำเลืองมองเธออยู่ตลอดเวลา
“ เป็นยังไงบ้างจ๊ะมินตรา ชามนั้นเป็นยังไงบ้าง ? ” เจ๊แหม่มชะโงกหน้ามาถาม เช่นเดียวกับคนทั้งโต๊ะที่แทบจะหันมาฟังคำตอบจากเธอกันเป็นหูเดียว
“ อร่อยดีค่ะ ”
คำตอบของมินตราทำเอาแม่บ้านประนอมยิ้มออก และหลังจากนั้นอาหารทุกอย่างบนโต๊ะก็พร่องลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกถั่ว ซุปมะเขือเทศ เนื้อหมักเครื่องเทศอบ สลัดข้าวโพดหวาน แกงกระหรี่ไก่ ไข่เจียวทรงเครื่อง ผัดผักรวมมิตร รวมไปถึงน้ำพริกจากเมืองไทยของชนะชน โดยมีผักสดคือแตงกวาเป็นเครื่องเคียง และปิดท้ายด้วยส้มหวานๆ ผลไม้ขึ้นชื่อของดินแดนพีระมิดและทะเลทรายแห่งนี้
“ แกะยากจังนะคะ เปลือกหนามากๆ ” เกสรีบ่นอุบ ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาแกะเปลือกส้มสีสดผลใหญ่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
“ นี่ ! ลองแกะแบบนี้ดูสิเกด ” มินตราแกะส้มในมือให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง พลอยให้คนอื่นๆ ในโต๊ะทำตามไปด้วย
“ อื้ม ! ทำแบบนี้แล้วแกะไม่ยากเท่าไหร่ ไปรู้วิธีนี้มาจากไหนจ๊ะมินตรา หรือชาติก่อนเป็นคนอียิปต์ ดูไปดูมาหน้าตาให้เหมือนกันนะเนี่ยเราน่ะ ” เจ๊แหม่มล้อ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่แทงใจดำชนะชนอย่างแรง และยิ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าเธอกับ ‘ มิรา ’ คือคนคนเดียวกัน แต่... เพราะอะไรล่ะ ?
“ หน้าตามินคล้ายคนอียิปต์หรือคะ หัวหน้ากับรองหัวหน้ายังคล้ายกว่าอีกนะคะ ” มินตราตอบเขินๆ ลึกลงไปในดวงตาไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ ที่บ่งบอกว่าเธอพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงในใจ
“ อู๊ย ! สองคนนั้นน่ะของตายอยู่แล้ว เดี๋ยวคอยดูพรุ่งนี้สิ ต้องมีนักโบราณคดีอียิปต์หน้าแตก เพราะคิดว่าแขกสองคนนี้เป็นคนของตัวเองแน่ๆ ” เจ๊แหม่มเปลี่ยนมายิ้มล้อสองหนุ่มบ้าง
“ แหม ! ที่จริงพวกผมอาจจะเป็นคนอียิปต์เมื่อชาติปางนู้นก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้ ” จตุรงค์พูดเล่นไปเรื่อย แต่กลับยิ่งทำให้ชนะชนเก็บเอาคำพูดของเขามาคิด
...หรือทั้งเขา จตุรงค์ นิศรา และมินตราเคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อนจริงๆ จู่ๆ ความคิดนี้ก็แวบกลับเข้ามาในสมอง แล้วทำไมไม่ใช่แค่เขากับผู้หญิงในความฝันอย่างมินตราเล่า ทำไมต้องมีจตุรงค์กับนิศราเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชนะชนถามตัวเองพลางนิ่วหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องประหลาด อย่างความฝันของเขา กับการที่คนหน้าแขกมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กัน หรือมัน... จะเป็นแค่ความบังเอิญ
“ เอ่อ... หัวหน้าคะ ”
เสียงเรียกของใครคนหนึ่งปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ชายหนุ่มเลิกผ้านวมออก และรีบลุกขึ้นนั่งจนรู้สึกเจ็บแปลบที่แผลตรงข้อศอก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแสดงมันออกมาแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งบนใบหน้า สาเหตุก็เพราะหญิงสาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ที่นอนปิกนิกของเขาในเวลานี้
“ กลางคืนมันหนาวมาก ดิฉันกลัวว่าหัวหน้าจะปวดแผล ก็เลยไปขอยาพาราฯจากแม่บ้านมาให้น่ะค่ะ ” มินตราส่งแผงยาพาราเซตามอลให้ชนะชนด้วยสองมือ หญิงสาวอยู่ในชุดนอนแบบกางเกงสีชมพูอ่อน มีลายดอกไม้เล็กๆ สีขาวแต่งแต้มอยู่ทั่วดูน่ารัก และสวมทับด้วยเสื้อหนาวแขนยาวสีน้ำเงินอีกชั้น ผมยาวที่เคยรวบไว้ปล่อยลงมาเคลียบ่า และเพราะพึ่งผ่านการสระผม อาบน้ำชำระล้างร่างกายมา จึงมีเส้นผมบางส่วนที่ยังคงเปียกน้ำ ทำเอาชนะชนชะงักไปนิดหนึ่ง
“ เอ่อ... ขอบคุณมากครับ ” เขายิ้มให้เธอ แล้วรับแผงยาแก้ปวดมาวางไว้เหนือที่นอนปิกนิก
“ แล้วนี่ก็ขวดน้ำกับแก้วน้ำค่ะ หัวหน้าจะได้ไม่ต้องลุกเข้าไปในครัว ถึงจะไม่ได้ทานยาก็อาจจะเกิดคอแห้งตอนกลางคืนได้ ”
“ เตรียมให้พร้อมทุกอย่างเลยเหรอ ลำบากแย่ ขอบคุณมากๆ นะ ” ชนะชนรับแก้วน้ำพลาสติกและขวดน้ำจากมือมินตราไปวางไว้บนหัวนอนอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อหันกลับมา...
