บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3

ประตูห้องนอนถูกเขย่าแรงๆ ทำให้คนที่นอนซึมเศร้าอยู่บนเตียงต้องรีบป้ายน้ำตา และเอ่ยถาม

“แม่เหรอจ๊ะ”

“ฉันเอง เปิดประตูหน่อย เร็วเข้า”

เสียงของพี่สาวตอบกลับมา และก็ทำให้หล่อนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

“พี่นารีมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ”

“มีสิ แล้วก็รีบเปิดประตูด้วย”

“แต่ฉันนอนแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

หล่อนตัดบท เพราะไม่อยากจะทะเลาะกับพี่สาวฝาแฝด แต่ดูเหมือนว่านารีรัตน์จะไม่ยอม

“ถ้าแกไม่เปิด ฉันจะร้องโวยวายให้ลั่นเชียว พ่อกับแม่จะได้ตกใจเล่นๆ”

อลินดาถึงกับต้องถอนใจหายยาวเหยียด พี่สาวของหล่อนมักจะเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เสมอ ต้องได้ดั่งใจต้องการทุกอย่าง โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย

“อย่านะพี่นารี ฉันไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้แหละ”

คนเป็นน้องต้องกระโจนลงจากเตียง และวิ่งไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

นารีรัตน์ยืนท้าวสะเอวอยู่หลังบานประตู ก่อนจะเดินแทรกเข้ามาภายในห้อง ทำราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้องไม่มีผิด อลินดาดันบานประตูปิดเบาๆ ก่อนจะเดินตามพี่สาวมา

“ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”

“พี่นารีพูดอะไรคะ”

“อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย”

นิ้วเรียวของนารีรัตน์ยกขึ้นจิ้มหน้าผากของน้องสาวแรงๆ อย่างหมั่นไส้

“สายตาที่แกใช้มองคุณแซคไงล่ะ แกคิดจะแย่งเขาไปจากฉันเหรอ”

อลินดาถอนใจอย่างเหนื่อยล้า หล่อนเม้มปากและเดินหนีไปนั่งบนเตียง

“ถ้าพี่นารีมีเรื่องจะพูดกับฉันแค่นี้ ฉันขอตัวนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”

“แกอย่ามาทำเป็นตัดบท ตอบมาก่อนว่าแกยังตัดใจจากคุณแซคไม่ได้ใช่ไหม”

พี่สาวกระชากแขนของหล่อนแรงๆ ก่อนจะบีบบังคับให้หันกลับไปเผชิญหน้า

อลินดาน้ำตาซึม ยิ่งเห็นสายตาเกลียดชังที่พี่สาวมองมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งเสียใจ

“ความรู้สึกของฉันมันไม่สำคัญหรอกค่ะ สิ่งที่สำคัญก็คือความจริงใจของพี่นารีที่มีต่อคุณแซคต่างหาก”

“นี่แกว่าฉันเหรอ” นารีรัตน์ตวาดลั่นอย่างโมโห จ้องหน้าน้องสาว ฝาแฝดเขม็ง

“หรือมันไม่จริงล่ะพี่นารี พี่ก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าให้ฉันต้องพูดมันออกมาเลย”

“อีน้องปากดี”

เพี๊ยะ

ใบหน้าของอลินดาสะบัดไปตามแรงปะทะจากฝ่ามือของพี่สาว ซีกแก้มที่ถูกตบชาดิกและแดงก่ำ

“มันจะเป็นครั้งสุดท้ายนะคะที่ฉันยอมให้พี่นารีทำร้ายร่างกายฉัน” หล่อนยกมือขึ้นกุมแก้มของตัวเอง และมองหน้านารีรัตน์ด้วยสายตาจริงจัง

“ทำไม แกจะทำไม”

“ฉันยอมพี่มาตลอดทั้งแต่เล็กจนโต แต่ต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่ยอมพี่อีกแล้ว ถ้าแรงมา ฉันจะแรงกลับ และคอยดูนะว่าฉันจะทำจริงๆ”

แทนที่นารีรัตน์จะรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย

“ถ้าแกทำอะไรฉัน ฉันก็จะไปฟ้องพ่อกับแม่ และแกก็คงรู้ใช่ไหมว่าพ่อกับแม่จะเข้าข้างใคร”

อลินดาทั้งเจ็บปวด ทั้งน้อยใจ แต่ก็จำต้องซ่อนน้ำตาเอาไว้อย่างสุดกำลัง

“ถึงพ่อกับแม่จะรักฉันน้อยกว่าพี่นารี แต่ท่านทั้งสองคนก็คงไม่ใจดำกับฉันซึ่งเป็นลูกสาว เหมือนกับที่พี่สาวอย่างพี่ทำกับน้องสาวอย่างฉันหรอก”

“อี... อีลินดา!”

“ฉันจะพักผ่อนแล้ว พี่นารีกลับไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถอะ”

นารีรัตน์ยกมือขึ้นจะตบหน้าน้องสาวอีกครั้ง แต่คราวนี้คู่ต่อสู้ยกมือขึ้นบ้าง ทำให้หล่อนขลาดกลัว และต้องล่าถอย

“ถ้าแกยังไม่เลิกให้ท่าคุณแซค ฉันจะตบแกให้คว่ำ จำเอาไว้”

หล่อนทำได้แต่มองตามร่างของพี่สาวไปด้วยความเสียใจ

หล่อนดีขนาดนี้แล้ว นารีรัตน์ยังไม่พอใจอีกหรือไง

น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ร่วงหล่นออกมาตามแก้มนวล หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้งก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง และซบหน้าลงกับหมอนร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ

ในขณะที่แฝดผู้น้องเสียใจร้องไห้ แต่แฝดผู้พี่ที่เพิ่งเดินออกไปก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ถือติดตัวเอาไว้ขึ้นมากดรับสาย และก็ยิ้มระริกระรี้เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาหาว่าเป็นใคร

“คิดถึงคุณจังค่ะสตีฟ” คนพูดยิ้มหวานกับโทรศัพท์ “ว่าไงนะคะ จะนัดลินดาออกไปเที่ยวคืนนี้เลยเหรอคะ” ถามออกไปด้วยสุ่มเสียงแปลกใจ แต่ใบหน้ากับเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “ได้สิคะ งั้นเจอกันที่ผับเดิมนะคะ ว่าไงนะคะ ให้ไปโรงแรมเลยเหรอคะ โอเคค่ะ ได้ค่ะ ลินดาไม่เกี่ยงอยู่แล้วค่ะ เพราะลินดาคิดถึงคุณ”

นารีรัตน์กดวางสาย ใบหน้าหวานยังคงมีรอยยิ้มมากมาย ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสะใจ

“ฉันจะใช้ชื่อแกคั่วผู้ชายต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เพราะคนที่เสียชื่อเสียงต้องเป็นแกไม่ใช่ฉัน”

งานเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสของนารีรัตน์กับแซคคารีย์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะอภิมหาเศรษฐีของฝ่ายชาย และก็สมกับความรักที่เจ้าบ่าวมีให้กับเจ้าสาวแสนสวย

แขกเหรื่อที่เป็นผู้คนชั้นสูงของวงสังคมทั้งของประเทศไทยและต่างชาติโดยเฉพาะประเทศบ้านเกิดของแซคคารีย์ บินลัดฟ้ามาร่วมงานมงคลนี้กันอย่างล้นหลาม

หล่อนยืนตัวเกร็งอยู่ข้างบิดามารดาที่ยิ้มหน้าบานต้อนรับแขกเหรื่ออยู่หน้างาน เกลียดตัวเองยิ่งนักที่ยังไม่อาจจะยินดีกับพี่สาวฝาแฝดได้อย่างจริงใจ มันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมากที่หล่อนแอบมีใจให้กับพี่เขยของตัวเอง

อลินดาพยายามยิ้มให้เป็นปกติที่สุด แต่มารดาของหล่อนก็ยังจับสังเกตจนได้

“ทำไมหน้าตาไม่สู้ดีเลย อย่าบอกนะว่าอิจฉานารีน่ะ”

คำถามของแม่ทำให้หล่อนยิ่งอดสู น้ำตาพาลจะไหล แต่ก็กลั้นยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธ

“ฉันไม่เคยอิจฉาพี่นารีจ้ะแม่”

“แล้วทำไมทำหน้าเศร้าล่ะ นี่มันงานมงคลของพี่สาวแกนะ”

แม่ยังคงมองหล่อนด้วยสายตาไม่พอใจเช่นเดิม และพ่อก็หันมามองหน้าหล่อนเช่นกัน

“นั่นสิ หน้าตาแกดูเศร้าๆ นะลินดา”

“คือฉัน... แค่ตื่นเต้นแทนพี่นารีน่ะจ้ะพ่อแม่ ไม่มีอะไรจริงๆ”

“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกอิจฉาพี่สาวตัวเอง ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดแม่ตัดลูกกับแกเลย”

แม่ของหล่อนก็ยังคงมองหล่อนในแง่ร้ายเช่นเดิม และก็ยังรัก นารีรัตน์มากกว่าหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง หล่อนน้อยใจมาเสมอกับความรักที่ไม่เท่ากันของพ่อและแม่ แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้ ทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับโชคชะตาเท่านั้น

“ฉันเจียมตัวเองเสมอจ้ะ”

หล่อนตอบออกไปเสียงแผ่วเบา และก้มหน้าเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา พ่อกับแม่ของหล่อนก็ไม่ได้สนใจไยดีหล่อนอีกเลย หันไปกล่าวเชื้อเชิญแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงานต่ออย่างมีความสุข

“เชิญค่ะ เชิญด้านในค่ะ”

กลิ่นไอแห่งความสุขคละคลุ้งจนหล่อนรู้สึกอึดอัด และสุดท้ายก็ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากบิดาและมารดา มาหลบยืนอยู่นอกงานเลี้ยง หล่อนคิดว่าการมายืนรับลมเย็นๆ จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง แต่กลับยิ่งรู้สึกแย่ลง เมื่อสายตามองไปเห็นเจ้าบ่าวตัวโตกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ตัว

หล่อนยืนนิ่ง และบอกให้ตัวเองรีบหันหลังเดินออกไปจากตรงนี้ซะ แต่แซคคารีย์หันมาเห็นหล่อนเข้าเสียก่อน สายตาคมกริบสีสนิมยามนี้มืดลึกยามจับจ้องมาที่หล่อน

เดินออกไปสิ อย่าอยู่ตรงนี้ อลินดา รีบเดินไป!

เสียงในหัวร้องสั่งดังลั่น แต่ขากลับไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินไปไหน มันยังคงยืนติดนึบอยู่ที่เดิม แถมดวงตาก็เบิกกว้าง จับจ้องมองผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาหาตลอดเวลา

“มีอะไรกับฉันหรือ ถึงออกมาหาที่นี่”

น้ำเสียงของเขากระด้าง ห้วน และไม่น่าฟังนัก แต่หล่อนชินชาแล้วล่ะ เพราะแซคคารีย์ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อนเสมอ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน

“ฉัน... ออกมาเดินเล่นค่ะ”

หล่อนกลั้นใจตอบ และก็อดไม่ได้ที่จะตวัดสายตามองเจ้าบ่าวรูปหล่อที่อยู่ในชุดสูทสีขาวเรียบหรูตรงหน้าอย่างพิจารณา

แซคคารีย์หล่อจัดและสง่างามทุกกระเบียดนิ้วเสมอ ยิ่งมาอยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดของเจ้าบ่าว เขาก็ยิ่งเหมือนกับเทพบุตรกรีกไม่มีผิด หัวใจของหล่อนเต้นแรงระรัว เรือนร่างทรงพลังผึ่งผายของเขาทำให้ผู้หญิงมากมายต่างยอมสยบอยู่แทบเท้า ไม่เว้นแม้แต่หล่อน แต่ผู้หญิงที่โชคดีมีเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือนารีรัตน์พี่สาวของหล่อนนั่นเอง

“คิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดของเธอหรือ”

เขาขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น จนหล่อนได้กลิ่นกายเซ็กซี่และอันตรายของชายหนุ่มอย่างชัดเจน หัวใจสาวสั่นระริกแทบกระดอนออกมาจากอก และก็เป็นหล่อนเองที่ถอยหลังหนี

“ก็แล้วแต่คุณแซคจะคิดเถอะค่ะ ขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยว...”

แขนเรียวตกอยู่ในอุ้งมือร้อนอบอุ่น หล่อนมองแขนของตัวเองและเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อจัดของแซคคารีย์

“คุณแซคมีอะไรกับฉันเหรอคะ” หล่อนถามกลับและก็บิดแขนของตัวเองจนได้รับอิสระ

สายตาคมกริบทอดมองมาอย่างดูแคลน และมันก็มีผลทำให้ใบหน้าของหล่อนร้อนฉ่า

“ฉันหวังว่าเธอคงไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย...” เขาหยุดพูดเล็กน้อยคล้ายกับต้องการให้หล่อนฟังให้ชัดๆ “เกี่ยวกับผู้ชาย ในงานแต่งงานของฉันกับนารีหรอกนะ”

หล่อนทำได้แต่เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง มองหน้าเขาอย่างน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรออกมา

“จะพยายามค่ะ”

หล่อนเค้นเสียงเจ็บปวดตอบกลับไป ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีจากไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลรินออกมา จนต้องยกหลังมือขึ้นป้ายทิ้ง

แซคคารีย์ไม่ผิดหรอกที่มองหล่อนสารเลวแบบนี้ เพราะหล่อนใจดีเอง ใจดีกับนารีรัตน์ ยอมรับสมอ้างเป็นผู้หญิงร่านสวาทในคลิปพวกนั้นกับแซคคารีย์ เพื่อแลกกับการที่ให้พี่สาวฝาแฝดหยุดการนำชื่อของหล่อนไปใช้มั่วผู้ชายอีก

“เธอโง่จริงๆ ลินดา”

หล่อนทำได้แค่คร่ำครวญออกมาด้วยความเสียใจเพียงเท่านั้น เพราะไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ร่างอรชรทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว และปล่อยใจให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายยาวนาน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel