บทย่อ
สวัสดีทุกท่าน ข้านั้นชีวิตช่างอาภัพ ตอนข้าอายุได้14ขวบปี เมื่อข้าเข้ารับการทดสอบพรสรรค์เพื่อหวังจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ ปรากฎว่าข้านั้นไร้ซึ่งพรสวรรค์เป็นได้เพียงแค่คนธรรมดา ตัดสินใจลาบ้านจากตระกูล เดินทางไปบ้านท่านปู่เพื่อทำไร่ทำสวน หวังใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่วันนั้นไม่รู้ทำไมฝนถึงได้ตกหนักเช่นนั้น ฟ้าร้องคำราม ผ่าออกมาเป็นทอดๆ และมันก็ผ่าใส่ข้าเข้าให้เต็มๆ ข้าหลับไปถึงสามวัน ก่อนที่ข้าจะฟื้น แล้วพวกท่านเชื่อไหมล่ะ ว่าประโยคแรกจากที่ข้าตื่นขึ้นมา...ข้าได้ยินว่าอะไร? ตึ๊ง!!! เปิดใช้งานระบบทำฟาร์มเรียบร้อย ตึ๊ง!!! .................... รับเลี้ยงไก่1ตัว สำเร็จ! exp 100 ตึ๊ง!! เข้าสู่ขอบเขตฝึกยุทธ์ ระดับ 0 สำเร็จแล้ว!!!!
บทที่1 ตอนที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ
ผลลัพธ์ออกมาแล้ว…เจ้าเด็กนี่ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ คนต่อไป…
.
.
.
ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! สมควรแล้ว!
ต่อไปนี้มันไม่คู่ควรที่จะเสมอชนชั้นกับพวกเราอีก
เด็กโชคร้ายแบบนี้ 1000 ปี จะมีสักคน ไม่น่าเชื่อ…
“กรอด~~”
ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนนับร้อยที่ลานกว้าง เด็กชายคนหนึ่งได้แต่ยืนไร้สติพร้อมกับฝ่ามือที่กำแน่น เสียงซุบซิิบที่พูดกันไม่ยอมหยุดพักกระแทกเข้าใส่หูของเด็กชายคนนั้นอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจ
‘นี่มันอะไรกัน…’
‘ร่างกายของข้าอ่อนแอถึงเพียงนี้..'
'ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับข้าด้วย…ทำไม…'
เด็กชายคนนั้นหันหลังเดินก้มหน้ากลับมาอย่างหมดอาลัย มันในตอนนี้รู้สึกราวกลับว่ามีขุนเขาปรากฎขึ้นมา กดทับหลังคอของมันเอาไว้จนยากที่จะเงยขึ้น
…ตึก…ตึก…ตึก..
เด็กชายคนนั้นเดินกลับมายืนที่ตำแหน่งเดิมเหมือนกับคนอื่นๆ มันรู้สึกได้ว่าเด็กคนอื่นๆต่างพร้อมใจกันขยับถอยห่างและแสดงท่าทางที่ดูรังเกรียจมัน
“หลังจากจบการทดสอบของตระกูล เจ้าต้องมาเจอพวกข้าที่หุบเขาหลังตระกูล เข้าใจหรือไม่? อ่อ แล้วก็คงไม่ต้องให้ข้าบอกหรอกนะ ว่าเจ้าไม่มา มันจะเป็นเกิดอะไรขึ้น” เด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ มันและกลุ่มเพื่อนๆของมันต่างพร้อมใจกันหัวเราะเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานคล้ายว่ากำลังที่จะได้ของเล่นใหม่
“ท่านผู้นำคนก่อน ใจบุญรับพ่อของเจ้าเข้ามาในตระกูล อุสส่าห์ยอมให้ใช้ชื่อมีแซ่ ใครจะคาดคิดเล่าว่าเจ้าจะตอบแทนพวกเขาเช่นนี้” เด็กชายอีกคนที่ด้านข้างกล่าว
"พวกเจ้าจะไปคาดหวังอะไรจากลูกคนทำอาหารกัน ข้าว่าเจ้าน่ะ ควรกลับไปฝึกเดินเสริฟอาหาร เวลาที่พ่อของเจ้าทำข้าวปลาเสร็จให้พวกเรากินก็พอแล้ว" เด็กชายอีกคนพูดเสริม
กรอด~
“……” เด็กชายคนนั้นรู้สึกอึดอัดและโมโหทุกครั้งที่ได้ยิน แต่มันก็พยายามที่จะควบคุมสติของตนเองและเลือกที่จะไม่ลดตัวลงไปเล่นด้วย
"เห้ย! นี่พวกข้ากำลังพูดคุยกับเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ยินรึ?…เดี๋ยวปั๊ดหลังมือ!"
"พอเถอะ…ข้าว่ามันคงจะช็อกจนกลายเป็นบ้าไปแล้ว พวกเรายังมีเวลาเล่นกับมันอีกเยอะ ไว้วันหลังก็แล้วกัน" เด็กอีกคนกำลังที่จะลงไม้ลงมือด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ได้อีกคนกล่าวห้ามเอาไว้เสียก่อน
“…อะไรงั้นเหรอ….”เด็กชายที่น่าสงสารคนนั้นอ้าปากกล่าว
“!???” เหล่าเด็กหนุ่มที่รุมล้อมต่างพากันสงสัย
“ข้าถามพวกเจ้าว่า..ที่ผ่านมา..ข้าทำอะไรให้พวกเจ้าไม่พอใจงั้นเหรอ?” เด็กชายที่น่าสงสารกล่าวอีกครั้ง มันเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆที่ห้อมล้อม
“…ไม่เลย…พวกเราเจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้”
"..ถ้างั้น…???"
" เหอะ! ก็เพราะว่าเจ้ามันน่าโมโหยังไงเล่า เป็นเพียงแค่ลูกพ่อครัวแท้ๆ แต่กลับหลงทำตัวเด่น ชอบช่วยเหลือคนอื่นๆเขาไปทั่ว ข้าเห็นแล้วมันขัดต่อสายตาข้านัก…" เด็กชายหัวหน้ากลุ่มหัวเราะขึ้นพร้อมกล่าวสวน มันยืนกอดอกพร้อมกับมองเด็กชายคนนั้นตั้งแต่เท้าขึ้นมาจรดหัว
“…เพียงแค่เรื่องแค่นี้...” เด็กชายคนนั้นอึ้งตกใจไม่น้อยกับคำตอบที่ตนได้ยิน…เพียงแค่เรื่องแค่นี้..พวกมันถึงกับไม่ชอบข้า พากันพยาบาทคิดปองร้ายข้าเชียวเหรอ
“พี่เจียง..ดูมันสิ นิ่งเอ๋อไปแล้ว สงสัยมันจะช็อกจนกลายเป็นบ้า!” เด็กชายด้านข้างกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง มันยิ้มเยาะอย่างมีความสุขอยู่ทุกครั้งที่ปากมันอ้า
กรวด~~
"…….." เด็กชายคนนั้นเลือกที่จะนึ่งเงียบอีกครั้ง หากเก็บเรื่องไร้สาระแบบนี้กลับไปคิดก็มีแต่จะทำให้ตนเองแย่ลง
ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ตนไม่เคยคิดเลยว่า การที่ตนชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่นในแบบที่ตนเองพอที่จะมีแรงกระทำ
ในยามที่ตนลำบาก…
มันจะส่งผลเสียต่อตนเองอย่างเช่นตอนนี้…
.
.
.
ยามเย็น…
เด็กชายคนนั้นพยายามอดทนจนพิธีทดสอบพลังของตระกูลสิ้นสุด มันเดินเหม่อลอยมองพื้นอยู่ตลอดการเดินทางจากลานกว้างของตระกูลไปยังบ้านที่ตนอาศัย
ตึก…ตึก…ตึก
เด็กคนนั้นก้าวเดินอย่างไร้สติ มันอยากที่จะเฝ้าเภาวนาขอร้องให้ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี่ไม่ใช่เรื่องจริง มันอยากที่จะก้าวเดินไปอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางเลยก็ยังได้…
ตลอดระยะเวลาที่มันเดินเท้ากลับบ้าน ผู้คนในตระกูลที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ต่างพร้อมใจกันมองไปที่เด็กชายคนนั้นอย่างกลับเจอตัวประหลาด พวกเขามองพลาง ซุบซิบพลาง พูดคุยกันอย่างสนุกปาก
ก็แหง่ล่ะ…ในแผ่นดินนี้จะมีใครโชคร้ายเท่าจะเด็กคนนี้อีก ไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ก็เท่ากลับกลายเป็นเด็กพิการ คนพิการนอกจากเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว มันยังจะกระทำอะไรได้อีกเหรอ?
แม้แต่มนุษย์ทั่วไปที่มีร่างกายไม่เหมากับการฝึกยุทธ์ พวกเขาก็ยังลูบๆคลำๆจนมาได้ถึงจอมยุทธ์ระดับ 0 … แต่กับเจ้าหนูคนนี้ มันไม่มีวันที่จะไปถึงได้ การที่เจ้าหนูนี่มีร่างกายที่ไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ ต่อให้เข็นหรือว่าผลักดันมากเท่าใด มันก็ไม่สามารถที่จะไปถึงได้แม้แต่ระดับนั้น
แม้แต่จอมยุทธ์ที่โดนทำลายวรยุทธ์ด้วยวิธีการบางอย่าง… พวกเขาก็ยังกลับมายังระดับ 0 พวกเขายังดูสูงค่ามากกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้เสียอีก!!!
จากจุดยืนที่ธรรมดาอยู่แล้ว…กลับกลายเป็นมุดจมอยู่ในดินยิ่งกว่าเดิมซะงั้น!!
!
‘อ๊ะ! นั่นท่านลุงเฮ่อนี่!’ ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับบ้าน เด็กชายคนนั้นมองไปเห็นบุคคลที่คุ้นเคยอยู่ด้านหน้าของทางเดิน เขาเป็นคุณลุงที่แต่งตัวธรรมดาและสะพายของที่ดูหนักเอาไว้ที่ข้างหลัง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เด็กคนนี้มักจะพูดคุยและช่วยเหลือเรื่องเล็กๆน้อยๆให้คุณลุงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง คุณลุงเขามักจะพูดเพ้ออยู่เสมอว่า เด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้ก็เปรียบเสมือนลูกของเขาผู้หนึ่ง
"ท่านลุงเฮ่อ!" เด็กชายที่น่าสงสารคนนั้นรีบส่ายหน้าสะบัดซึ่งเคร่งเครียดให้หายไป มันพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มเหมือนแต่ก่อน และวิ่งเข้าไปหาคุณลุงคนนั้น
!!!
"หือ! อ๊ะ! จ-เจ้าหนูซิ่น.." คุณลุงคนนั้นตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าเด็กชายคนนี้วิ่งเข้ามาคุยด้วย ใบหน้าขอเขาในตอนนี้แสดงถึงความลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“ท่านสะพายอะไรมันช่างดูจะหนักนัก มาเถอะ! ข้าจะช่วยท่านสะพายและพาไปส่งพร้อมท่าน” เด็กหนุ่มรีบดึงกระเป๋าผ้าของคุณลุงคนนั้นมาเพื่อที่จะสะพาย
“โอ้ะ!โอ้! ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! ข้าถือเองได้….นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้ารีบกลับบ้านของเจ้าไปเถอะนะ อ่อ…แล้วก็…ต่อไปนี้..คือ…ถ้าไม่จำเป็นอย่าได้กล่าวพูดคุยกับข้าอีกเลยนะ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าเถอะ…” ชายวัยกลางคนนั้นพูดทิ้งท้าย ก่อนที่จะรีบสะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่วิ่งหนีไปอย่างเร่งรีบ แล้วทิ้งในเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
“….” เด็กชายคนนั้นยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่จะสบัดหน้าและเดินทางกลับบ้านต่อไป
.
ท่านน้า…ข้า..
เจ้าอย่าได้เข้ามาทักหาข้าอีกเลยนะ
.
หานหลิน…เจ้า..
ท่านพ่อของข้าห้ามกล่าวพูดคุยกับเจ้าอีก…ข้า…ข้าขอโทษ
.
เฮ้! พวกเจ้ากำลังทำ…
เห้ย! เจ้านั้นมันมาแล้ว รีบหนีเร็ว!
.
คนแล้ว..คนเล่า…ระหว่างทางกลับบ้าน เด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้พยายามฝืนที่จะกระทำเหมือนปกติ มันเดินเท้าเข้าไปคุยกับบุคคลที่มันคุ้นเคยทุกๆคนในระหว่างที่กำลังกลับบ้าน แต่ทุกๆคนที่เคยคุ้นเคยกับมันล้วนกระทำการที่ห่างเหิน พวกเขาแตกต่างออกไปตั้งแต่ได้ข่าวเกี่ยวกับเจ้าหนูคนนี้…
…ตึก…ตึก…ตึก…
เด็กหนุ่มคนนั้นเดินทางกลับบ้านอย่างเปล่าเปลี่ยวและดูไร้เรี่ยวแรง ตลอดระยะทางกลับบ้าน ไม่มีเลยสักคน ไม่มีเลยสักคนเดียวที่จะพูดคุยกับมันและมองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กคนนี้มักจะพูดในใจอยู่ตลอดเวลาว่า
‘ข้ากระทำอะไรผิดมากงั้นเหรอ?’
‘ข้าก็ไม่ได้อยากที่จะเกิดมาเป็นเช่นนี้เสียหน่อย?’
‘เพียงแค่ข่าวเรื่องข้ามีร่างกายที่อ่อนแอ คนในตระกูลและคนรอบข้างของข้าก็ต่างรอบตัวกันกระทำตัวเหินห่าง ไม่มีเลยสักคนเดียวที่จะยืนเคียงข้างข้า….’
เด็กน้อยคนนั้นเดินทางกลับบ้านมาอย่างไร้ชีวิต รู้สึกตัวอีกทีมันก็เดินทางมาถึงหน้าบ้านของตนเองเสียแล้ว เด็กน้อยคนนั้นนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่จะพยายามปั้นหน้ายิ้มและเอื้อมมือไปเปิดประตูบ้าน
อ..เอี๊ย-…
"ท่านพี่…ลูก..ลูกของเรา…ต่อจากนี้เขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่ปกติอีกแล้วเหรอ…มันเป็นเพราะข้าให้กำเนิดเขา ที่เป็นปกติไม่ได้เหรอ?" เด็กหนุ่มคนนั้นหยุดมือที่เปิดประตูกลางคันทันที ที่ได้ยินเสียงแม่ของตนเอง
"อ้ายเหม่ย…โชคชะตาลิขิตให้ลูกของเรามีชะตากรรมที่เป็นเช่นนี้…ทุกสิ่งนี้ล้วนไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรือของใคร…มันถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีิวิต….ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเรื่องยาก…แต่ลูกของเราจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน…. " พ่อของเด็กคนนั้นกอดภรรยาของตนเองเอาไว้ พร้อมกับพูดปลอบใจ
“…….”
อ-เอี๊ยดดดด
!!?
"…ท่านพ่อ…ท่านแม่…ลูกกลับมาแล้ว..ขอรับ.." เด็กหนุ่มคนนั้นเดินก้มหน้าเข้ามาในบ้าน
"หานซิ่น..นี่เจ้า..กลับมาบ้านก็ควรที่จะรีบเข้าบ้านสิ วันนี้เจ้าคงจะเหนื่อยมากแล้ว เจ้ารอแม่สักครู่ อีกปะเดี๋ยวแม่จะทำอาหารให้เจ้าและพ่อของเจ้ากิน" หานอ้ายเหม่ย นางรีบเช็ดน้ำตาที่อาบอยู่ทั่วใบหน้า พร้อมกับรีบเดินออกไป
"ท่านพ่อ..ข้า.." หานซิ่นเดินเข้ามาใกล้พ่อของตนเหมือนว่ามีอะไรจะกล่าว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว..เจ้าก็มีแต่ที่จะต้องยอมรับมัน…ที่ข้าพูดออกไปเมื่อครู่..เจ้าก็คงจะได้ยินแล้ว ข้าจะไม่ขอพูดอะไรอื่นอีก… นั่งเถอะ รอกินข้าวด้วยกัน” หานป๋อถอนหายใจออกมาพร้อมกล่าว