1
‘พลิน’ เป็นลูกจากเมียคนที่ห้าของ ‘นายสม’
ภรรยาคนแรกของนายสมเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่คลอดลูกคนแรกออกมานั่นก็คือ ‘ญาดา’
หลังจากนั้น นายสมมีภรรยามาอีกเรื่อยๆ แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนใด นายสมไม่มีบุตรธิดากับใครอีกเลย จนมาถึงนางพยอม หลานสาวคนงานเก่าในบ้านตัวเอง จะว่าไปนางพยอมก็เทียบเคียงคนรับใช้คนหนึ่งในบ้านของนายสม นายสมเข้าหานางพยอมกลางดึก แรกๆ ใช้กำลังบังคับ สมัยนั้นนางพยอมยังเด็กไม่ประสาก็ก้มหน้ารับสภาพไป แล้วก็ตั้งครรภ์จนได้ทั้งๆ ที่คุมกำเนิดอยู่แท้ๆ
เมื่อคลอดออกมาแล้วก็เลี้ยงดูตามประสา นายสมเองไม่ได้ไยดีลูกจากเมียบ่าวคนนี้เท่าไรนัก นั่นเพราะนางพยอมไร้ศักดินา ไร้เงินตรา และลูกที่ออกมายังเป็นบุตรสาวเสียนี่
‘เสือกจะมาเกิดทั้งที ทำไมไม่เป็นผู้ชายวะ’
นายสมออกปากแบบนั้นเมื่อนางพยอมคลอดออกมาเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ท่าทางอมโรค นางพยอมอุ้มไปให้หลวงตาที่วัดตั้งชื่อให้ ท่านก็ว่าให้ชื่อ ‘พลิน’ จากนั้นเป็นต้นมา
พลินถูกเลี้ยงดูตามมีตามเกิด ส่วนญาดา บุตรสาวกับภรรยาแต่งคนแรกที่เสียไปนั้น นายสมส่งเสียเลี้ยงดูเป็นอย่างดีราวเจ้าหญิงก็มิปาน
ญาดาได้เรียนในโรงเรียนชั้นเลิศที่กรุงเทพฯ จบออกมา เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ค่าเทอมค่าใช้จ่ายแพงหูดับเลยทีเดียว แต่นายสมก็สามารถส่งเสียได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
บุตรสาวจากนางพยอมนั้นได้เรียนที่โรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้านตั้งแต่เล็กจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ด้วยความใฝ่ดี ใฝ่รู้ รักการอ่าน แม้จะเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว พูดน้อย แต่ฉลาดดี เสียแต่ไม่ค่อยเฉลียว พลินสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังระดับประเทศได้ด้วยความมุ่งมั่นของตัวเอง
ญาดา ผู้พี่ แม้ต่างมารดากัน แต่อีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจพลิน น้องที่เกิดจากเมียบ่าวของนายสม กลับกันเสียอีก เจ้าหล่อนมักแสดงตัวว่ารักและเอ็นดูพลินอยู่เสมอ
เช่นเวลานี้ที่เจ้าตัวกลับมาถึงบ้าน ก็ร้องเรียกหาน้องสาวร่วมบิดาเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พลินจ๋า”
เมื่อไม่พบหน้า เลยเดินล่วงเข้าไปยังในครัว คิดว่าน่าจะพบตัวในนั้น เพราะพลินช่วยงานนางพยอมเป็นนิจ
ญาดากลับมาบ้านค่อนข้างบ่อย เคยได้ยินนายสมอวดอวยบุตรสาวคนโตว่า ญาดายังเรียนไม่จบดีก็ไม่อยากให้เสียเวลากลับมาบ้านทุกสองสัปดาห์ บ้างก็ทุกสัปดาห์แบบนี้ แต่ญาดายืนยันว่าที่กลับมานั้น เพื่อมาช่วยงานบิดา
นายสมเป็นตัวแทนประกันภัยขึ้นป้ายเป็นชื่อบริษัทเล็กๆ เช่าอาคารสามคูหาในตัวจังหวัดเป็นสำนักงาน มีคนงานในนั้นเพียงคนเดียวเป็นหญิงหน้าตาคร่ำเคร่งชื่ออุสา ญาดากลับมาบ้านทีไร ก็มักเข้าไปช่วยงานเอกสารให้นายสมทุกที
พอมีคนถามว่าญาดาเรียนใกล้จบแล้วหรือยังเพราะเห็นเรียนมาหลายปีดีดักแล้วยังไม่ได้รับปริญญากับเขาเสียที เพื่อนที่เข้ามหาวิทยาลัยไปรุ่นราวคราวเดียวกันจบออกมาก็หลายคน เจ้าตัวให้เหตุผลสวยๆ ว่าคณะของตนเรียนแปดปีจึงจบ เท่านั้นเลยไม่มีใครปริปากถามอะไรอีก
“คะพี่ดา” เสียงขานรับนั่นเป็นของพลินเอง
พอได้ยินว่ามีคนเรียกหา จึงขานเมื่อได้ยิน พอดีกับที่พยุงนางพยอมมาส่งยังเก้าอี้ในห้องครัว ค่อยเห็นญาดาเดินพ้นอีกประตูจากด้านในบ้านเข้ามาในห้องครัวเช่นเดียวกัน
อีกฝ่ายมองนางพยอมที่เคลื่อนไหวกายลำบากเพราะมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดขา ก็ไม่ใคร่ใส่ใจอยากถาม แล้วปรี่เข้าไปกอดพลินเสียแน่น หอมแก้มซ้ายขวาจนพลินออกอาการเขินหน่อยๆ กับท่าทีของผู้พี่
ญาดาผลักคนน้องออกเพื่อมองสำรวจอีกฝ่ายด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ น้องสาวพ่อเดียวกันแท้ๆ แต่สวยแทบไม่ได้ครึ่งของเธอเลยด้วยซ้ำ พลินผอมมาก อีกทั้งผิวพรรณยังดำคล้ำกระดำกระด่าง แขนขายาวเก้งก้างราวโครงกระดูกเดินได้ ดูไปก็คล้ายพวกเด็กต่างด้าวอยู่ไม่ใช่น้อย แต่กระนั้นปากช่างพาทีที่ได้มาจากนายสมก็เอ่ยแสดงความยินดีกับน้องสาว ตามวิสัยคนช่างป้อยอ
“ดีใจด้วยนะพลินที่สอบเข้าคณะอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ได้แล้วน่ะ ดูสิเก่งกว่าพี่สมัยนั้นตั้งแยะแน่ะ พี่ยังสอบไม่ติดเลยสักที่จนต้องไปสมัครเรียนมอเอกชน แล้วนี่คุณพ่อทราบเรื่องหรือยัง”
พลินยิ้มให้พี่สาว ปลอบแล้วว่าเชิงขอร้อง เพราะอยากให้บิดารู้จากปากของตัวเองมากกว่า “พี่ดาเก่งออกค่ะเรียนคณะนั้นใช้แต่ภาษาอังกฤษ ให้พลินไปเรียนก็ดูท่าจะไม่ไหวเหมือนกัน เรื่องสอบได้พลินยังไม่ได้บอกท่านค่ะ พี่ดาอุบไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งบอก”
ญาดากดมุมปากลงชั่วขณะก่อนคลายออก เมื่อมองคนที่ต่ำกว่าตนเองทั้งรูปลักษณ์ วัยวุฒิและฐานะก่อนว่า
“แหม...เราเนี่ยอะไรก็ไม่รู้ต้องทำเป็นอุบเอาไว้ก่อนด้วย”
เกือบหลุดปากออกไปแล้วว่าต่อให้บอกไป บิดาก็ไม่ได้ดีใจเท่าไรนัก แต่ยั้งปากไว้ทัน เข้าเรื่องที่ตนเองมาร้องเรียกหาอยู่นี่
“งั้นเราไปฉลองกันนะ พี่เลี้ยงเอง”
พลินยิ้มจนตายิบหยีดีใจที่พี่สาวร่วมบิดาใจดีกับตน ไม่เคยนึกรังเกียจที่ตนเป็นน้องคนละแม่เลย แล้วหันไปทางมารดาที่นั่งมองสองสาวสนทนากันอยู่
“แม่จ๋า...”
เอ่ยออกมาแค่นั้น นางพยอมก็ยิ้มอ่อนโยนพยักหน้าทำนองว่าตนได้ยินหมดแล้ว และหากว่าไปกับญาดา บุตรสาวคนโตสุดโปรดของนายสมก็จะเป็นอะไรไป อย่างน้อยๆ ก็พี่กันน้องกัน
ญาดากลับจากกรุงเทพฯ แต่ละครั้ง นอกจากจะมีของมาฝากน้องต่างมารดาอย่างพลินแล้ว ยังมักพาเด็กสาวออกไปเที่ยว ไปกินข้าวนอกบ้านแบบนี้เสมอ และในวันนั้นเองที่พลินได้พบกับบารมี ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีแววตาคมเข้มดุดันจริงจัง
เขาคือเจ้าของไร่มากล้นบารมี ชายผู้ซึ่งผันตัวเองมาเป็นชาวไร่เต็มตัวที่ซึ่งสาวๆ ทั้งจังหวัดหมายปอง
“อุ๊ย! คุณบารมี”
ญาดาทักทายยิ้มแย้ม น้ำเสียงอ่อนหวานติดอ้อนอยู่ในที เมื่อเดินสวนกับชายหนุ่มคนนั้นเข้า เขาทำเพียงยิ้มมุมปากก่อนทักกลับตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณดา”
ท่าทีสุภาพ แต่กระนั้นดูไว้ตัว ญาดาชำเลืองมองคนในร้านเมื่อเห็นว่าคนอื่นพากันมองมาที่ตนเองและบารมีก็ผละเข้าไปจนชิด แสดงท่าทีสนิทสนม จงใจให้คนอื่นมองว่าเธอกับชายคนนี้ไม่ใช่แค่รู้จักกันผิวเผิน ไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่ายเลยสักนิดว่าอยากสนิทกับตนด้วยหรือไม่
“มาธุระหรือนัดเลี้ยงใครที่นี่คะเนี่ย”
พลินมองพี่สาวกับชายหนุ่มคนนั้นเสวนากัน แล้วก็ให้ร้อนใบหน้าขึ้นวูบหนึ่ง เมื่อเขาปรายตามองมาที่เธอชั่ววินาที ท่าทางเขาดูไม่น่าเข้าไปพูดคุยพูดเล่นด้วยเลย แต่คงสนิทกับญาดาจริง พี่สาวของเธอถึงได้คุยกับเขาด้วยท่าทีสนิทด้วยเช่นนั้น น้ำเสียงเขาฟังดูทุ้มละมุนหูท่าทางคล้ายจะใจดี แต่ก็คล้ายว่ามีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นของเขา
พลินเลยเสมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้
รู้มาบ้างว่าบารมีเก่งที่สามารถพลิกฟื้นผืนดินรกร้างให้เกิดผลผลิตได้ทั้งไร่ ด้วยการปลูกข้าวรวมถึงผลไม้ พืชผักออร์แกนิกหลายชนิด จึงเป็นหัวข้อให้คนทั้งจังหวัดนำมาพูดกันและยอมรับในความสามารถของอีกฝ่ายไม่ใช่น้อย
รู้อีกว่าเพราะเขาไม่ยอมขายที่ผืนนั้นที่เป็นมรดกของบรรพบุรุษ ทั้งยังหัวดื้อไม่รับช่วงต่อกิจการของครอบครัวจึงถูกตัดหางปล่อยวัด ไม่ได้รับการช่วยเหลือทางเงินทุน หรือแม้แต่การติดต่อทางการค้าก็ด้วย บารมีต้องดิ้นรนด้วยตัวเองทั้งสิ้น เขาไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ ทั้งนั้นจากครอบครัว เงินที่ลงไปในไร่ทั้งหมดจึงเป็นของบารมีคนเดียวทุกบาททุกสตางค์
และพอเงียบฟังจากที่เขาสนทนากับญาดา ก็จับใจความได้ว่าเขาออกมาเลี้ยงสังสรรค์กับคู่ค้าธุรกิจของเขาที่ร้านอาหารแห่งเดียวกันนี้ พลินลอบมองเขาตลอดตอนที่อีกฝ่ายหันไปคุยกับญาดา พอจังหวะที่เขาหันหน้ามามองเธอ เลยได้สบตากันแวบหนึ่ง พลินรีบหลบตาจากเขาทันที รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกับแววตาทรงอำนาจคู่นั้น
คุยกันไม่นาน บารมีขอตัวกลับไปยังโต๊ะของเขาด้วยท่วงท่าองอาจ เปี่ยมบารมีสมชื่อ หน้าตาหล่อเหลาคมคายของเขายังคงติดตาตรึงใจพลินอยู่ไม่สร่างซา รวมถึงสายตาคมกริบราวใบมีดที่แฝงอะไรบางอย่างข้างในนั้นด้วย
“พลิน”
เสียงพี่สาวต่างมารดาเรียก พอหันขวับไปมอง ญาดาก็ยิ้ม แล้วเอ่ยปากคล้ายแซวเธอ “มองตาค้างเลยหรือไง”
“พลิน...” อึกอัก เสียงเบาตามนิสัย หลบตาพี่สาวก่อนว่า “...พลินแค่เหม่อ เอ่อ...แค่คิดอะไรเล่นๆ เท่านั้นเองค่ะ เผอิญมองไปทางนั้นพอดี ไม่ได้มองใครตาค้างนะคะพี่ดา”
พลินที่เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ ของชายชื่อบารมีเป็นครั้งแรกตอบพี่สาวออกไปไม่เต็มเสียงนัก เมื่อตอนได้ยินเรื่องของเขา นึกว่าคงอายุมากกว่านี้ อย่างน้อยก็น่าจะอายุสักสี่สิบปีปลายๆ แต่ตัวจริงเขายังดูหนุ่มอยู่มาก คาดว่าอายุไม่น่าเกินสามสิบปีด้วยซ้ำไป ที่สำคัญเขาดูดี หล่อเหลาไม่น้อยเลยทีเดียว
ญาดายิ้ม ส่ายหน้าทำนองว่าไม่เชื่อถือคำพูดของเธอ ใครพบบารมีแล้วไม่เคลิ้มในความเป็นเขา ให้อมโคลนมาพ่นใส่หน้าเธอได้เลย
มีสาวๆ ไม่น้อยเทียวล่ะที่คลั่งไคล้ในตัวบารมี แต่ไม่ใช่เธอ
“นี่คุณพ่อบอกเราหรือยัง” จู่ๆ ญาดาก็เอ่ยขึ้นมา
พลินที่เสยกน้ำขึ้นดื่ม วางแก้วในมือลง ถามกลับด้วยความใคร่รู้
“บอกอะไรหรือคะ”
ญาดากระแทกลมหายใจพรืด กอดอก สีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นในทันที “จะอะไรล่ะ ก็จะให้พี่แต่งงานน่ะสิ”
มองคนเป็นพี่ด้วยสายตาชื่นชม ไม่ว่าจะหน้าบึ้ง หน้างอ หน้าสด หรือแต่งหน้า พี่สาวของเธอก็สวยเสมอ ก่อนถามต่อด้วยแววตาอยากรู้
“พี่ดาจะแต่งงานแล้วหรือคะ แต่งกับใครบอกพลินหน่อย”
