ผีคลั่งสวาท (พิศวาสรักพรายตานี)

41.0K · จบแล้ว
กาสะลอง
28
บท
21.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“อ๊ะ... ” จันทร์จวงสะดุ้งเฮือก พ่อหมอระรัวปลายลิ้นเลียวนจนป้านหัวนมปูดเป่งเต่งตั้งเป็นตุ่มไตติดริมฝีปากซึ่งรกไปด้วยแพหนวดสีดำดกหนา จากนั้นก็ดูดสลับไปมาทั้งสองข้างจนปลายปทุมชุ่มไปด้วยน้ำลายเหนียวๆ “อ๊อย... ” จันทร์จวงเสียวจนต้องลู่ไหล่สะท้าน หล่อนทำท่าว่าจะผลักร่างท้วมหนาออกไปจากกายเปลือยเปล่า หากพ่อหมอก็กดไหล่ของหล่อนเอาไว้เสียก่อน “ปล่อยตัวตามสบาย... เอ็งอย่าขัดขืน เดี๋ยวจะเสียพิธี” คราวนี้พ่อหมอขึ้นไปคร่อมร่างที่นอนหงาย ก้มหน้าก้มตาฟอนฟัดทรวงอกต่อไปอย่างเมามัน เสียงดังจ๊วบจั๊บเป็นจังหวะสลับไปมาทั้งซ้ายขวา “พอเถอะพ่อหมอ... ฉันวูบวาบไปหมดแล้ว” มือเรียวของจันทร์จวงขยำอยู่กับผืนเสื่อที่ปูรองร่าง ใบหน้าสวยส่ายสะบัด กัดฟันทรมานเมื่อปลายถันโดนดูดแรงๆ “เดี๋ยวสิ... ข้าจะดูดไฟกาลกิณีออกจากหัวนมเอ็ง” บอกพลางครอบริมฝีปากเข้าหาป้านปทุมอีกครั้ง ดูดเลียเสียงดังจ๊วบจั๊บ “ฮื่อๆ... เสียวเหลือเกิน” ปลายเท้าทั้งสองข้างของจันทร์จวงถูไถกันไปมาเพราะน้ำมนต์ผสมยาปลุกเซ็กส์กำลังออกฤทธิ์ มือเรียวลูบไล้ไปตามร่างกายซึ่งรู้สึกราวกับว่ามันไม่ใช่ของหล่อน “ดูท่าทางเอ็งพร้อมแล้ว... ถ่างขาออก ข้าจะลงนะสมสู่ให้ถึงใจ” ในอารมณ์นั้น จันทร์จวงไม่คิดถึงสิงอื่นใดอีกแล้ว ด้วยกลัวว่าถ้าขืนชักช้าป้าช้อยจะมาเห็นเข้า หล่อนรีบถ่างขาออกกว้าง ด้วยอยากให้พิธีเสร็จเร็วๆ

นิยายรักนิยายปัจจุบันพลิกชีวิตนางเอกเก่งดราม่าข้ามมิติต่างโลกโรงแรม/มหาลัยสยองขวัญ

ตอนที่ 1

“พรายตานี”

(นวนิยายสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น)

ผู้เขียน : กาสะลอง

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2537

ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือหรือคัดลอกเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหนังสือเท่านั้น

“พรายตานี”

ผู้เขียน

รักยม

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2537

ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือหรือคัดลอกเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหนังสือเท่านั้น

แสงจันทร์ในคืนข้างขึ้นอาบไล้ไปทั่วทุ่งนาข้าวซึ่งกำลังค้อมรวงหนักอึ้ง รอคมเคียวมาเกี่ยวเก็บตามฤดูกาล เสียงกบเขียดและหรีดหริ่งเรไรร้องประสานกันระงม ช่วยขับกล่อมรัตติกาลอันสงบสงัดไม่ให้เงียบเหงาถึงกับวิเวกวังเวงจนเกินไป

ลมดึกโชยพัดเม็ดน้ำค้างพรมพราวอยู่ทั่วป่ากล้วย กำลังขยับใบไหวเอนไปตามแรงลม มองไกลๆ คล้ายมือขนาดใหญ่วูบไหวโบกสะบัดไปมาอยู่เหนือดงกล้วยหนาทึบ

ภายในกระท่อมมุงแฝกหลังน้อยกลางป่ากล้วย ‘เชนทร์’ หนุ่มฉกรรจ์หลานชาย ‘ลุงมั่น’ กับ ‘ป้าช้อย’ กำลังนอนพริ้มตาเอกเขนกฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถืออยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่วางอยู่หน้ากระท่อมอย่างสบายอุรา

ทุกครั้งที่ได้หยุดงาน เชนทร์มักจะเดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ บ่อยๆ เพื่อเยี่ยมลุงกับป้าที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด

แม้ว่าปัจจุบันเชนทร์จะเข้าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ได้หลายปีแล้วก็ตาม หากมีเวลาเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านนาเสมอ เพราะความผูกพันที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย ด้วยเชนทร์เกิดและเติบโตมาท่ามกลางท้องไร่ท้องนาของชนนบทบ้านนอกที่มีชื่อว่า ‘โคกมะขาม’ แห่งนี้

“เชนทร์... ”

เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลัง ทำเอาคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของรัตติกาลถึงกับสะดุ้งโหยง

เชนทร์ชันศอกขึ้นจากแคร่ไม้ไผ่ หันขวับมายังทิศทางที่มาของเสียง กระนั้นจึงได้รู้ว่าร่างสูงของลุงมั่นกำลังย่ำมาตามทางดินเล็กๆ ทอดผ่านมายังดงกล้วยใกล้กับกระท่อมหลังน้อยที่ตนกำลังนอนทอดอารมณ์ชมแสงจันทร์ เพลิดเพลินอยู่กับกลิ่นอายของธรรมชาติในค่ำคืนของชนบทซึ่งยังห่างไกลความศิวิไลซ์

“มีอะไรครับลุง”

เชนทร์ร้องถามผู้ซึ่งกำลังทรุดร่างสูงโปร่งลงนั่งบนปลายแคร่ไม้ไผ่ ยาเส้นมวนใบตองที่คาบไว้ในปากสว่างวาบขึ้นพร้อมๆ กันควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากริมฝีปาก

“ลุงตัดสินใจแล้ว... ว่าจะขายที่ดินผืนนี้”

บุรุษวัยกลางคนเอ่ยกับหลานชาย ด้วยเมื่อตอนหัวค่ำลุงมั่นเพิ่งตัดสินใจว่าจะขายที่นาผืนนี้ให้กับกำนันแดงที่เทียวมาหว่านล้อมขอซื้อที่นาแปลงนี้อยู่หลายครั้งหลายหน กระทั่งลุงมั่นกับป้าช้อยผู้เป็นเจ้าของที่ดินเกิดใจอ่อนในที่สุด

“แล้วลุงกับป้าไม่เสียดายที่นาผืนนี้หรือครับ?”

เชนทร์มีท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างกำยำขยับลุกขึ้นนั่งสนทนาเป็นจริงเป็นจังกับผู้เป็นลุง

“อันที่จริงลุงก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ที่ตัดสินใจขายก็เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้าลุงกับป้าก็คงทำนาไม่ไหวอยู่ดี ยังไงที่นาผืนนี้ก็ต้องเปลี่ยนมือเข้าสักวัน เพราะเอ็งก็มีการมีงานทำอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วนี่นา”

เสียงของลุงมั่นบ่งบอกว่าหมดห่วงในตัวของหลานชาย ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจขายที่ดินในครั้งนี้

“ผมเสียดายที่ดินนะครับ”

เชนทร์ปรารภขึ้นเบาๆ ยิ่งมองดงกล้วยที่กำลังพลิ้วใบอยู่ในสายลมค่ำ ยิ่งทำให้ความคิดบางอย่างวาบแล่นเข้ามาในสมอง

“อย่าไปเสียดายมันเลย มนุษย์เราพอถึงคราวตายก็ไม่เห็นจะมีใครหยิบจับอะไรติดมือไปได้สักอย่าง เอ็งไม่เห็นหรอกหรือว่าชื่อของคนที่ครอบครองที่ดินในโฉนดนั้นเปลี่ยนมือมากี่รายแล้ว... ก่อนที่จะมาถึงลุง มันแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถครอบครองอะไรได้อย่างแท้จริง”

ลุงมั่นพูดให้คิด

“แต่ก็น่าเสียดายเหมือนกันนะครับ... ถ้านาผืนนี้ต้องถูกขายจริงๆ”

ชายหนุ่มทอดสายตามองผืนนาที่เคยเห็นมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยด้วยความรู้สึกใจหาย เมื่อนึกถึงวันที่จะต้องทิ้งทุกอย่างตามที่ลุงมั่นบอก